ในบทสนทนาหาได้มีคำพูดใดแปลกประหลาด ทั้งยังมิใช่เรื่องเหลวไหลไร้เหตุผล แต่อย่างน้อยคำว่าจักรพรรดิก็ทำให้ทั้งสี่คนเงียบเสียงลงได้
ราฟาเอลามีสีหน้าลำบากใจ ดูเหมือนนางเพิ่งจะรู้ตัวว่าพูดสิ่งที่ไม่สมควรออกไปแล้ว ทั้งๆ ที่นางเป็นคนที่รู้ดีกว่าใครแท้ๆ ว่าจักรพรรดิมิใช่คนที่ตำหนักจักรพรรดินีจะยินดีเมื่อพบเห็น
“ขอประทานอภัยเพคะ หม่อมฉันปากพล่อยไป” ราฟาเอลารีบขอโทษ
ไม่นึกเลยว่าการกล่าวถึงสามีจะถือเป็นการพูดพล่อยๆ ได้ แพทริเซียรู้สึกเศร้ากับความเป็นจริงที่น่าตกใจนี้ แต่นั่นก็แค่ครู่เดียว นางเริ่มการสนทนาใหม่ด้วยสีหน้าเฉยเมย
“ปากพล่อยอะไรกัน ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เดมราฟาเอลา ว่าแต่ไม่รู้ว่าบารอเนสเฟ็ลปส์จะเข้าร่วมด้วยรึเปล่านะ”
แพทริเซียเปลี่ยนไปพูดเรื่องโรสมอนด์ซึ่งเป็นชื่อต้องห้ามยิ่งกว่าชื่อของชายคนนั้น การพูดถึงนางไม่ได้ทำให้บรรยากาศเปลี่ยนไปเป็นสีชมพู
“คงไม่หรอกเพคะ บารอเนสผู้นั้นแค่พอจะขี่ม้าได้บ้างเท่านั้น”
แพทริเซียพยักหน้าเบาๆ ให้กับคำพูดของมีร์ยาซึ่งอยู่ในพระราชวังแห่งนี้มานานที่สุด แพทริเซียเข้าใจว่าโรสมอนด์มีความสามารถในด้านนั้นด้วย แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่
“การเข้าร่วมครั้งนี้ก็ไม่เลวนะเพคะ ฝ่าบาท เราอาจใช้โอกาสนี้เพิ่มบารมีให้ฝ่าบาทได้…”
“อืม…”
คำพูดของมีร์ยาทำให้แพทริเซียครุ่นคิด จะเข้าร่วมหรือไม่เข้าร่วมก็มีค่าเท่ากัน เพราะคงไม่มีใครลบหลู่หรือเหยียดหยามจักรพรรดินีที่ล่าสัตว์ไม่เป็น
แต่การเข้าร่วมงานนั้นแน่นอนว่าจะเป็นการสื่ออีกความนัยหนึ่งให้แก่ทุกคน อาจเป็นโอกาสดีที่จะช่วยเสริมอำนาจบารมีของนางที่แผ่วลงเพราะโรสมอนด์ แพทริเซียลังเลอยู่ครู่หนึ่งว่าควรเลือกการผจญภัยหรือความปลอดภัย ก่อนจะถามความเห็นจากเปโตรนิยา
“นีย่า”
“…”
“นีย่า”
ต้องเรียกถึงสองครั้ง เปโตรนิยาที่ดูเหม่อลอยจึงจะหันมามอง แพทริเซียถามต่อด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“นีย่าคิดว่าอย่างไร”
“ข้า…”
เปโตรนิยาหน้ามุ่ย ท่าทางนางก็ตัดสินใจไม่ได้เช่นกัน แพทริเซียรออยู่สักพัก ก่อนจะพูดตัดบท
“ข้าว่า ไม่เข้าร่วม…น่าจะดีกว่ากระมัง”
“…ไม่หรอก”
เปโตรนิยาอยากให้แพทริเซียเข้าร่วม แพทริเซียทำหน้างุนงงกับผลลัพธ์ที่ไม่คาดคิด
“นิลก็คิดเหมือนเดมเอล่าหรือ” แพทริเซียถามเหตุผล
“อืม เรื่องที่สถานะของเจ้าไม่ชัดเจนยิ่งขึ้นเพราะบารอเนสเฟ็ลปส์ก็เป็นเรื่องจริง ข้าคิดว่านี่เป็นโอกาสที่ดี จักรพรรดินีที่ทั้งปราดเปรื่องและมีความสามารถด้านการยุทธ์ก็มีไม่มาก”
“ข้าไม่ได้ฉลาดถึงขั้นปราดเปรื่องเสียหน่อย”
