คนผู้นั้นเป็นชายหนุ่มร่างสูง ผมสีน้ำตาล นัยน์ตาสีน้ำตาลแดง รูปร่างดูแข็งแรงล่ำสัน ขณะที่เปโตรนิยาได้แต่ยืนเหม่อ เขาก็เป็นฝ่ายเอ่ยปากถามก่อน
“ขออภัยครับ เลดี้ ท่าทางคนขับรถม้าของข้าจะเสียมารยาทแล้ว”
“มิได้ค่ะ ลอร์ด ข้าไม่เป็นไร”
แม้ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร แต่ดูจากการแต่งกายและสภาพของรถม้าแล้ว เขาต้องเป็นบุตรของตระกูลขุนนางเป็นแน่ เปโตรนิยาเอ่ยถามอย่างรักษามารยาท
“บาดเจ็บตรงไหนไหมคะ”
“ข้าไม่เป็นไรครับ แล้วเลดี้บาดเจ็บตรงไหนหรือไม่”
“ค่ะ ข้าก็ไม่ได้บาดเจ็บอะไร…”
เมื่อรู้แล้วว่าต่างฝ่ายต่างสบายดี ในที่สุดเปโตรนิยาก็เผยสีหน้าโล่งใจ
“โล่งอกไปทีค่ะ เช่นนั้นข้าคงต้องขอตัวก่อน เดินทางปลอดภัยนะคะ” นางกล่าว
“ดะ เดี๋ยวครับ เลดี้”
ฝ่ายชายตั้งใจจะรั้งเปโตรนิยาไว้แต่นางยังไม่ทันได้ฟังก็ขึ้นรถม้ามาเสียก่อน จากนั้นรถม้าของเปโตรนิยาก็เคลื่อนตัวออกไป ชายผู้นั้นยืนเหม่อลอยอยู่ที่เดิมสักพักจนคนขับรถม้าต้องเอ่ยเตือนว่าหากไม่รีบจะสายเอาได้ เขาจึงขึ้นรถม้าไป
ในวันเดียวกันนั้นลูซิโอมัวแต่จดจ่ออยู่กับงานจนยุ่งทั้งวัน เขาเติมเต็มช่วงเวลาที่ตนไม่อยู่อย่างรวดเร็วราวกับจะแสดงให้เห็นว่าช่องว่างในช่วงที่เขาหมดสติไปนั้นไม่มีความหมายอันใด เขานึกชื่นชมการทำงานอย่างเอาใจใส่ของแพทริเซียขณะอ่านเอกสารขอการอนุมัติที่ถูกส่งมาจากตำหนักจักรพรรดินี
“ฝ่าบาท เลดี้โรสมอนด์ขอเข้าเฝ้าเพคะ”
“โรสมอนด์หรือ”
เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าและบอกให้นางเข้ามา โรสมอนด์มาในชุดเดรสที่ถูกตกแต่งอย่างงดงามเช่นเคย ทั้งยังมีรอยยิ้มประดับที่มุมปากเป็นของแถม หญิงสาวเรียกเขาด้วยน้ำเสียงออดอ้อน
“ฝ่าบาท”
“มาแล้วหรือโรส”
“ยุ่งอยู่หรือเพคะ ช่วงนี้ไม่ค่อยเสด็จไปที่ตำหนักเวนเลย”
“อย่างที่เจ้ารู้ ข้าหมดสติไปพักหนึ่ง ขอโทษนะ ไว้อีกเดี๋ยวจะไปหา”
“สัญญาแล้วนะเพคะ”
โรสมอนด์ยิ้มเหมือนเด็กพลางนั่งลงบนตักของชายหนุ่ม แขนเรียวโอบไหล่หนารั้งตัวเขาเข้ามาจูบเบาๆ ก่อนจะบอกเหตุผลของการมาเยือน
“ที่จริงข้ามาหาเพราะมีเรื่องจะบอกค่ะ ลูซิโอ”
“มีเรื่องจะบอก? เรื่องอะไรล่ะ”
“ไม่ใช่เรื่องสำคัญหรอกค่ะ ข้าว่าจะไปที่หัวเมืองสักหน่อย”
ครั้นได้ยินคำว่า ‘หัวเมือง’ คิ้วของลูซิโอก็เคลื่อนมาชิดกันคล้ายกำลังครุ่นคิด และเมื่อเขากระจ่างในคำพูดของอีกฝ่าย สีหน้าของเขาก็ยิ่งบึ้งตึง
“เจ้าจะไปหาบารอนแดโรว์หรือ”
“เพคะ ฝ่าบาท” โรสมอนด์กลับมาเรียกอีกฝ่ายเช่นเดิม
“ด้วยเหตุใด?”
