เป็นดยุกเอเฟรนี และโรสมอนด์ บุตรีของเขา แพทริเซียฝืนยิ้มต้อนรับคนทั้งคู่แม้จะยังวิงเวียนศีรษะ
“ไม่พบกันนานเลยนะคะ ทั้งสองคน”
“โอ้…พระจักรพรรดินีก็อยู่ด้วยหรือเพคะ”
“ถวายบังคมจันทราแห่งจักรวรรดิ ขอพระพรแห่งพระเจ้าจงสถิตแด่มาวินอส”
โรสมอนด์ซึ่งมีตำแหน่งเป็นมาร์เชอเนสเอธิลเลอร์ทำความเคารพแพทริเซียอย่างถูกต้องสมบูรณ์ นี่คงเป็นเพราะจักรพรรดิอยู่ด้วยล่ะสิ หากเขาไม่อยู่นางอาจจะไม่ทักทายตนเลยก็ได้ แพทริเซียเยาะหยันในใจก่อนจะเอ่ยถามดยุกเอเฟรนี
“ฟังว่าดัชเชสยังไม่กลับมาใช่ไหมคะ”
ได้ยินดังนั้นสีหน้าของดยุกเอเฟรก็หม่นลงเล็กน้อย
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท โรคอันเกิดแก่บุตรของกระหม่อมรุนแรงนัก…”
“แย่จริง ขอให้หายไวๆ นะคะ ใช่ไหมคะ มาร์เชอเนส?”
“หม่อมฉันเองก็เป็นห่วงน้องชายอย่างมากเพคะ หากมิได้ผูกติดอยู่กับราชวงศ์ หม่อมฉันคงไปหาเขาแล้ว…”
เห็นโรสมอนด์แสดงละครอย่างน่ารังเกียจแพทริเซียก็ได้แต่ยิ้มมุมปากเงียบๆ
“ฝ่าบาท กระหม่อมมีเรื่องต้องกราบทูลพ่ะย่ะค่ะ” ดยุกเอเฟรนีเอ่ยกับลูซิโอ
“ด่วนหรือไม่”
“เกี่ยวกับราชการแผ่นดินพ่ะย่ะค่ะ เรื่องการกำหนดงบประมาณช่วยเหลือราษฎรที่ยากไร้ในครานี้”
“เฮ้อ…”
เขาถอนหายใจออกมาอย่างไม่ปิดบังก่อนจะพูดกระเซ้า
“ในวันแบบนี้เราควรได้ใช้เวลาร่วมกับจักรพรรดินีบ้างมิใช่หรือ”
ลูซิโอหัวเราะเสียงเย็นให้กับลูกไม้ตื้นๆ ของอีกฝ่าย ดยุกเอเฟรนีเห็นดังนั้นถึงกับสะดุ้ง ลูซิโอมองแพทริเซียแต่นางกลับพยายามหลบตาเขา เขามองต่อไปอีกครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวห้วนๆ
“ได้สิ ส่วนจักรพรรดินีก็อย่าลืมที่เราพูดเมื่อครู่เสียล่ะ”
“…”
คล้อยหลังลูซิโอกับดยุกเอเฟรนีก็เหลือแค่แพทริเซียกับโรสมอนด์สองคนเท่านั้น ขณะที่แพทริเซียมีสีหน้าอ่อนล้าทำท่าจะเดินไปที่อื่น โรสมอนด์ก็รั้งไว้
“พระจักรพรรดินี ไยจึงหมางเมินหม่อมฉันเช่นนี้เล่าเพคะ หม่อมฉันรู้สึกเศร้านัก”