แพทริเซียหน้าแดงเรื่อด้วยความเขินอายพลางบอกปัดคำชมของเปโตรนิยา นางกระแอมออกมาเบาๆ ก่อนจะพูดพึมพำ
“ถ้าเข้าร่วมแล้วไม่ขายขี้หน้ากลับมาก็คงจะดี ข้าไม่ได้ขี่ม้ามานานแล้วด้วย”
นางย้อนอดีตกลับมาได้ไม่ถึงปีก็จริง แต่ในระยะเวลาสามปีที่นางเป็นพระกนิษฐาของจักรพรรดินี นางไม่เคยได้ขี่ม้าเลยสักครั้ง
เมื่อลองคิดย้อนกลับไป นางก็สงสัยว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น นางมีภาระงานอะไรหนักหนา
“เอาเป็นว่าข้าจะเข้าร่วมก็แล้วกัน ถ้าข้าจับไม่ได้เลย เดมราฟาเอลาจะแบ่งให้ข้าสักตัวได้หรือไม่”
“ตายจริง ฝ่าบาท แค่ตัวเดียวจับได้อยู่แล้วเพคะ”
ราฟาเอลาหัวเราะโฮ่โฮ่พลางตีหลังแพทริเซียเบาๆ อย่างหยอกล้อ
“ถ้าพระองค์จับไม่ได้เลย หม่อมฉันย่อมต้องถวายให้เพื่อพระเกียรติของฝ่าบาท แต่คงไม่มีเรื่องเช่นนั้นกระมัง”
***
แพทริเซียคิดว่านางควรจะฝึกฝนตัวเองสักหน่อยเพื่อที่จะไม่ต้องไปขายหน้าในเทศกาลล่าสัตว์ นางไม่สามารถกลับมามือเปล่าได้ เพราะสาเหตุที่นางเข้าร่วมงานก็เพื่อสร้างบารมีในฐานะจักรพรรดินี
“ฝึกทรงม้าเผื่อเอาไว้ดีหรือไม่เพคะ”
ราฟาเอลาเป็นคนให้คำตอบในสิ่งที่แพทริเซียกำลังใคร่ครวญ เมื่อได้ยินดังนั้น แพทริเซียก็ทำท่าสงสัย
“ฝึกขี่ม้าหรือ” แพทริเซียถามกลับ
“มีป่าที่เหมาะจะใช้ฝึกอยู่หลังพระราชวังเพคะ พระองค์อาจไม่ทราบเพราะที่นั่นไม่ใช่ป่าที่มีชื่ออะไร”
“อา…”
แพทริเซียไม่รู้มาก่อนว่ามีที่เช่นนั้น แม้ว่าตัวนางจะมีศักดิ์เป็นพระกนิษฐาของจักรพรรดินีมาถึงสามปี พี่สาวของนางในตอนนั้นจะรู้ไหมนะ แพทริเซียเหม่อลอยไปสักพักจนกระทั่งเสียงของราฟาเอลาดึงนางกลับมาสู่โลกความเป็นจริง
“จะลองเสด็จไปดูไหมเพคะ ฝ่าบาทต้องชอบแน่เพคะ”
“ข้า…ไปได้หรือ”
ราฟาเอลารู้สึกว่าคำพูดนั้นช่างน่าเหลือเชื่อ จะมีที่ไหนที่จักรพรรดินีผู้เป็นประมุขหญิงของพระราชวังจะเสด็จไปไม่ได้กัน นางกล่าวเตือนแพทริเซียอย่างไม่สะทกสะท้าน
“ถ้าฝ่าบาทไปไม่ได้ก็คงไม่มีใครไปได้นอกจากพระจักรพรรดิกระมังเพคะ อย่าได้ทรงกังวลไปเลย ไปได้แน่นอนเพคะ”
“อืม…เช่นนั้นลองไปสักครั้งก็น่าจะดี”
“เสด็จตอนนี้เลยไหมเพคะ”
ราฟาเอลาถามมาพร้อมส่งสายตาวิบวับคล้ายต้องการจะตีเหล็กตอนที่กำลังร้อน แพทริเซียรู้สึกว่าอีกฝ่ายดูอยากไปที่นั่นมากกว่าตนเสียอีก นางหัวเราะคิกคักก่อนจะถามราฟาเอลา
“ท่าทางเจ้าจะอยากไปสินะ เดมราฟาเอลา”
“ตายจริง ความแตกแล้วหรือนี่”
ราฟาเอลาหัวเราะคิกคักก่อนจะลุกขึ้น แพทริเซียก็ค่อยๆ ลุกขึ้นจากโซฟาเช่นกัน
