นางตอบกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“มาขี่ม้าเพคะ”
ก็เห็นๆ อยู่ นางออกมาคลายเครียดแท้ๆ แต่ดูเหมือนจะยิ่งได้ความเครียดกลับไปเสียอย่างนั้น เพราะตัวการที่ทำให้นางเครียดได้มากที่สุดยืนอยู่ตรงหน้านี้แล้ว
แพทริเซียทำสีหน้าเหนื่อยหน่ายก่อนทำท่าจะขึ้นหลังม้า ถูกม้ากัด มิหนำซ้ำยังเจอพระจักรพรรดิ วันนี้ต้องเป็นวันโชคร้ายของนางแน่ๆ
ในตอนนั้นเอง ลูซิโอก็รั้งแพทริเซียที่กำลังจะขึ้นม้าไว้
“เดี๋ยวสิ”
“…”
เขารั้งข้าไว้ทำไม?
“มีธุระอันใดกับหม่อมฉันหรือเพคะ” แพทริเซียถามอีกฝ่ายด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก
“มือเจ้า”
“…”
อา ถูกเห็นตอนดูไม่จืดเข้าให้แล้ว อย่างน้อยถ้าคนที่เห็นไม่ใช่ผู้ชายคนนี้ก็คงจะดี ด้วยเหตุนั้นแพทริเซียจึงแสร้งทำราวกับว่าไม่เป็นอะไร
“ไม่เป็นไรเพคะ”
“ดูไม่เป็นเช่นนั้นเลยนะ”
แพทริเซียไม่เข้าใจว่าทำไมลูซิโอต้องทำหน้าขรึม ตัวนางจะได้รับบาดเจ็บหรือจะสบายดีก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเขา เพราะนางไม่ใช่โรสมอนด์ หญิงสาวพยายามพูดเบนความสนใจของอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงราบเรียบราวกับนางไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ
“แค่แผลถากๆ เท่านั้น ไม่ได้หนักหนาเพคะ”
“…”
ลูซิโอเงียบ ไม่มีการตอบสนองใดๆ ไม่รู้ว่าเขาฟังที่นางพูดอยู่หรือไม่ หรืออาจแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน จากนั้นเขาก็ลงจากหลังม้า
แค่นั้นยังไม่เท่าไร สิ่งที่ทำให้แพทริเซียตกใจคือเรื่องถัดมา
ลูซิโอเดินเข้ามาใกล้ แพทริเซียถอยหลังหนีโดยไม่รู้ตัวแต่ก็ไม่เป็นผล
“เราสงสัยเหลือเกินว่าคำว่า ‘ถากๆ’ ใช้กับแผลเช่นนี้ได้ตั้งแต่เมื่อใด”
“…”
แพทริเซียเบนสายตาไปทางอื่นขณะที่ได้ยินเสียงถอนหายใจของอีกฝ่ายดังเต็มสองหู นางรอให้เขาจากไป แต่ท่าทางเขาจะไม่อยากทำตามที่นางปรารถนา
แม้แพทริเซียจะเบนสายตาไปแล้ว แต่ก็ยังเห็นผ้าเช็ดหน้าสีขาวที่คุ้นตา ทำมาเป็นห่วง ดูไม่สมเป็นเขาเลย แพทริเซียกล่าวออกมาอย่างเย้ยหยัน
“หม่อมฉันได้เห็นผ้าเช็ดหน้าผืนนี้บ่อยเหลือเกินนะเพคะ”
“…”
เขาไม่ตอบโต้ใดๆ แต่กลับดึงมือของแพทริเซียไปดู แพทริเซียพยายามชักมือที่ถูกจับโดยไม่รู้เจตนากลับ แต่ก็ไม่ง่ายเลย เขาออกแรงบีบมือของนางไว้ไม่ยอมปล่อย จนแพทริเซียต้องโอดครวญด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“เจ็บเพคะ”
“…”