“เจ้าก็พูดเกินไป เราเพียงแต่จะหาที่พักเพราะไม่ค่อยสบายเท่านั้น ไม่ว่าเมื่อก่อนหรือตอนนี้เจ้าก็ตีตนไปก่อนไข้เสมอเลยนะ”
“ไม่รู้สิเพคะ นั่นก็ขึ้นอยู่กับจิตสำนึกของพระองค์กระมัง”
“…คำพูดคำจาระวังไว้บ้างก็ดี เราคิดมาตลอดว่าปากเจ้านี่มันสามหาวนัก”
“หากหม่อมฉันล้ำเส้นไปต้องขอประทานอภัยด้วยเพคะ”
โรสมอนด์เผยยิ้มขัดกับคำพูดก่อนจะเอ่ยถามแพทริเซียอย่างไม่ยี่หระ
“หม่อมฉันขออนุญาตทูลถามได้หรือไม่ว่าพระองค์จะมอบดอกไม้อะไรให้องค์จักรพรรดิ”
“ไยจึงสงสัยเรื่องนั้น”
“หม่อมฉันค่อนข้างขี้สงสัยเพคะ”
“…แพนโดราก็ถึงกาลวิบัติเพราะความสงสัยนะ”
แพทริเซียเอ่ยเตือนด้วยเสียงทุ้มต่ำ ได้ยินดังนั้นโรสมอนด์ก็กล่าวด้วยท่าทีตื่นตระหนกเกินเหตุ
“ตายจริง ฝ่าบาทนี่ล่ะก็ แค่หม่อมฉันถามเรื่องดอกไม้ ไยต้องเปรียบหม่อมฉันกับผู้หญิงแบบนั้นด้วยเล่าเพคะ”
“เพราะเจ้ากับนางไม่ต่างกัน แพนโดราเองก็ ‘แค่’ สงสัยว่าในกล่องมีอะไรเท่านั้นก่อนจะพบกับโศกนาฏกรรม”
“หากฝ่าบาทไม่ประสงค์ที่จะบอกกล่าวก็พูดมาตามตรงเถอะเพคะ”
“หากเจ้ารู้ความลับแต่เพียงผู้เดียวมันก็ไม่ยุติธรรมน่ะสิ”
“แต่หม่อมฉันกลับคิดว่า แค่เรื่องดอกไม้หม่อมฉันมีสิทธิ์ที่จะรู้ในฐานะสนมขององค์จักรพรรดินะเพคะ”
โรสมอนด์ว่าพลางยิ้มเหี้ยมเกรียมและเริ่มพูดเรื่องอื่นต่อ “จริงสิ ฝ่าบาททรงทราบหรือไม่เพคะ”
“เรื่องอันใด”
“เรื่องจักรพรรดินีอลิซา”
“…”
แพทริเซียเขม้นมองโรสมอนด์ คนที่รู้เรื่องจักรพรรดินีอลิซาอย่างถ่องแท้นั้นแทบไม่มี สาเหตุที่ทำให้นางถูกปลดจากตำแหน่งจักรพรรดินีก็หาใช่เพราะนางทำให้บุตรสังหารมารดาบังเกิดเกล้า แต่เป็นเพราะความฟุ้งเฟ้อของนางเท่านั้น แน่นอนว่าครอบครัวของอดีตจักรพรรดินีอย่างตระกูลดยุกออสวินย่อมทราบถึงความจริงข้อนี้ พวกเขาจึงต้องยอมรับเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้นนั้นด้วยความขอบคุณ
“เจ้าบังอาจกล่าวถึงความอับยศของฝ่าบาทอย่างนั้นรึ” แพทริเซียคำรามเสียงต่ำอย่างน่าขนลุก
“ว่าแล้วเชียว” สีหน้าของโรสมอนด์พลันเปลี่ยนเป็นหน้าเย็นชาไม่แพ้กัน “ทรงทราบสินะเพคะ หม่อมฉันก็คาดไว้แล้ว”