“มีเรื่องจะไหว้วานเขาน่ะเพคะ”
“เขาน่ะหรือ?”
“เพคะ ฝ่าบาท”
นางยิ้มกว้างและอธิบาย “หม่อมฉันต้องการหนังสือสละอำนาจปกครองบุตรเพคะ”
“หนังสือสละอำนาจปกครองบุตร? จู่ๆ เจ้าพูดเรื่องอะไรกัน”
“ตามที่กราบทูลเลยเพคะ ต่อไปหม่อมฉันจะมิใช่บุตรีของบารอนแดโรว์อีกแล้ว”
“เช่นนั้น?”
“ดยุกเอเฟรนีจะรับหม่อมฉันเป็นบุตรีบุญธรรมเพคะ เพราะฉะนั้นหม่อมฉันก็จะกลายเป็นบุตรีของดยุกเอเฟรนี มิใช่แค่บุตรีของบารอน”
“…”
ครั้นได้ฟังดังนั้นลูซิโอก็มีสีหน้าครุ่นคิด ด้านโรสมอนด์ที่เข้าใจว่าอีกฝ่ายจะต้องยินดีกับนางอย่างแน่นอน เมื่อเห็นท่าทีของเขานางก็เอ่ยถามอย่างว้าวุ่นใจเล็กน้อย
“อา…หรือพระองค์ไม่พอพระทัยที่หม่อมฉันจะทิ้งสกุลแดโรว์แล้วไปใช้สกุลเอเฟรนี?”
“ไม่หรอก เรื่องนั้นเป็นสิทธิ์ของเจ้า ข้าเพียงแต่สงสัยว่าอยู่มาจนป่านนี้ ไฉนจู่ๆ จึงคิดจะทำเช่นนั้น”
“อ๋อ มิใช่เพิ่งคิดจะทำหรอกเพคะ”
นางยิ้มสดใสและแก้ไขคำพูดของเขา “เรื่องคราวนี้กระทบกระเทือนจิตใจหม่อมฉันอย่างมากเพคะ ฝ่าบาท หม่อมฉันถูกสบประมาทเช่นนั้นเพียงเพราะว่าหม่อมฉันเป็นบุตรีของบารอน ตอนนี้หม่อมฉันจึงต้องอยู่เคียงข้างพระองค์ในฐานะสตรีที่ไม่มีแม้แต่บรรดาศักดิ์ใดๆ”
“…”
“จักรพรรดินีที่คิดจะประหารหม่อมฉันด้วยโทษทัณฑ์ที่หม่อมฉันมิได้ก่อก็น่ากลัวเหลือเกิน พวกขุนนางคนอื่นๆ ก็ด้วยเพคะ โชคดีที่คราวนี้ใต้เท้าเอเฟรนีช่วยชีวิตหม่อมฉันไว้”
“…นั่นสินะ”
“ท่านยังบอกอีกว่าอยากมีบุตรีอย่างหม่อมฉัน หม่อมฉันก็เลยตกปากรับคำด้วยความยินดีเพคะ”
“…”
“โชคดีจังเลย จริงไหมเพคะ”
“…นั่นสินะ”
ลูซิโอเอ่ยตอบอย่างยากลำบาก เขารู้ว่านางมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องคราวนี้ แม้จะรู้สึกสิ้นหวังอยู่บ้างแต่เขาก็ไม่ได้แสดงออกและรับจุมพิตจากโรสมอนด์ที่ยื่นหน้าเข้ามาหาด้วยรอยยิ้ม
เขายังไม่อาจทอดทิ้งนางเพียงเพราะว่านางเสแสร้งได้ อย่างน้อยก็ในตอนนี้ เพราะหากเขาทำเช่นนั้นก็เท่ากับว่าตัวเขาเองก็เสแสร้งเช่นกัน
***
ดัชเชสเอเฟรนีดูตกใจมากทีเดียวที่เห็นเปโตรนิยามาหาตนถึงบ้าน นางเชิญเปโตรนิยาเข้ามาข้างในและพาไปยังห้องรับแขก ก่อนจะนำทาร์ตสตอรว์เบอร์รีและชาแดงฉีเหมินออกมารับรอง