ลูซิโอผ่อนแรงบีบเล็กน้อย ส่วนแพทริเซียมองดูสิ่งที่เขากำลังทำโดยไม่พูดอะไร เขาใช้ผ้าเช็ดหน้าพันมือตรงที่เป็นแผลอย่างคล่องแคล่วจนพาให้ปากของหญิงสาวขยับไปเอง
“ทำแผลเก่งนะเพคะ”
“…มันชินน่ะ”
เขาตอบกลับมาด้วยเสียงไม่ดังไม่เบา และในตอนนั้นเองที่แพทริเซียรู้สึกเจ็บแปลบ ดูเหมือนเขาจะจับถูกจุดที่เจ็บ หญิงสาวร้องเสียงแหลมออกมา
“โอ๊ย…”
“อะ…”
เมื่อแพทริเซียร้องออกมา ลูซิโอก็มีท่าทีตกใจจนนางรู้สึกได้ แพทริเซียกัดริมฝีปากจนห้อเลือดเพื่อระงับความเจ็บปวด
“ขอโทษ” เขารีบขอโทษ
“…ไม่เป็นไรเพคะ”
ที่จริงก็เป็น แต่นางกลับไม่อยากพูดอย่างที่ใจคิด การให้ผู้ชายคนนี้เห็นนางอยู่ในสภาพเช่นนี้ก็น่าอายมากพอแล้ว นางจะดูแย่ไม่ไปมากกว่านี้ไม่ได้ แพทริเซียสกัดกั้นความเจ็บปวดและมองดูอีกฝ่ายพันแผลที่มือของตนด้วยมือที่สั่นเทา
“เสร็จแล้ว”
เขาพันแผลอยู่สักพักก่อนจะพูดออกมา แพทริเซียค่อยๆ ชักมือกลับ ตรงส่วนที่มีผ้าพันรู้สึกปวดแปลบ นางมองมือที่มีผ้าพันก่อนจะพูดออกมา
“ผ้าเช็ดหน้า…”
“หืม?”
“ของสำคัญมิใช่หรือเพคะ” นางถามด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล “รอยเลือดมักจะซักไม่ค่อยออกนะเพคะ พระองค์ไม่จำเป็นต้องลำบากขนาดนี้…”
“มีคนเจ็บอยู่ตรงหน้าจะให้ปล่อยผ่านไปเฉยๆ ได้อย่างไร”
เขาพูดอย่างชัดเจน รู้สึกได้ถึงความเด็ดขาดจนแพทริเซียมิอาจพูดอะไรต่อได้
“เราไม่ได้เลือดเย็นถึงขนาดทิ้งคนเจ็บที่อยู่ตรงหน้าได้หรอกนะ”
“…”
แพทริเซียไม่พูดอะไร ไม่ใช่ว่านางไม่อยากพูด แต่นางไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร
นางรู้สึกแปลกๆ กว่าจะเค้นคำพูดออกมาได้เวลาก็ผ่านไปเนิ่นนาน
“…หม่อมฉันจะพยายามซักให้สะอาดที่สุดเพคะ”
“ช่างเถอะ อย่าไปสนใจเรื่องไม่เป็นเรื่องเลย”
“หม่อมฉันรู้สึกแปลกๆ เพคะ เหมือนติดค้างพระองค์อยู่”
เขาถอนหายใจออกมาเมื่อได้ยินคำนั้น
“มากเรื่องเสียจริง”
“…”
แพทริเซียอยากพูดต่อให้ว่า เรื่องเยอะแต่กับท่านเท่านั้นแหละ ไม่ใช่ใครอื่น แต่เพราะเป็นท่านซึ่งเป็นศูนย์รวมโชคร้ายทั้งหมด ข้าถึงต้องทำตัวเรื่องเยอะเช่นนี้
“เป็นพระมหากรุณาธิคุณเพคะ ฝ่าบาท” แพทริเซียว่าพลางทำหน้ามู่ทู่
“นั่นก็ไม่ต้อง วันก่อนเราก็มีเรื่องติดค้างเจ้าเช่นกัน”
“…”
หมายถึงเรื่องวันที่ฝนตกนั่นหรือเปล่านะ ขณะคิดถึงเรื่องวันนั้น สีหน้าของแพทริเซียดูเหม่อลอย เรื่องที่เขาทำตัวประหลาดๆ ในคืนพระจันทร์เต็มดวง
-แปะ แปะ แปะ ซ่า…
ทันใดนั้นเอง ฝนก็เริ่มตก ท้องฟ้าที่แจ่มใสจนถึงเมื่อครู่พลันมืดครึ้มอย่างกะทันหัน แพทริเซียเงยหน้ามองท้องฟ้าครึ้มฝนที่กำลังปล่อยน้ำลงมาด้วยสีหน้าตกใจ เมื่อครู่ฟ้ายังโปร่งอยู่เลยแท้ๆ ไฉนจู่ๆ ฝนถึงตกหนักได้ วันนี้ต้องเป็นวันโชคร้ายไม่ผิดแน่