“เห็นได้ชัดว่าเจ้ามีสาเหตุให้คิดเช่นนั้น”
แพทริเซียกระซิบเบาๆ ที่หูของโรสมอนด์ “เจ้าคงคิดว่าเราใช้เรื่องนั้นมาครอบครองความรักของฝ่าบาทล่ะสิ และเจ้าก็คงจะคิดว่าฝ่าบาทเปลี่ยนพระทัยจากเจ้ามาหาเราก็เพราะเรื่องนั้นเช่นกัน”
“ตายจริง” โรสมอนด์อุทานออกมาอย่างเสียดาย “ทรงทราบทุกเรื่องเชียวหรือ ฝ่าบาท เพราะเหตุนี้หม่อมฉันจึงได้กริ่งเกรงพระองค์ยิ่ง”
“เจ้าหาได้เกรงกลัวผู้ใดนอกจากตัวเองแท้ๆ เสแสร้งเก่งนัก”
“กระทั่งเรื่องนี้ก็ยังมองออกอย่างทะลุปรุโปร่ง หม่อมฉันจะไม่กลัวพระองค์ได้อย่างไรเพคะ” โรสมอนด์ยิ้มอย่างชั่วร้ายพลางกล่าว “เช่นนั้นพระองค์ก็คงจะทราบดีกระมัง ฝ่าบาท”
“…”
“หากวันใดมีสตรีที่เหมือนกับพระองค์ปรากฏตัวขึ้น พระองค์ก็จะเจริญรอยตามหม่อมฉัน”
“ดูเหมือนเจ้าจะคิดว่าเรากลัวเรื่องพรรค์นั้น” แพทริเซียส่ายศีรษะ สีหน้ามีแววขบขัน “ช่างน่าเสียดายที่เจ้าคิดผิด เพราะเราหาได้รักพระจักรพรรดิไม่”
แม้ว่าพระองค์จะรักข้าก็ตาม
ได้ยินดังนั้นมือของโรสมอนด์ก็สั่นเทิ้ม แพทริเซียเห็นดังนั้นก็ยิ่งขบขัน
“ดูเหมือนเจ้ากำลังหึงหวง”
“หาได้เป็นเช่นนั้นเพคะ”
“ทำไมจะไม่ใช่ล่ะ เราเข้าใจ ได้ยินว่าตั้งแต่งานรำลึกฯ ที่ผ่านมา…เจ้าก็ยังไม่ได้ถวายการรับใช้ฝ่าบาทเลยสักครั้งใช่หรือไม่”
“…ฝ่าบาท เหตุใดจู่ๆ ถึงทำเช่นนี้กับหม่อมฉันล่ะเพคะ” โรสมอนด์ถามอย่างหงุดหงิด “ทั้งที่ส่งน้ำหอมและดอกกุหลาบมาให้หม่อมฉันแท้ๆ”
โรสมอนด์กระซิบข้างหูแพทริเซียด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียม “หากทรงตระหนักถึงสถานะของจักรพรรดินีที่เป็นหมัน จากนี้ก็ถึงเวลาที่พระองค์จะอยู่เงียบๆ แล้วมิใช่หรือเพคะ ของขวัญพวกนั้นมิได้หมายความเช่นนั้นหรอกหรือ”
“ถูกแล้ว มาร์เชอเนส” แพทริเซียแค่นยิ้มพลางตอบ “เราคิดจะอยู่ร่วมกับเจ้าอย่างสงบ”
“ในเมื่อมันออกมาเป็นเช่นนี้แล้วจะให้หม่อมฉันทำอย่างไรล่ะเพคะ ฝ่าบาท”
โรสมอนด์ข่มขู่กลายๆ ด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น แต่แพทริเซียก็โต้กลับโดยไม่กะพริบตา
