แพทริเซียตอบเสียงเบาหวิว ในขณะที่มาร์เชอเนสกำลังหัวเราะ
“ค่ะ”
“อายอะไรกัน เจ้าก็โตแล้ว”
“เรื่องนี้ยังน่าอายเกินกว่าจะคุยต่อหน้าท่านแม่ค่ะ”
“ตายจริง แต่ก็น่าตกใจนะ เห็นเจ้าเย็นชากับท่านผู้นั้นเหลือเกิน นึกว่าจนถึงตอนนี้จะยังไม่มีอะไรเกินเลยกันเสียอีก”
“…แค่เรื่องบังเอิญน่ะค่ะ”
ที่จริงก็เกือบเป็นอย่างที่มาร์เชอเนสกล่าว แต่ถึงอย่างไรเรื่องนั้นก็เป็นเพียงอุบัติเหตุหรือเหตุบังเอิญเท่านั้น เพราะเกิดเรื่องไม่คาดฝัน นางกับเขาจึงได้ร่วมเตียงกัน
“ตอนนั้นอยู่ในสถานการณ์ที่ช่วยไม่ได้จึงต้องทำเช่นนั้น ไม่ได้ทำเพราะมีใจให้กันหรอกค่ะ” แพทริเซียพูดเสริม
“อย่างนั้นหรือ”
แม้น้ำเสียงของมาร์เชอเนสโกรเชสเตอร์จะไม่แสดงอารมณ์ใดๆ แต่ความจริงในใจกลับรู้สึกเศร้าเล็กน้อย การได้ยินคำพูดเช่นนี้จากปากของบุตรสาวหาใช่เรื่องที่น่ายินดี มาร์เชอเนสโกรเชสเตอร์แอบถอนหายใจในใจ ก่อนจะกล่าวกับแพทริเซียด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“เอาเถอะ ไม่มีผู้ใดรู้เสียหน่อยว่าในภายภาคหน้าจะเกิดอะไรขึ้น”
“อย่างน้อยข้าก็คงไม่รักเขาหรอกค่ะ”
“เรื่องนั้นก็ไม่มีใครรู้หรอกจ้ะ ริซซี่” มาร์เชอเนสโกรเชสเตอร์ยิ้มจนปรากฏริ้วรอยแห่งวัยบนใบหน้าพลางกล่าวเสริม “ยังเร็วเกิรไปที่จะด่วนสรุป เจ้าเพิ่งจะเป็นจักรพรรดินีของท่านผู้นั้นได้ไม่ถึงปีเลยมิใช่หรือ”
“น่าตกใจนะคะที่ข้าเพิ่งมาอยู่ตรงนี้ได้ไม่ถึงปี ข้ารู้สึกเหมือนอยู่มาเป็นสิบปีแล้วอย่างไรอย่างนั้น”
“เพราะเจ้าเบื่อหน่ายกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ตอนนี้น่ะสิ” มาร์เชอเนสตอบด้วยน้ำเสียงขมขื่น ก่อนจะกล่าวกับแพทริเซียอย่างระมัดระวัง “ดูเหมือนเจ้าจะต้องรับภาระอันยิ่งใหญ่ทั้งที่อายุยังน้อย แม่ไม่เคยสบายใจเลย”
“ไม่เพียงแต่ข้า แต่จักรพรรดินีรุ่นก่อนๆ ต่างก็เป็นเช่นนี้ทั้งนั้น… มันเป็นเรื่องที่ใครสักคนจะต้องเจอค่ะ”
“แม่คนนี้โง่เขลานัก เรื่องการบ้านการเมืองก็ไม่ค่อยรู้ ไหนจะการแก่งแย่งชิงดีอันตึงเครียดของฝ่ายในอีก แต่แม่หวังเพียงเจ้าจะมีความสุข หวังให้เจ้าไม่เจ็บไม่ป่วย และอยู่ในพระราชวังนั้นอย่างสุขกายสบายใจ”
“ข้ากำลังพยายามทำเช่นนั้นค่ะ”
แต่อย่างน้อยคำว่า ‘สุขกาย’ กับ ‘สบายใจ’ คงมิอาจเกิดขึ้นในพระราชวังพร้อมกันได้ หากแสวงหาความสงบสุขและความสบายใจก็จะถูกกำจัด หากแสวงหาความสุขก็ต้องก้าวนำผู้อื่นหนึ่งก้าวและต้องปกป้องตัวเอง ความจริงแล้วทั้งสองทางต่างล้วนมิใช่ทางเลือกที่ดี