“อะ…”
นางเปล่งเสียงแห้งๆ ออกมา ก่อนจะถูกดึงไปยังฝั่งที่ลูซิโอยืนอยู่ แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยปากต่อว่า ลูซิโอก็ชิงพูดขึ้นมาเสียก่อน
“ขี่ม้ากลับไปตอนนี้ไม่ได้หรอก แถวนี้มีที่ที่พอจะหลบฝนได้อยู่ เราไปที่นั่นกันเถอะ”
“…”
ขี่ม้าไปครู่เดียวก็ถึงตำหนักจักรพรรดินีแล้วแท้ๆ แต่ปัญหาคือตอนนี้ขี่ม้าไม่ได้ แพทริเซียจำต้องทำตามที่อีกฝ่ายพูดอย่างช่วยไม่ได้
ที่ที่พวกเขามาหลบฝนคือใต้ต้นไม้ใหญ่ แพทริเซียอ้าปากค้างเมื่อเห็นขนาดของมันซึ่งดูเหมือนจะใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาในชีวิต ดูจากกิ่งก้านที่แผ่ออกไปกว้างไกล ต้นไม้ต้นนี้น่าจะมีอายุหลายร้อยปีแล้ว หญิงสาวพึมพำออกมาด้วยความประหลาดใจ
“ต้นไม้ต้นนี้ใหญ่เหลือเกิน”
“มันมีอายุกว่าพันปีแล้วล่ะ อยู่มาตั้งแต่สมัยจักรพรรดิผู้ก่อตั้งจักรวรรดิ”
ครั้นฟังคำอธิบายจบ แพทริเซียก็ต้องตกตะลึงอีกครั้ง ต้นไม้ต้นนี้ใหญ่โตสมเป็นต้นไม้พันปี ใหญ่จนสามารถให้พื้นที่หลบฝนสำหรับคนทั้งคู่ได้
แพทริเซียเลือกที่มุมหนึ่งและนั่งลงไป ลูซิโอตามมานั่งข้างๆ และนางก็ไม่ได้ว่าอะไร
“…”
“…”
ใต้ร่มไม้นั้น เขาและนางเอาแต่มองเม็ดฝนที่โปรยปรายลงมาทำให้เกิดเสียงแห่งความชุ่มช่ำโดยไม่มีคำพูดใด ความเงียบที่ปกคลุมทั้งคู่เอาไว้ทำให้เกิดบรรยากาศที่น่าอึดอัดใจ แต่แพทริเซียก็ไม่คิดว่าความเงียบนี้แปลกถึงเพียงนั้น เสียงของเม็ดฝนที่ตกกระทบพื้นดินพอจะช่วยคลายบรรยากาศที่ไม่เป็นธรรมชาตินั้นได้บ้าง
“ที่ออกมาขี่ม้าวันนี้…เพราะงานเทศกาลล่าสัตว์หรือ”
เขาเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนาก่อน และแพทริเซียก็ตอบอย่างรวดเร็ว
“เพคะ”
“คิดไม่ถึงเลย เราไม่คิดว่าเจ้าจะเข้าร่วมด้วย”
“น่าเสียดายนะเพคะ ที่บารอเนสเฟ็ลปส์ไม่ได้เข้าร่วม”
แพทริเซียพูดออกไปโดยไม่ได้ตั้งใจจะถากถางใดๆ แต่ดูเหมือนเขาจะไม่คิดเช่นนั้น คิ้วของลูซิโอขมวดมุ่น
“เจ้าประชดอย่างนั้นหรือ”
“แค่เสียดายจริงๆ เพคะ”
เมื่อนางพูดจบ ทั้งสองก็เงียบใส่กัน หญิงสาวได้ยินเสียงฝนตกอีกหลายวินาทีก่อนจะได้ยินเสียงของคนข้างๆ อีกครั้ง
“เราไม่รู้เลยว่าเจ้ามีความสามารถด้านการยุทธ์ด้วย”
“จะเรียกว่าการยุทธ์ก็น่าอายเกินไปเพคะ… หม่อมฉันเพียงแต่ยิงธนูได้เล็กน้อยเท่านั้น”
“ชอบล่าสัตว์หรือ”
แม้ว่าเขาจะถามมาโดยที่นางไม่ทันตั้งตัว แต่แพทริเซียก็ตอบออกไปเสียงเรียบ