“เราบอกว่าอยากอยู่ร่วมกับเจ้าอย่างสงบ แต่มิได้บอกว่าจะยอมเสียเกียรติ”
“…”
“และฝ่ายที่มาหาเรื่องก่อนก็น่าจะ…เป็นเจ้านะ”
“ว่าแล้วเชียว” โรสมอนด์พูดราวกับคาดการณ์ไว้แล้ว “พระองค์มิได้คิดที่จะอยู่ร่วมกับหม่อมฉันอย่างสงบเลยแม้แต่น้อย”
“เราก็บอกอยู่ว่าไม่ใช่ เจ้านี่ขี้ระแวงนัก” แพทริเซียยิ้มพลางปฏิเสธข้อกล่าวหา “บางครั้งก็ต้องฟังคำของผู้อาวุโสบ้าง”
“ขอประทานอภัยแต่หม่อมฉันอายุมากกว่าพระองค์อยู่โขนะเพคะ”
“นั่นสำคัญด้วยหรือ”
แพทริเซียหัวเราะเบาๆ ขณะที่โรสมอนด์ไม่พอใจนักที่แพทริเซียมาจี้ใจดำเรื่องอายุของนางแบบนี้ เฮอะ ข้าก็คิดอยู่แล้ว ของขวัญพวกนั้นก็แค่กลลวงสินะ เปลือกนอกอย่างนั้นรึ? โรสมอนด์เขม้นมองแพทริเซียอย่างระวังระไวก่อนจะร้อง ‘อ้อ’ ราวกับนึกอะไรได้
“จริงสิ เมื่อครู่หม่อมฉันพูดเรื่องจักรพรรดินีอลิซาค้างไว้”
“เรื่องนั้น…”
“พระองค์ทรงทราบหรือไม่ว่านางชอบดอกอะไรมากที่สุด”
“…ไม่รู้สิ”
“ย่อมเป็นดอก…”
“จักรพรรดินี”
ในตอนนั้นเองลูซิโอก็พูดแทรกขึ้นมาทำให้บทสนทนาของทั้งสองหยุดชะงัก แพทริเซียหันไปมองตามเสียงเรียกพลางพึมพำ
“ฝ่าบาท…”
“ไปเต้นรำกับเรา”
“หม่อมฉันไม่คิดจะเต้นรำเพคะ”
“เดิมทีคู่เต้นเปิดงานย่อมต้องเป็นจักรพรรดิกับจักรพรรดินีสิ” ลูซิโอว่าพลางก้มลงกระซิบข้างหูหญิงสาว “การรักษาเกียรติของกันและกันเป็นหน้าที่ของสามีภรรยามิใช่หรือ”
“…”
โรสมอนด์กำลังมองอยู่ แน่นอนว่าไม่ได้มองด้วยสายตาที่ดีงาม
ลูซิโอพูดถูก แพทริเซียถอนหายใจในใจ นางไม่ใช่เด็กแล้ว ต้องไม่ปล่อยให้อารมณ์ชักนำและทำอะไรตามใจตัวเอง มิเช่นนั้นนางก็คงไม่ต่างอะไรจากผู้หญิงคนนั้น แพทริเซียพยักหน้าเงียบๆ รอยยิ้มจึงขยายกว้างบนใบหน้าของลูซิโอ
“เช่นนั้นเราขออนุญาต”
เขาก้าวนำออกไปอย่างสุภาพ แพทริเซียก้าวเท้าตามไป รู้สึกราวกับตัวเองเป็นตุ๊กตา ทันใดนั้นดนตรีก็เริ่มบรรเลง ลูซิโอกุมมือแพทริเซียอย่างแผ่วเบาพลางกล่าว
“จะเหยียบเท้าเราก็ไม่ว่าอะไร”
“…อะไรนะเพคะ?”