เอาเถอะ ถึงอย่างไรวันนี้ก็ไม่ค่อยมีงานอยู่แล้ว อากาศข้างนอกก็ดี เหมาะกับการขี่ม้าที่สุด มีร์ยานำชุดขี่ม้ามาให้ราวกับรู้ใจ ส่วนเปโตรนิยาก็เข้ามาช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้า
“ฟ้าใสไม่มีเมฆสักก้อนเลยนะคะ”
“เพคะ ฝ่าบาท ท่าทางจะไม่ต้องกังวลเรื่องฝนตกนะเพคะ”
มีร์ยายิ้มร่าก่อนจะสวมรองเท้าให้แพทริเซีย ทันทีแพทริเซียเตรียมตัวเสร็จ นางก็ไปยืนส่องกระจกพร้อมกับทำสีหน้าแปลกๆ นี่นางไม่ได้แต่งตัวแบบนี้มานานแค่ไหนแล้วนะ
“เหมาะมาก”
เปโตรนิยายิ้มกริ่มพลางชื่นชมจากด้านหลัง ครั้นได้ยินพี่สาวพูดเช่นนั้น จู่ๆ แพทริเซียก็รู้สึกเขินขึ้นมา
“ไม่ได้ใส่มานาน รู้สึกแปลกๆ”
นี่เป็นครั้งแรกในรอบสาม…ไม่สิ น่าจะสี่ปี แพทริเซียพูดพึมพำในขณะที่คิดย้อนไปถึงเรื่องราวในอดีต เมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดเช่นนั้น เปโตรนิยาก็หัวเราะก่อนจะพูดว่า
“นานอะไรกัน ยังไม่ทันครบปีเลย เอาล่ะ ออกไปกันเถอะ”
แสงแดดที่ส่องตรงลงมาช่างอบอุ่น แพทริเซียยิ้มแย้มและซึมซับความสบายใจที่ไม่ได้รับมานานอย่างเต็มที่ ครั้งสุดท้ายที่รู้สึกแบบนี้คือเมื่อไรกันนะ หลังจากย้อนอดีตมา ทุกๆ วันนางทุกข์ใจราวกับเดินอยู่บนขวากหนาม แต่วันนี้จิตใจของแพทริเซียเบิกบานอย่างที่ไม่ได้เป็นมาเนิ่นนาน ไม่รู้ว่าเพราะมีพี่สาวอยู่ข้างๆ หรือเพราะสถานการณ์ในตอนนี้ทำให้อารมณ์ดี
“ขี่ม้าตัวนี้น่าจะดีนะเพคะ ฝ่าบาท”
ราฟาเอลาเดินจูงม้าขาวไร้ที่มาตัวหนึ่งด้วยสีหน้าภาคภูมิ ขนแผงคอสีขาวบริสุทธิ์ของมันดูงดงาม นางยิ้มมุมปากก่อนจะถามราฟาเอลา
“ข้าดูม้าไม่เป็น แต่นี่ดูจะเป็นม้าพันธุ์ดีทีเดียว มันชื่ออะไรหรือ”
“คนเลี้ยงมาบอกว่าชื่อ ‘แซลลี่’ เพคะ เขาบอกว่าเป็นม้าสายพันธุ์ดีมาก”
“เช่นนั้นหรือ”
แพทริเซียขึ้นหลังม้าด้วยสีหน้าแสดงความคาดหวัง นางจัดท่าทางด้วยสีหน้าละล้าละลังอยู่ชั่วครู่ก่อนจะจับบังเหียนอย่างคล่องแคล่ว
นางไม่ได้เก้ๆ กังๆ อย่างที่คิด อาจเป็นเพราะครั้งสุดท้ายที่นางในร่างนี้ขี่ม้าเพิ่งผ่านมาได้ไม่นาน แพทริเซียพูดกับทุกคนด้วยความรู้สึกคึกคักเล็กน้อย
“ข้าจะไปคนเดียวนะคะ”
“จะเสด็จพระองค์เดียวหรือเพคะ มันอันตรายนะเพคะ”
เป็นธรรมดาที่ราฟาเอลาจะแสดงความเป็นห่วง แพทริเซียยิ้มบางๆ ราวกับจะบอกว่าไม่เป็นไร นางพยายามคลายความกังวลให้อีกฝ่าย
“นานๆ ทีก็ข้าอยากขี่ม้าคนเดียวดูบ้าง ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ ข้าไม่ใช่มือใหม่ถึงขนาดที่จะตกม้าได้หรอก”
“…”
ราฟาเอลาทำหน้าลำบากใจ ไม่ใช่ว่านางไม่เข้าใจแพทริเซีย อีกฝ่ายคงอยากอยู่คนเดียวบ้าง เพราะปกติจะถูกนางกำนัลและข้ารับใช้ล้อมหน้าล้อมหลังอยู่เสมอ แต่ก็ยังอดห่วงไม่ได้ ในที่สุดราฟาเอลาก็ต้องขอให้อีกฝ่ายสัญญาอย่างเสียไม่ได้