“ไม่เพคะ ที่จริงก็ไม่ค่อยชอบ หม่อมฉันไม่ชอบการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเพคะ”
ครั้นตอบออกไปแล้ว นางก็รู้สึกว่าควรจะถามกลับ และตัดสินใจถามตามมารยาท
“แล้วฝ่าบาทล่ะเพคะ”
“เราก็ไม่ค่อยชอบ”
เขาตอบพร้อมกับสีหน้าที่ดูหมองลง เขาทำหน้าราวกับคนที่มีเรื่องในใจ แต่แพทริเซียก็ไม่ได้ใส่ใจ หญิงสาวคิดว่าเขาและนางไม่ได้มีความสัมพันธ์เช่นนั้น นางไม่อยากฟังเรื่องผิดปกติที่เขาเก็บไว้ในใจให้เกิดความรู้สึกสงสารขึ้นมา
ปล่อยให้ช่องว่างระหว่างเขาและนางอยู่ประมาณนี้ก็ดีแล้ว ความสัมพันธ์ที่ต่างคนต่างก็มีเรื่องที่ไม่รู้เกี่ยวกับกันและกันมากกว่าเรื่องที่รู้ ความสัมพันธ์ที่ไม่ใช่คนอื่นคนไกลแต่ก็มิได้ใกล้ชิดถึงขั้นเรียกว่าครอบครัว
“ได้ยินมาว่าพระจักรพรรดิองค์ก่อนโปรดปรานการล่าสัตว์อย่างมาก ท่าทางฝ่าบาทจะเหมือนพระราชมารดานะเพคะ”
“…”
เขาไม่พูดอะไรต่อและบทสนทนาของทั้งคู่ก็สิ้นสุดลง แพทริเซียรู้สึกว่าความเงียบช่างน่าอึดอัดเป็นครั้งแรก เพราะคนที่พูดคนสุดท้ายไม่ใช่เขาแต่เป็นนาง
แพทริเซียย้ายสายตาไปมองมือข้างที่เจ็บโดยไม่ได้พูดอะไร เลือดสีแดงฉานที่ซึมทะลุผ้าเช็ดหน้าสีขาวหยุดไหลแล้ว
แต่ถึงกระนั้น นางก็ยังติดอยู่ในความคิดที่ว่า เมื่อครู่ดูเหมือนเลือดจะยังไหลอยู่และความคิดที่ว่า ‘รอยเลือดนี้จะซักออกไหมนะ’
“ตอนนั้น…”
“เพคะ?”
“เรื่องตอนนั้นน่ะ”
ลูซิโอพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง แพทริเซียจ้องมองเขาด้วยสีหน้าสงสัย ท่าทางเขาดูละล้าละลังคล้ายกำลังชั่งใจ
“ตอนนั้นที่ตรัสถึง…”
“ตอนวันงานเลี้ยงรับรองคณะทูต”
อ้อ ตอนนั้นนี่เอง เขากำลังพูดถึงเรื่องที่ข้าตบหน้าโรสมอนด์โดยไม่มีสาเหตุนั่นสินะ แพทริเซียมีสีหน้าเหม่อลอยเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าเบาๆ ให้เขาพูดต่อ
“เชิญตรัสเถิดเพคะ”
“วันนั้นบารอเนสเฟ็ลปส์ทำอะไรเจ้าหรือ”
“…”
ปากของแพทริเซียหุบฉับ ทำไมถึงมาพูดเรื่องวันนั้นเอาตอนนี้ล่ะ แม้นางจะไม่ได้ทำอะไรผิด แต่การสนทนาเรื่องนี้ทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจ แต่จะให้ทำหูทวนลมก็ไม่ได้ แพทริเซียพยายามสะกดกลั้นอารมณ์ให้ได้มากที่สุดก่อนจะถามกลับไป
“อยากได้ยิน…คำตอบแบบไหนหรือเพคะ”
“เราเพียงแต่ถามเท่านั้น”
“ท่าทางพระองค์คล้ายได้ยินเรื่องอะไรมา หรือไม่…มีเหตุผลอื่นไหมเพคะ”
“ไม่ใช่ทั้งนั้น เจ้าไม่ต้องระแวดระวังขนาดนั้นก็ได้ หากเจ้าไม่อยากพูดก็ไม่เป็นไร”