“เราบอกให้เจ้าทำได้ตามใจ”
เขากล่าวทิ้งท้ายด้วยถ้อยคำที่มีความหมายลึกซึ้งและเริ่มเต้นรำ แพทริเซียไม่เคยเต้นรำในงานเต้นรำมาก่อนแต่เพราะได้รับการฝึกฝนอย่างหนักหน่วงสมัยที่ยังเป็นเลดี้ นางจึงเต้นรำได้อย่างถูกต้องแม่นยำราวกับเครื่องจักร
การเต้นรำนั้นง่ายต่อการแลกเปลี่ยนลมหายใจและรับกลิ่นของกันและกัน จู่ๆ แพทริเซียก็นึกถึงเรื่องในคืนนั้น ค่ำคืนที่ลมหายใจและกลิ่นกายของนางและเขาผสานรวมกัน และในท้ายที่สุดกระทั่งเรือนกายก็หลอมรวม…เป็นหนึ่ง หญิงสาวร้องออกมาโดยไม่รู้ตัวราวกับว่าความเจ็บปวดในตอนนั้นหวนกลับมาอีกครั้ง
“เป็นอะไรไหม” ลูซิโอถามอย่างห่วงใย
แพทริเซียส่ายหน้าอย่างแรง บ้าจริง นางไม่ลืมสบถในใจ ขณะเดียวกันก็พึมพำเสียงเบาราวกับพูดกับตัวเอง
“รู้สึกเวียนหัวเล็กน้อยเพคะ”
ได้ฟังดังนั้นลูซิโอก็เต้นช้าลง แพทริเซียทั้งไม่ยินดีทั้งขอบคุณในความเอาใจใส่ของเขา สองความรู้สึกที่ขัดแย้งกันทำให้นางต้องหลับตาในขณะที่ร่างกายยังคงขยับไปตามจังหวะ
“แพทริเซีย”
เขาเรียกชื่อนางเป็นครั้งแรกของวัน
เหมือนกับตอนนั้น ตอนที่ไฟปรารถนาพุ่งทะยานขึ้นสู่จุดสูงสุด เขาเอ่ยชื่อของนาง และนางก็เอ่ยเรียกเขา
แพทริเซียร้องในลำคอและเรียกอีกฝ่าย “ฝ่าบาท”
แน่นอนว่าไม่ได้เรียกด้วยความรัก แพทริเซียรู้สึกวิงเวียนจนซวนเซ มือแกร่งของลูซิโอคว้าร่างบางเอาไว้และถามด้วยความตกใจ
“จักรพรรดินี เจ้าเป็นอะไรไป”
“ไม่เป็นไรเพคะ”
นางฝืนเต้นรำต่อไปอย่างทุลักทุเล แต่แล้วก็ต้องสารภาพออกไปตามตรง
“หม่อมฉันอยากพักเพคะ ได้โปรด…เวียนหัวเหลือเกิ…”
เข้าสู่ช่วงกลางเพลงแล้วแต่ลูซิโอก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับการเต้นรำอีกต่อไป โชคดีที่ทุกคนกำลังเต้นรำกันอยู่ ทั้งคู่จึงไม่ได้รับความสนใจมากนัก ลูซิโอประคองแพทริเซียออกไปยังระเบียงที่ไร้ผู้คน หลังจากให้หญิงสาวนั่งบนม้านั่งแล้ว ลูซิโอก็เอ่ยถามอย่างกังวล
“เป็นอะไรมากไหม เรียกหมอหลวงดีหรือไม่”
“ไม่ต้องถึงขั้นนั้นหรอกเพคะ พักสักครู่ก็น่าจะดีขึ้น”
หญิงสาวว่าพลางยิ้มออกมาเป็นครั้งแรก ลูซิโอเห็นดังนั้นสีหน้าก็แข็งค้างไปชั่วครู่ แต่เพราะสีหน้านั้นคงอยู่เพียงพริบตาเดียว แพทริเซียที่อาการไม่ค่อยดีนักจึงไม่ทันสังเกต
“เสด็จกลับเข้าไปในงานเถอะเพคะ ฝ่าบาท หม่อมฉันพักสักครู่แล้วจะตามเข้าไป” นางกล่าว
“ไม่เป็นไรหรอก”
“แค่หม่อมฉันไม่อยู่ในงานคนเดียวก็น่าแปลกแล้ว อย่างน้อยฝ่าบาทก็ควรจะอยู่…”
“หากไม่เห็นเราทั้งคู่ พวกเขาก็คงคิดว่าเราไปจูบกันอยู่ที่ใดสักที่กระมัง” เขาตอบด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
แพทริเซียเงียบไป นางนั่งพิงพนักครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยถาม
“ฝ่าบาท หม่อมฉันมีเรื่องสงสัยเพคะ”
เรื่องที่โรสมอนด์จะพูดเมื่อครู่