“ไม่คิดเลยว่าเลดี้เปโตรนิยาจะมาหาข้าถึงที่นี่ คาดไม่ถึงเลยจริงๆ” ดัชเชสเอเฟรนีกล่าว
“เหตุใดจึงคิดเช่นนั้นล่ะคะ ในเมื่อดัชเชสเองก็มีตำแหน่งสำคัญในฝ่ายใน ส่วนข้าก็เป็นพี่สาวของพระจักรพรรดินีผู้ปกครองฝ่ายใน”
เปโตรนิยาตอบอย่างเรียบเฉย ก่อนจะยื่นจดหมายที่กอดไว้แนบอกให้อีกฝ่าย ผู้รับถามกลับมาด้วยความสงสัย
“นี่อะไรหรือคะ”
“จดหมายจากฝ่าบาทถึงดัชเชสค่ะ ส่งมาเพื่อแสดงความเสียพระทัยกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับลอร์ดเอเฟรนีน่ะค่ะ”
“อา ตายจริง…”
ดัชเชสเอเฟรนีอ่านจดหมายยังไม่ทันจบก็เริ่มร้องไห้ออกมา เปโตรนิยาตะลึงเล็กน้อยที่จู่ๆ คนตรงหน้าก็ร้องไห้จึงเริ่มปลอบนางอย่างใจเย็น
“ฝ่าบาททรงเป็นห่วงมากเลยนะคะ ดัชเชส หากท่านต้องการอะไรขอให้บอกมาเถอะค่ะ”
“ฮือ…ขอบคุณค่ะ เลดี้เปโตรนิยา…ขอบคุณจริงๆ”
หากจะพูดกันตามตรง เปโตรนิยารู้สึกไม่ชินกับเรื่องนี้ ดัชเชสเอเฟรนีในความทรงจำของนางเป็นคนจู้จี้จุกจิกเป็นที่สุด ทั้งยังใจแคบและเข้มงวดกับความผิดพลาด
คนเช่นนั้นมาร้องไห้อยู่แบบนี้เพราะลูกชายกำลังป่วยหรือนี่ นางเองก็ลืมไปว่าความจริงแล้วอีกฝ่ายก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง เปโตรนิยาพยายามสลัดความรู้สึกแปลกๆ ออกไปและปลอบใจคนตรงหน้าต่อไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ไม่เป็นไรค่ะ ดัชเชส หวังว่าลอร์ดเอเฟรนีจะหายป่วยในเร็ววันนะคะ”
“ข้าไม่มีหน้าไปพบฝ่าบาทแล้วค่ะ กำลังจะมีงานใหญ่แท้ๆ แต่ข้ากลับเสียมารยาท…”
ครั้นได้ยินดังนั้นเปโตรนิยาก็ไม่พลาดที่จะถามต่อทันที
“เหนือสิ่งอื่นใด…ปัญหาที่ใหญ่กว่านั้นคือใครจะเป็นผู้ดูแลคฤหาสน์ระหว่างที่ดัชเชสไม่อยู่มิใช่หรือคะ”
“…”
เพียงคำพูดนั้นก็ทำให้ดัชเชสเอเฟรนีที่กำลังหดหู่เปลี่ยนสีหน้าเป็นแข็งกร้าวขึ้นทันที เปโตรนิยารับรู้โดยสัญชาตญาณว่านางไปสะกิดต่อมอะไรบางอย่างของดัชเชสเอเฟรนีเข้าให้แล้ว
อ้อ จะว่าไปแล้วดยุกเอเฟรนีมีอนุภรรยาอยู่คนหนึ่งสินะ ได้ยินว่าเด็กกว่าดยุกเอเฟรนีถึงสิบสามปีเลยกระมัง? และสาวกว่าดัชเชสถึงสิบปี คล้ายว่าลูกชายของนางเพิ่งฉลองวันเกิดครั้งแรกไปเมื่อปีก่อน เปโตรนิยาพยายามเก็บสีหน้าผิดปกติไว้ขณะรอคำตอบจากอีกฝ่าย ท่าทีของดัชเชสเอเฟรดูพลุ่งพล่าน สีหน้าไม่พอใจ