“พระองค์ต้องการทราบความจริง…หรือจะให้หม่อมฉันกราบทูลให้สบายพระทัยดีเพคะ”
“อย่างแรก”
เขาตอบห้วนๆ ส่วนแพทริเซียกัดปากแน่น นางเงยหน้ามองท้องฟ้า สายฝนที่ตกลงมายังคงหนาเม็ดอยู่ และยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดง่ายๆ ซึ่งนั่นหมายความว่านางยังต้องใช้เวลาอยู่กับผู้ชายคนนี้อีกนาน แพทริเซียครุ่นคิดอยู่สักครู่ก่อนจะเอ่ยปากพูดช้าๆ
“หม่อมฉันตั้งใจจะไม่กราบทูล”
“ทำไมล่ะ”
“น่าจะทรงทราบเหตุผลดีอยู่แล้วนะเพคะ”
แพทริเซียยิ้มเยาะก่อนจะพูดต่อไป
“หม่อมฉันคิดว่าต่อให้กราบทูลอะไรไปก็คงไม่ทำให้นางได้รับโทษ”
“…”
“หม่อมฉันพูดผิดหรือไม่เพคะ”
“ก็ต้องดูเป็นเรื่องๆ ไป”
‘ก็ต้องดูเป็นเรื่องๆ ไป’ หรือ… แพทริเซียทวนคำนั้นเบาๆ ก่อนจะเปิดปากพูดอีกครั้ง
“เช่นนั้นหม่อมฉันสามารถอนุมานได้ว่าถ้าเป็นโทษหนักก็จะลงโทษนางได้ใช่หรือไม่เพคะ”
“…ลองพูดมาก่อน”
“…”
แพทริเซียไม่ได้คาดหวังการลงโทษอะไรตั้งแต่แรก ตนรู้ดีกว่าใครว่าถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็จะไม่เป็นประเด็นขึ้นมา
เพราะฉะนั้นการพูดถึงเรื่องนั้นตอนนี้ก็แค่…คิดเสียว่าเป็นเพียงความอยากรู้อยากเห็น แพทริเซียสงสัยจริงๆ ว่าอีกฝ่ายจะมีปฏิกิริยาอย่างไรตอนที่ได้ฟัง
“พระองค์น่าจะทรงทราบดีกว่าใครว่าจักรวรรดิคริสตาห้ามรับประทานเนื้อหมู”
“…”
“บารอเนสเฟ็ลปส์นำเนื้อหมูมาสับเปลี่ยนกับเนื้อวัวที่จะใช้ทำสเต็กเพคะ”
อา…เรื่องเป็นเช่นนี้นี่เอง แม้ว่าเขาจะรู้ดีอยู่แล้ว แต่เมื่อได้ฟังอีกครั้งก็ยังตกใจอยู่ดี คราวนี้ลูซิโอต้องยอมจำนนแล้วว่าโรสมอนด์ของเขาทำเรื่องเลวร้ายเช่นนั้น นางทำสิ่งที่อาจลุกลามกลายเป็นปัญหาระหว่างสองจักรวรรดิได้
“…ทรงทราบอยู่แล้วหรือเพคะ”
กลายเป็นแพทริเซียที่ต้องตะลึงเมื่อเห็นว่าเขาดูไม่ตกใจแม้แต่น้อย เช่นนั้นที่เขาถามมาก็เพื่อความแน่ใจ? หรือเขาจะรู้แผนการร้ายของนางอยู่ก่อนแล้ว? หรือว่า… ข้อสันนิษฐานมากมายหลั่งไหลออกมาจนแพทริเซียไม่อาจซ่อนความสับสนเอาไว้ในใจได้ แต่นางก็พูดต่อไปโดยทำน้ำเสียงเหมือนไม่รู้สึกอะไร
“ฝ่าบาทดูไม่ตกพระทัยเลย”
“ตกใจสิ”
“…”
เขาพูดออกมาเองว่าเขาตกใจ แพทริเซียจึงไม่รู้จะหาเรื่องอะไรต่อได้ ริมฝีปากบางขยับขมุบขมิบอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยปากถามอีกฝ่าย
“แล้วสิ่งที่หม่อมฉันกราบทูลไปส่งผลอะไรต่อพระองค์บ้างไหมเพคะ”
“…”
แพทริเซียรู้สึกได้ว่าเขากำลังสับสน แม้ว่าเขาจะไม่พูดอะไร แม้จะไม่รู้ว่าจุดไหนที่ไปกระทบใจเขาก็ตาม แต่นางมั่นใจ…