Lady to Queen บัลลังก์แค้นจักรพรรดินี – ตอนที่ 91 ไม่ให้อภัย

“…”

เปโตรนิยาคิดว่าดัชเชสเอเฟรนีจะโต้กลับทันที แต่นางกลับปิดปากเงียบอย่างผิดคาด และเปโตรนิยาเองก็ไม่ได้คิดว่านางเลือกเขาเพียงเพราะความรักเท่านั้น

“ในเมื่อไม่ใช่ความจริง สักวันหนึ่งดัชเชสแค่เปิดเผยเรื่องนี้กับทุกคนก็พอแล้วค่ะ อย่าคิดมากเลยนะคะ” เปโตรนิยาพูด

“…ใครกันที่กุข่าวลือเช่นนี้ นี่มันหยามกันชัดๆ เลยนะคะ”

“ดัชเชส ใจเย็นๆ นะคะ”

เปโตรนิยาซึ่งรู้ตัวจริงของ ‘คนกุข่าว’ ปลอบโยนดัชเชสเอเฟรนีอย่างสุขุม

“คนเราก็เป็นเช่นนี้ แม้แต่คำนินทาไร้มูลเหตุก็เอามาพูดพร่ำราวกับเป็นเรื่องจริง”

“…”

“อย่าไปสนใจเลยค่ะ เดี๋ยวก็เงียบกันไปเอง”

แต่ท้ายที่สุดแล้วจะเป็นเช่นนั้นหรือ? เปโตรนิยามั่นใจว่าต่อให้คำนินทานั้นหายไป แต่เมล็ดพันธุ์แห่งความสงสัยที่เริ่มหยั่งรากลงไปในใจของอีกฝ่ายจะไม่หายไปด้วย นี่แลมนุษย์ เมื่อความสงสัยเริ่มก่อนตัวก็ยากที่จะระงับ เท่าที่เปโตรนิยาสังเกตดู เรื่องน่าจะง่ายดายขึ้นมาก

“ข้าขอตัวดีกว่าค่ะ ท่านหญิงควรจะพักผ่อน”

พูดจบ เปโตรนิยาก็ค้อมกายอย่างนอบน้อม ก่อนจะก้าวออกจากห้องนางก็แสดงความเสียใจกับดัชเชสเอเฟรนีด้วยใจจริง

“เรื่องท่านชายเอเฟรนี…ข้าเสียใจด้วยจริงๆ ค่ะ”

“…”

“ท่านชายคงไปสู่ภพภูมิที่ดีแล้วล่ะค่ะ”

“…ต้องเป็นเช่นนั้นแน่ค่ะ”

ดัชเชสเอเฟรนีกล่าวปิดการสนทนา เปโตรนิยาค้อมศีรษะให้อีกครั้งและออกจากห้องมา หลังออกมาแล้วเปโตรนิยาก็พบแจนยูเอรี บนใบหน้าของนางปรากฏรอยเล็บอย่างเด่นชัด นางทักทายแจนยูเอรีอย่างเรียบเฉย

“สวัสดีค่ะ มาดาม ไม่พบกันนานนะคะ”

“นั่นสิคะ ช่วงนี้ไม่ได้ติดต่อกันเลย”

เปโตรนิยามองข้ามบาดแผลบนใบหน้าของอีกฝ่ายไปพูดเรื่องอื่นแทน

“ดูเหมือนเรื่องของท่านชายจะทำให้ดัชเชสเป็นทุกข์มากทีเดียว”

“ค่ะ ด้วยเหตุนั้นข้าจึงตกอยู่ในสภาพนี้”

“ตายจริง” เปโตรนิยาเพิ่งจะคิดเอ่ยปลอบอย่างไร้ยางอาย “มาดามช่วยเข้าใจดัชเชสหน่อยเถอะค่ะ ถึงอย่างไร…เรื่องก็กลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว”

“ค่ะ ข้าย่อมต้องเข้าใจ”

“เช่นนั้นข้าขอตัวก่อนนะคะ ขอให้บาดแผลดีขึ้นในเร็ววัน”

พูดจบ เปโตรนิยาก็นั่งรถม้าออกจากคฤหาสน์ไป จัดการขั้นแรกเรียบร้อยแล้ว ต่อไปก็ขั้นที่สอง ถึงคราวต้องโหมกระพือความสงสัย เปโตรนิยาถอนหายใจพร้อมกับเอนตัวพิงพนักด้วยสีหน้าเหนื่อยล้า

***

บ่ายแก่ๆ ของวันเดียวกัน ลูซิโอก็ได้รับข่าวว่านักฆ่าที่ถูกจับมารับสารภาพแล้วว่าโรสมอนด์อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมด เขารับฟังอย่างสงบผิดคาดก่อนจะกลับไปตั้งใจทำงานต่อราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“…”