“ข้าเองก็กังวลเรื่องนั้นอยู่เหมือนกันค่ะ เลดี้ ตัวข้าไม่อยู่ พี่น้องข้าก็ไม่มี คนรู้จักก็ไม่มี เลยไม่รู้จะฝากบ้านไว้กับใคร ถ้ามีลูกสาวสักคนก็คงจะดี…”
ดัชเชสเอเฟรนีมองเปโตรนิยาด้วยสีหน้าเจือความเสียดาย หากมีลูกสาวเช่นนี้สักคนจะดีเพียงใด มีลูกชายที่โตเป็นหนุ่มอยู่คนหนึ่งแล้วอย่างไร ตอนนี้กลับป่วยจะเป็นจะตายอยู่ต่างบ้านต่างเมืองเสียนี่…
จู่ๆ ความเศร้าก็ตีรื้นขึ้นมาทำให้สีหน้าของดัชเชสเอเฟรนีเหยเก ราวกับความรู้สึกมากมายในใจปะทุออกมาพร้อมกัน เปโตรนิยาปลอบโยนอีกฝ่ายอย่างอบอุ่น
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ดัชเชส ตอนอยู่ต่อหน้าข้าไม่ต้องอดทนก็ได้นะคะ เราก็มิใช่คนอื่นไกลเสียหน่อย”
แน่นอนว่าเป็นคนอื่น แต่ในสถานการณ์เช่นนี้คำพูดนี้ก็เหมือนดินปืนชั้นดีที่จะช่วยทลายกำแพงในใจของอีกฝ่าย
“ฮึก…”
เปโตรนิยาคาดเดาได้ถูกต้อง ดัชเชสเอเฟรนีเริ่มร้องไห้ ตอนที่เห็นนางทำหน้าขึงขัง ท่าทางวางอำนาจบาตรใหญ่เป็นประจำนั้นแทบจะจินตนาการถึงตัวนางในสภาพนี้ไม่ออกเลย แต่ก็หาใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพราะในโลกนี้ไม่มีใครไม่มีจุดอ่อน ยิ่งจุดอ่อนที่เป็นลูกชายแสนรักหรืออนุภรรยาที่ตนอิจฉายิ่งแล้วใหญ่ เปโตรนิยาปลอบอีกฝ่ายด้วยความเห็นใจ
“ไม่เป็นไรนะคะ ไม่เป็นไรค่ะ ดัชเชส…”
“ฮึก…เลดี้ ข้าจะทำอย่างดี ลูกชายข้าจะปลอดภัยหรือไม่ หากไม่มีเขาแล้ว ข้าคง…”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ดัชเชส อย่าห่วงไปเลยนะคะ ลอร์ดเอเฟรนีต้องหายดีแน่ค่ะ”
“ถึงอย่างนั้นข้าก็ยังกังวลอยู่ดี ระหว่างที่ข้าไม่อยู่ ไม่รู้ว่านางชั้นต่ำนั่นจะแผลงฤทธิ์อะไรอีก…”
ดูเหมือนดัชเชสเอเฟรนีจะโกรธจัดจนเอ่ยถึงอนุภรรยาขึ้นมา ทั้งที่ปกติแล้วนางจะไม่เอ่ยถึงเรื่องน่าอดสูของตนเลย เปโตรนิยาสบโอกาสพูดต่อไป
“ข้ารู้ค่ะว่าใต้เท้าเอเฟรนีมีอนุภรรยา”
“…”