“ข้าคงต้องไปแล้วค่ะ กลับช้าเกินไปจะลำบากข้ารับใช้เสียเปล่าๆ” แพทริเซียกล่าว
“ใช่แล้ว เจ้าไปเถอะ”
มาร์เชอเนสพยายามข่มความเสียดายพลางลุกจากที่นั่งและเข้าไปสวมกอดแพทริเซีย
“แม่ไม่ได้กอดเจ้าเช่นนี้มานานเพียงใดแล้ว”
“…”
“เจ้าต้องแข็งแรงและปลอดภัยจนกว่าเราจะได้พบกันอีกครั้ง เข้าใจไหม”
“ค่ะ”
แพทริเซียตอบไปด้วยน้ำเสียงเจือความเบิกบานและจุมพิตที่หน้าผากของผู้เป็นมารดา
หลังจากร่ำลาสมาชิกในครอบครัวทีละคนจนครบ ในที่สุดแพทริเซียก็ต้องก้าวขึ้นรถม้า เมื่อประตูรถม้าปิดลง ในรถก็เหลือเพียงแพทริเซียคนเดียว หญิงสาวมีสีหน้าเคร่งเครียดคล้ายกำลังครุ่นคิดอย่างหนัก ดูเหมือนว่าหลังจากได้พบกับครอบครัวแล้วนางก็มีเรื่องที่ต้องคิดให้ลึกยิ่งขึ้น แพทริเซียถอนหายใจออกมาโดยไม่รู้ตัวพลางพึมพำ
“ข้าไม่อยากไปเลย”
ใจนางอยากจะอยู่ที่คฤหาสน์มาร์ควิสต่อไปเรื่อยๆ แต่นางก็ทำเช่นนั้นไม่ได้ นี่เป็นเพียงการเรียกร้องงอแงของเด็กเท่านั้น
“ออกเดินทางช้าไปหรือไม่ ดูเหมือนจะทำให้เจ้าลำบากอย่างที่ท่านแม่กล่าวจริงๆ”
“อย่าได้ตรัสเช่นนั้นเลยเพคะ ฝ่าบาท กลับเป็นหม่อมฉันอยากให้พระองค์อยู่ต่ออีกสักหน่อย”
จากนั้นราฟาเอลาก็เอ่ยถาม “เหตุใดไม่อยู่ต่ออีกสักหน่อยเล่าเพคะ ออกเดินทางตอนนี้ทั้งมืดและอันตราย”
“ยิ่งข้าทิ้งวังนานเท่าใดก็จะยิ่งจับตาดูโรสมอนด์ได้ยากขึ้น…ยิ่งไปกว่านั้นประมุขหญิงแห่งราชวงศ์ทิ้งวังไปเกินหนึ่งวันย่อมดูไม่ดีในสายตาผู้อื่น”
“อืม…ก็จริงเพคะ”
จากนั้นการสนทนาของทั้งคู่ก็นิ่งเงียบไปพักใหญ่ แพทริเซียนึกถึงเรื่องที่คุยกับดยุกวีเธอร์ฟอร์ดตอนบ่ายเมื่อวานขึ้นมา ภรรยาของเขาจะเป็นคนปล่อยข่าวลือ ส่วนดัชเชสเอเฟรนียกให้เป็นหน้าที่ของเปโตรนิยา เช่นนั้นนางก็ต้องเป็นคนรับมือกับจักรพรรดิ…
‘เขาจะเชื่อคำพูดข้าไหมนะ’
นางมีหลักฐานที่ยากจะโต้แย้ง แต่ปัญหาคือหัวใจของเขาจะยอมรับเรื่องนั้นได้หรือไม่ ทันใดนั้นแพทริเซียก็สะดุ้งเฮือก ทำไมข้าต้องกังวลถึงเรื่องนั้นด้วยเล่า?
‘เขาจะเสียใจหรือไม่ก็ไม่เกี่ยวอันใดกับข้า’
เพราะความสัมพันธ์ของเขาและนางมีเพียงเท่านั้นมาตั้งแต่แรก แพทริเซียขยุ้มชุดเดรสอย่างไม่สบายใจ
“ใครน่ะ!”
ตอนนั้นเอง นางก็ได้ยินน้ำเสียงเฉียบขาดของราฟาเอลา แพทริเซียรีบเปิดหน้าต่างออกไปหน้าตาตื่น
“เกิดอะไร…กรี๊ด!”