หากจะพูดกันตามตรง ลูซิโอรู้อยู่แล้วว่านักฆ่าที่ถูกจับมาเป็นแค่การจัดฉากแต่เขาก็ไม่คิดจะพูดไป เพราะต่อให้ยืนกรานเช่นนั้น แต่เขาก็ไม่มีหลักฐานมาพิสูจน์ว่ามันเป็นการจัดฉาก อีกทั้งเขายังตระหนักได้แล้วว่าถึงเวลาที่จะต้องจบเรื่องทั้งหมดเสียที เขานั่งหลับตานิ่งพลางถอนหายใจในใจ

“ฝ่าบาท”

ครั้นได้ยินเสียงหัวหน้านางกำนัลเขาก็ตอบรับ

“มีเรื่องอันใด”

“จักรพรรดินีขอเข้าเฝ้าเพคะ”

“…”

ไม่รู้ว่าทำไมอีกฝ่ายถึงมาหาเขา ลูซิโอตอบกลับอีกครั้งอย่างเรียบเฉย

“ให้นางเข้ามา”

ประตูเปิดออกพร้อมกับร่างของแพทริเซียที่เดินเข้ามา ชุดเดรสสีกรมท่าทำให้แพทริเซียดูลึกลับอย่างประหลาด

“มีธุระอันใดหรือ” เขาเอ่ยถาม

“กำหนดวันตัดสินโทษแล้วเพคะ” แพทริเซียเอ่ยเสียงเรียบ “เป็นเวลาเที่ยงของอีกสี่วันให้หลัง”

“…”

“หม่อมฉันมาทูลขอพระบรมราชานุญาตเพคะ ในเมื่อมีคำรับสารภาพแล้วก็ไม่จำเป็นต้องยืดเยื้อต่อไป”

“เราอนุญาต”

“…”

แพทริเซียเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ย

“นางจะถูกประหาร”

“เรารู้”

“ดูไม่ยี่หระเลยนะเพคะ ถึงกระนั้น…นางก็เคยเป็นคนรักของพระองค์”

“เรารักนางจริงหรือไม่ และนางรักเราจริงหรือไม่ เรื่องนี้คงมีเพียงพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้นที่รู้” ลูซิโอตอบเสียงเรียบ “บางทีแม้แต่เรื่องนั้นก็อาจเป็นเพียงความโชคร้ายของเรา”

“ที่พระองค์รับสั่งมาหม่อมฉันไม่เข้าใจเพคะ”

“ไม่เป็นไร ที่จริงเราเองก็…ไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกัน”

แพทริเซียไม่รู้ว่าตนคิดไปเองหรือไม่ว่าเขาพูดออกมาด้วยความทุกข์ทรมาน นางรู้ว่าเขาแสร้งทำเป็นนิ่งเฉยทั้งที่ในใจสับสน แพทริเซียเผยอปากโดยไม่พูดอะไร ก่อนจะเอ่ยสิ่งที่อยากพูดออกไปในที่สุด

“หม่อมฉันรู้ว่าฝ่าบาทคงไม่ร้องขออันใด แม้พระองค์จะขอร้อง…”

“…”

“แต่จะไม่มีการอภัยโทษเพคะ หม่อมฉันหาได้มีเมตตาถึงเพียงนั้น”

“นอกเหนือจากความเมตตาคือเรื่องของกฎหมาย เรามิอาจปล่อยให้ผู้ที่พยายามปองร้ายจักรพรรดินีมีชีวิตอยู่ต่อไปได้” เขาโต้กลับเสียงห้วน “ไม่ต้องสนใจเรา ต่อให้เราบอกว่ารักนาง แต่เราก็คงไม่มีหน้าไปขอให้เจ้าไว้ชีวิตนางเหมือนคราวนั้นอีกแล้ว”

“…เช่นนั้นหม่อมฉันก็โล่งใจเพคะ”

พูดจบ แพทริเซียก็หันหลังกลับ ทันใดนั้นความความอ่อนเพลียก็หลั่งไหลเข้ามา แต่แพทริเซียก็ทำใจให้สงบพลางพร่ำพูดในใจว่าอีกไม่นานเรื่องทุกอย่างก็จะจบลง เพราะฉะนั้นจงอดทนอีกนิด

***

ตั้งแต่ดัชเชสเอเฟรนีกลับมา บรรยากาศในคฤหาสน์ดยุกก็เย็นยะเยือก การทะเลาะตบตีกันของดัชเชสเอเฟรนีและแจนยูเอรีเมื่อครู่ก็นับเป็นสาเหตุหนึ่ง ทว่า ที่สำคัญที่สุดคือนี่เป็นช่วงไว้ทุกข์ โดยจะเริ่มไว้ทุกข์อย่างเป็นทางการในวันพรุ่งนี้เป็นต้นไปเป็นเวลาสี่วัน

“ดัชเชสอยู่ที่ใด”