จะไม่รู้ได้อย่างไร ลูกก็มีเป็นตัวเป็นตนแล้ว ต่อให้เป็นลูกนอกสมรสอย่างไรก็ต้องรู้กันไปทั่ว อันที่จริงการที่คนระดับดยุกเอเฟรนีจะไม่มีอนุภรรยาเลยสักคนนั้นเป็นเรื่องที่น่าแปลกยิ่งกว่า ทว่า ความอัปยศอดสูที่ดัชเชสเอเฟรนีผู้เป็นบุตรีของตระกูลมาร์ควิสซึ่งมีประวัติอันยาวนานได้รับคงไม่มีใครหยั่งถึงเป็นแน่
เปโตรนิยาดึงจุดนั้นมาใช้ สตรีที่หยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีอย่างดัชเชสเอเฟรนีไม่มีทางที่จะไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องแบบนี้เป็นแน่
“คงกังวลมากเลยสินะคะ ปลาเน่าตัวเดียวแต่พาลเหม็นไปทั้งข้องเช่นนี้[1]”
“…”
“ยิ่งไม่มีใครที่ไว้ใจได้เลยก็ยิ่ง…”
“เลดี้เปโตรนิยา”
ดัชเชสเอเฟรนีเรียกเปโตรนิยาด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองแต่เปโตรนิยาก็ไม่เปลี่ยนสีหน้า
“ท่านอยากจะพูดอะไรกันแน่”
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ดัชเชส ข้าเพียงแต่เป็นห่วงเท่านั้น เพราะเสด็จน้องของข้าก็กำลังหัวเสียกับเรื่องทำนองนี้อยู่…”
คราวนี้เปโตรนิยาเป็นฝ่ายร้องไห้กระซิกๆ ส่วนดัชเชสเอเฟรนีมีสีหน้าประหลาด เปโตรนิยายังคงแสร้งทำเป็นร้องไห้พลางสังเกตอาการของอีกฝ่าย
อ๊ะ ติดกับแล้ว
“เลดี้โกรเชสเตอร์”
ดัชเชสเอเฟรนีเรียกเปโตรนิยา หญิงสาวนึกกระหยิ่มยิ้มย่องในใจก่อนจะปาดน้ำตา มองไปที่คนตรงหน้าพลางขานตอบ
“ค่ะ ดัชเชส”
“หากไม่เป็นการรบกวน…” นางพูดกับเปโตรนิยาด้วยสีหน้าฉายแววจริงจัง “ระหว่างที่ข้าไม่อยู่ช่วยมาดูแลเรื่องในบ้านข้าให้หน่อยได้ไหมคะ”
“…อะไรนะคะ”
เปโตรนิยาถามย้ำด้วยสีหน้างุนงง ดัชเชสเอเฟรนีขอร้องนางด้วยสีหน้าจริงจังเป็นที่สุดอีกครั้ง
“ข้าขอร้องอย่างเป็นทางการค่ะ เลดี้เปโตรนิยา ข้าต้องไปดูลูก เขาเป็นทุกอย่างในชีวิตของข้า แต่ช่วงที่ข้าไม่อยู่ ข้าก็ไม่รู้ว่านางคนชั่วช้านั่นจะใช้เล่ห์เหลี่ยมอะไรมาสั่นคลอนตำแหน่งของข้าหรือไม่”
ดัชเชสเอเฟรนีพูดต่อเสียงพร่า “เพราะฉะนั้น ข้าขอร้องนะคะ เลดี้ โปรดช่วยข้าเพียงระยะหนึ่งเท่านั้น แล้วข้าจะหาทางตอบแทนท่านให้ได้”
[1] ปลาเน่าตัวเดียวเหม็นทั้งข้อง เป็นสำนวนหมายถึง พฤติกรรมไม่ดีของบุคคลเพียงคนเดียวส่งอิทธิพลจากกลุ่มนั้นๆ ทั้งหมดหรือคนหลายคน