นักฆ่าสวมหน้ากาก น่าจะมีราวๆ เจ็ดถึงแปดคน ไม่สิ… สิบคนได้ มุมปากของแพทริเซียยกขึ้นโดยไม่รู้ตัว สถานการณ์ในตอนนี้ช่างน่าเบื่อหน่ายเสียจนอดหัวเราะไม่ได้
“ราฟาเอลา เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม”
“ฝ่าบาท” ราฟาเอลาตอบอย่างเยือกเย็น “หม่อมฉันเชื่อใจฝ่าบาทอย่างไรเล่าเพคะ”
ใช่แล้ว เชื่อใจข้าได้ แพทริเซียเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ปลายนิ้วของนางก็ยังคงสั่นอย่างมิอาจควบคุมราวกับนางกำลังกระวนกระวายใจ แพทริเซียหลับตาลงและนึกถึงเรื่องเมื่อสองวันก่อน
กองอัศวินราชองครักษ์หมู่ที่สองรับหน้าที่ในอารักขาจักรพรรดินีของจักรวรรดิ แต่การที่อัศวินทั้งกองจะออกมาเคลื่อนไหวเพื่ออารักขาจักรพรรดินีนั้นเกิดขึ้นไม่บ่อยนัก เพราะมีน้อยครั้งที่จักรพรรดินีตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายร้ายแรง อีกทั้งการเคลื่อนพลทั้งกองก็เป็นเรื่องที่ยุ่งยากวุ่นวาย
สองวันก่อนแพทริเซียปล่อยข่าวออกไปในตำหนักจักรพรรดินีว่านางจะไม่อยู่ที่วังเป็นระยะเวลาสั้นๆ ถ้านางคิดถูก ในตำหนักของนางจะต้องมีหนอนบ่อนไส้ที่คอยส่งข่าวให้ตำหนักเวนอยู่เป็นแน่ นางออกคำสั่งกับมีร์ยาและเป็นไปได้ว่าตอนนี้มีร์ยาน่าจะหาหนอนตัวนั้นเจอแล้ว แต่ต่อให้หาไม่เจอ นางก็แค่เปลี่ยนข้ารับใช้ทั้งหมดก็สิ้นเรื่อง
อย่างไรก็ตาม ต่อหน้านางเพียงแต่พูดออกไปเช่นนั้น แต่เบื้องหลังนางได้ออกคำสั่งกับราฟาเอลาอย่างลับๆ ให้ระดมพลกองอัศวินฯ หมู่สองจำนวนหนึ่งในสามมาคอยคุ้มกันนาง แต่หากนางพาคนเหล่านั้นไปด้วยตั้งแต่เดินทางออกจากวังก็เสี่ยงว่าโรสมอนด์จะรู้ตัวว่าแผนแตก นางจึงสั่งให้กองอัศวินคำนวณระยะเวลามาอารักขาระหว่างทางกลับพระราชวัง เพราะหากโรสมอนด์หมายจะเอาชีวิตนาง ย่อมไม่มีโอกาสไหนเหมาะสมไปกว่าระหว่างทางกลับพระราชวังในตอนดึกสงัดอีกแล้ว
‘หวังว่าพวกเขาจะไม่มาช้าเกินไป’
แพทริเซียขยุ้มชุดเดรสสีแดงด้วยสีหน้าพะวักพะวน ราฟาเอลาเป็นอัศวินที่มีฝีมือ กลุ่มองครักษ์ที่ติดตามมาด้วยก็ไม่ได้มีแค่ราฟาเอลาเพียงคนเดียว นางไม่จำเป็นต้องกังวลมากเกินไป ทว่า จำนวนของนักฆ่ามีมากนัก ดังนั้น การที่กองอัศวินหมู่สองยังเดินทางมาไม่ถึงจึงนับว่าเป็นปัญหา นางฟังเสียงราฟาเอเลฟันร่างของอีกฝ่ายอย่างไม่ปรานีและดึงปิ่นอำพันที่ปักอยู่บนผมออกมาโดยไม่รู้ตัว เมื่อไม่มีปิ่นเส้นผมยาวสลวยสีน้ำเงินเขียวอมเทาก็สยายลงมาพาดบ่าราวกับน้ำตก
เคร้ง! เคร้ง!
เสียงการต่อสู้ด้านนอกยังดังให้ได้ยินอย่างแจ่มชัด ในตอนนั้นเองเสียงร้องอันคุ้นเคยก็เสียดแทงเข้ามาในหู นั่นเป็นเสียงของราฟาเอลา
“อึก!”
“เอล…?”
“ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่เป็นไรเพคะ”
ดูเหมือนนางจะได้รับบาดเจ็บ แพทริเซียเริ่มนั่งไม่ติดขึ้นทุกที ทำไมยังไม่มากันอีก นางกัดริมฝีปาก และในจังหวะนั้นเองประตูรถม้าก็ถูกเปิดออก แพทริเซียตกใจจนลุกพรวดขึ้นจากที่นั่ง ในขณะเดียวกันนักฆ่าก็แทงดาบมาที่นาง
“อึก!”
ทว่า เสียงที่ดังขึ้นในรถม้าหาใช่เสียงของแพทริเซีย จู่ๆ นักฆ่าคนนั้นก็หยุดเคลื่อนไหวและทรุดตัวลงไปกองกับพื้นทั้งอย่างนั้น แพทริเซียหลุดถอนหายใจอย่างแรง
“ถวายบังคมจันทราแห่งจักรวรรดิ”
เสียงดึงดาบออกจากร่างดังขึ้นพร้อมกับน้ำเสียงอันหนักแน่น นั่นเป็นเสียงของหัวหน้ากองอัศวินราชองครักษ์หมู่สอง เขาคุกเข่าลงข้างหนึ่งและกล่าวขออภัย
“ขอประทานอภัยที่พวกกระหม่อมมาถึงล่าช้าพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
“ในส่วนของโทษทัณฑ์นั้น…เจ้าจงชดใช้ด้วยการปฏิบัติหน้าที่ให้เต็มที่เถิด” แพทริเซียตอบรับด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อย “เป็นไปได้ก็ขอให้จับเป็น แต่หากสถานการณ์ไม่อำนวยก็ฆ่าเสีย”
“รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ”
หัวหน้ากองตอบสั้นๆ ก่อนจะปิดประตู แพทริเซียอยู่ในรถม้าคนเดียวนั่งฟังเสียงการต่อสู้ที่ดังชัดมาจากด้านนอกพร้อมกับกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก นางเป็นห่วงราฟาเอลาที่ได้รับบาดเจ็บ นางได้แต่หวังว่าแผลนั้นจะไม่สาหัสจนเกินไป
“ฝ่าบาท!”
ครู่หนึ่ง ประตูก็ถูกเปิดออกปรากฏร่างของหัวหน้ากองอัศวิน แพทริเซียก้าวลงมาจากรถม้าอย่างสง่าผ่าเผย นักฆ่าทุกคนตายหมดไม่เหลือ หัวหน้ากองอัศวินกล่าวรายงานอย่างจนใจ
“จับเป็นได้สามคน แต่ทั้งหมดกัดลิ้นฆ่าตัวตายพ่ะย่ะค่ะ”
“…”
ดูท่าจะจ่ายไปไม่น้อย แพทริเซียพึมพำอย่างเย้ยหยัน
“เช่นนั้นก็ช่วยไม่ได้ รับเงินไปแล้วย่อมต้องทำให้คุ้มค่าเงินนั้น”
แพทริเซียว่าพลางหันไปถามราฟาเอลาด้วยสีหน้าเป็นกังวล
“เอล่า เจ้าเป็นอะไรไหม”
“หม่อมฉันไม่เป็นไรเพคะ ฝ่าบาท”
“…แผลเจ้าสาหัสนัก”
แพทริเซียขมวดคิ้ว คิดเชื่อมโยงไปถึงความทรงจำก่อนย้อนเวลากลับมา เรื่องในตอนนั้นยังคงตามหลอกหลอน ตอนนั้นราฟาเอลาสละชีวิตเพื่อปกป้องเปโตรนิยาที่เป็นจักรพรรดินี ครั้นเห็นแพทริเซียกัดริมฝีปาก ราฟาเอลาก็ลูบที่ริมฝีปากของแพทริเซียอย่างแผ่วเบา
“อย่าทำเช่นนี้เลยเพคะ”
“…”
“หม่อมฉันไม่เป็นไรจริงๆ”
“เจ้าคงลำบากยิ่งที่ต้องคอยรับใช้จักรพรรดินีที่ไร้สามารถเช่นข้า”
“โปรดอย่าได้ตรัสเช่นนั้น ฝ่าบาทเป็นผู้เลือกหม่อมฉัน พระองค์นั้นห่างไกลจากคำว่าไร้สามารถมากนักเพคะ”
ราฟาเอลายิ้มสดใส เห็นดังนั้นแพทริเซียก็รู้สึกปวดใจยิ่ง นางออกคำสั่งในทันใด