“อย่าเสด็จไปไกลนะเพคะ และโปรดเสด็จกลับมาภายในครึ่งชั่วโมงด้วย หากกลับมาช้าแม้เพียงเล็กน้อย หม่อมฉันจะออกไปตามพระองค์ทันที”
“เข้าใจแล้ว เจ้าอย่าได้กังวล”
แพทริเซียตอบด้วยน้ำเสียงสดใส นางค่อยๆ ควบม้าออกไป ราฟาเอลามองแพทริเซียที่ค่อยๆ ห่างไกลออกไปและบ่นออกมาเบาๆ
“คงไม่เป็นไรนะ”
“เอล่า เจ้าก็รู้ว่าริซซี่ไม่ใช่มือใหม่ เด็กคนนั้นก็คงต้องการเวลาส่วนตัวบ้าง”
ราฟาเอลาพยักหน้าเบาๆ ให้กับคำพูดของเปโตรนิยา
“นั่นสินะ คงไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอก” นางตอบ
“หากพระองค์ได้คลายความเครียดที่สะสมมานานได้บ้างก็คงจะดีนะคะ พักนี้ข้าก็ไม่ค่อยสบายใจเลย พระองค์ดูเหนื่อยๆ”
ทุกคนตรงนั้นพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของมีร์ยา แพทริเซียคงต้องการเวลาส่วนตัวจริงๆ
“หยุด หยุด~”
แพทริเซียค่อยๆ บังคับม้าให้หยุดหลังจากที่ขี่เข้าป่ามาพักใหญ่ เจ้าม้าหยุดเดินอย่างว่าง่าย นางจึงค่อยๆ ลงจากหลังม้า
“…ดีจัง”
อากาศกลางป่าเช่นนี้ทั้งชื้นและค่อนข้างเย็น แต่นางชอบความสดชื่นและความเย็นที่รู้สึกได้ที่ปลายจมูก คิดว่าลงเดินสักครั้งก็ไม่น่าเสียหายอะไรจึงค่อยๆ เดินไปรอบๆ ด้วยรองเท้าบู้ตที่ใช้ขี่ม้า
“มีที่เช่นนี้ด้วย”
นางพึมพำออกมาหลังจากเดินมาได้สักระยะ
มีที่เช่นนี้ด้วยสินะ แพทริเซียเป็นจักรพรรดินีมาได้ราวๆ สามเดือน และเคยเป็นพระกนิษฐาของจักรพรรดินีถึงสามปีแต่กลับไม่รู้เลยว่ามีที่แบบนี้อยู่ด้วย
นางยิ้มเศร้าออกมาอย่างไม่รู้สาเหตุพลางยีแผงคอของม้า ครั้นถูกยีขน ม้าก็ส่งเสียงฟึดฟัดก่อนจะกัดเข้าที่มือของหญิงสาว
“อ๊ะ!”
แพทริเซียร้องออกมาและรีบเอามือออกมาจากปากม้า แม้จะไม่ได้เจ็บมาก แต่แผลน่าจะลึกพอสมควร ดูได้จากเลือดที่ไหลออกมาเป็นทาง
บ้าจริง นางสบถออกมา ก่อนจะพูดตัดพ้อใส่เจ้าม้า
“ถูกฝึกมาไม่พอหรืออย่างไร เฮ้อ…ยีขนแค่นี้ไม่เห็นต้องกัด…”
-ซ่วบ
ในขณะนั้นเอง เสียงแปลกๆ ที่ดังขึ้นทำให้นางต้องตั้งใจฟัง ร่างกายของหญิงสาวแข็งทื่อไปทั้งตัว มีคนอยู่ตรงนี้ด้วย ใครกัน?
สีหน้าของแพทริเซียมีแววตื่นตะลึง นางสอดส่ายสายตามองไปรอบๆ ใครกันนะ คนที่เข้ามาในที่นี้ได้ นอกจากนางแล้วก็…
“หรือว่า…”
ข้อสันนิษฐานหนึ่งแวบขึ้นมาในหัว ข้อสันนิษฐานที่ดูจะเป็นไปได้นั้นวนเวียนอยู่ในหัวของนาง ร่างบางกัดริมฝีปากโดยไม่รู้ตัวพลางเงยหน้ามองผู้ชายที่ปรากฏตัวตรงหน้า ชายหนุ่มในชุดขี่ม้าผู้นั้นมองลงมาที่นางด้วยสีหน้าเย็นชา คำเรียกแทนตัวอีกฝ่ายหลุดออกมาจากปากของแพทริเซียโดยอัตโนมัติ
“ฝ่าบาท”
“จักรพรรดินีมาทำอะไรที่นี่”
เขาคือลูซิโอนั่นเอง