“เจ้าเข้ามาในรถม้า เรื่องอารักขาให้คนอื่นทำไป”
“แต่ว่า ฝ่าบาท…”
“ราฟาเอลา เจ้าคิดจะทำให้ข้าปวดใจไปมากกว่านี้หรือ”
“…”
ได้ยินดังนั้นราฟาเอลาก็ยอมขึ้นรถม้าแต่โดยดี แพทริเซียเห็นรอยเลือดสีแดงฉานที่ไหล่ด้านขวา ดูเหมือนอีกฝ่ายจะได้รับบาดเจ็บบริเวณนั้น แพทริเซียกัดริมฝีปากอีกครั้งโดยไม่รู้ตัว
“รีบออกเดินทางเถอะ”
สิ้นเสียงของแพทริเซีย รถม้าก็เริ่มเคลื่อนตัว แพทริเซียถอดชุดเดรสออกเงียบๆ บนร่างของนางจึงเหลือแต่ชุดซับในสีขาว
“ฝ่าบาท…?” ราฟาเอลาถามอย่างงุนงง
แต่แล้วความงุนงงก็ต้องเปลี่ยนเป็นความตกใจเมื่อเห็นแพทริเซียฉีกชุดเดรสตัวนั้นอย่างไม่ลังเล ระหว่างที่ฉีกนางก็นึกไปถึงเรื่องในลักษณะเดียวกันที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ตอนที่ชีวิตของลูซิโอและนางต้องแขวนอยู่บนเส้นด้าย
“ต้องห้ามเลือด”
“ไม่เป็นไรเพคะ”
“พวกอัศวินเป็นเช่นนี้กันหมดหรือไร เจ็บก็แสร้งทำเป็นไม่เจ็บ ถ้าไม่เจ็บก็เท่ากับสบายดีอย่างนั้นหรือ”
“…”
“เจ้าไม่เป็นไรแต่ข้าเป็น”
น้ำเสียงของแพทริเซียเต็มไปด้วยความห่วงใยก่อนจะเปลี่ยนเป็นเฉียบขาดขณะเอ่ยกับราฟาเอลา
“ถอดเสื้อที”
“…”
ราฟาเอลาถอดเสื้อออกเงียบๆ แพทริเซียพันไหล่ข้างที่ได้รับบาดเจ็บด้วยผ้าสีขาวสะอาดอย่างคล่องแคล่ว นางได้ยินเสียงครวญครางในลำคอเป็นระยะ และทุกครั้งที่ได้ยิน แพทริเซียก็จะกัดริมฝีปาก คราวนี้ราฟาเอลาก็…เกือบจะต้องสละชีวิตอีกแล้ว เมื่อคิดเช่นนั้นในอกของแพทริเซียก็วูบโหวง
“ขอโทษนะ”
“เป็นเพราะกองอัศวินมาถึงช้าต่างหาก หาใช่ความผิดของฝ่าบาทไม่เพคะ”
“ไม่หรอก ข้าควรคิดได้ว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้” แพทริเซียถอนหายใจพลางเอ่ยขอโทษ “ข้าจะไม่ปล่อยให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก”
“คำพูดนั้นหม่อมฉันควรเป็นคนพูดเพคะ ฝ่าบาทที่เคารพรัก” ราฟาเอลายิ้มกว้างพลางปลอบแพทริเซียอย่างอ่อนโยน “เมื่อกลับถึงวัง แค่หม่อมฉันได้รับการรักษาก็ไม่เป็นไรแล้ว ทรงอย่าเป็นกังวลเกินไปนักเลยนะเพคะ”
“จะไม่กังวลได้อย่างไร เลือดยังไหลเป็นน้ำตกเช่นนี้”
แพทริเซียโต้กลับด้วยความปวดใจและมัดผ้าอย่างแน่นหนา นางได้ยินเสียงร้องเบาๆ ดังผ่านหู
“ดียิ่งที่มีเจ้าคอยปกป้องข้า แต่ข้าก็หวังว่าเจ้าจะไม่บาดเจ็บ” แพทริเซียกำชับกับราฟาเอลา
“รับด้วยเกล้าเพคะ”
ราฟาเอลายิ้มสดใส แพทริเซียเห็นดังนั้นสีหน้าก็คลายกังวล จากนั้นนางก็ควักเอามีดสั้นออกมาราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้ หญิงสาวกรีดร่างของตนตั้งแต่บ่าไปจนถึงแขนเป็นทางยาว เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของแพทริเซียทำเอาราฟาเอลาตกใจรีบคว้าแขนของนางไว้
“ฝ่าบาท!”