เมื่อกลับจากวังดยุกเอเฟรนีก็ถามหาผู้เป็นภรรยาทันที พ่อบ้านตอบอย่างนอบน้อมว่านางกำลังพักผ่อนอยู่ในห้อง ดยุกเอเฟรนีได้ยินดังนั้นก็พุ่งตรงดิ่งไปหา หลังจากเคาะประตูเรียก เขาก็ได้ยินเสียงแหบพร่าดังมาจากด้านใน

“นั่นใคร”

“ข้าเอง ดัชเชส”

“…เชิญค่ะ”

น้ำเสียงของดัชเชสฟังดูไม่ค่อยพึงใจนัก แต่ดยุกเอเฟรนีก็เปิดประตูเข้ามาโดยไม่ทันสังเกตถึงจุดนั้น ดัชเชสสวมชุดสีดำนั่งจมจ่อมในความทุกข์อยู่ภายในห้อง

“ได้ยินว่าเพิ่งกลับมาถึงเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหรือ ข้าขอโทษที่ไม่ได้ไปรับ” ดยุกเอเฟรนีเอ่ยถามภรรยา

“…ท่านกำลังยุ่ง ไม่เป็นไรค่ะ”

“ร่างกายเป็นอย่างไร เจ้าคงจะสะเทือนใจมาก”

“มีแต่ข้าคนเดียวหรือคะที่สะเทือนใจ?”

ดัชเชสเอเฟรนีมองสามีอย่างไม่พอใจ ทั้งสองสูญเสียลูกไป แต่เขากลับดูไม่ทุกข์ไม่ร้อน หัวใจของดัชเชสเอเฟรนีเต้นระรัว

“ลูกชายของเราตายไปทั้งคน เด็กคนนั้นคิดคะนึงถึงบ้านเกิดจวบจนวาระสุดท้าย ข้าคงเสียใจไปชั่วชีวิตที่มิอาจพาเขากลับมาตายที่นี่!”

“ไยข้าจะไม่เสียใจเล่า ดัชเชส ตอนนี้ใจข้านั้นแสนเป็นทุกข์…”

“จริงหรือคะ” ดัชเชสเอเฟรนีมองอีกฝ่ายอย่างทะลุปรุโปร่งด้วยสายตาอันเฉียบแหลม “ท่านทุกข์ใจจริงหรือ? แต่ทำไม…”

“…”

“ในสายตาของข้ากลับไม่เห็นว่าท่านเศร้าหมองเลยแม้แต่น้อย”

“ดัชเชส เข้าใจผิดแล้ว ตอนนี้ข้า…”

“ข้าไม่พอใจมาตั้งแต่แรกแล้ว ตั้งแต่ที่ท่านส่งเฮนรีไปต่างบ้านต่างเมือง ท่านอาจจะบอกว่าตั้งใจส่งเขาไปศึกษาหาความรู้ แต่นั่นท่านทำเพื่อลูกของเราจริงๆ หรือ”

“อีส[1] เจ้าพูดเรื่องอันใด ข้าย่อมต้อง…”

“ข้าขอถาม ท่านรักเฮนรีหรือไม่”

ดัชเชสเอเฟรนีถามผู้เป็นสามีด้วยสายตาแข็งกร้าวในขณะที่ดยุกเอเฟรนีตอบอย่างสุขุม

“รักสิ ข้าก็บอกแล้วว่าข้าเองก็เศร้าใจ”

“แต่แววตาของท่านหาได้มีความเศร้า” ดัชเชสเอเฟรนียิ้มหยัน “ท่านกำลังโกหก แน่นอนว่าท่านต้องเสียใจ แต่ไม่ได้เสียใจจนจะเป็นจะตาย จริงหรือไม่? เพราะท่านยังมีลูกชายอยู่อีกหนึ่งคน ตำแหน่งผู้สืบทอดตระกูลเอเฟรนีท่านก็คิดจะยกให้เด็กนั่นสินะ?”

“อีส เจ้าใจเย็นๆ ก่อน เจ้าใช้อารมณ์มากเกินไปแล้วนะ”

“ใช้อารมณ์หรือ” ดัชเชสเอเฟรนีแค่นหัวเราะ “ไยไม่พูดว่าข้าวิปลาสไปเสียเลยเล่า”

“อีส”

“อย่ามาเรียกชื่อข้า”

ดัชเชสเอเฟรนีโกรธจนตัวสั่นและลุกพรวดขึ้นจากที่นั่ง ครั้นเห็นว่าดยุกเอเฟรนีเอาแต่มองอย่างพูดอะไรไม่ออก ดัชเชสเอเฟรนีก็ตอกย้ำ

“ข้าจะรับลูกบุญธรรม เจคอบจะต้องเป็นแค่ลูกอนุตลอดไป ข้าไม่มีวันปล่อยให้สายเลือดชั้นต่ำของนางเมียน้อยนั่นได้เป็นผู้สืบทอดของตระกูลข้าเด็ดขาด! ท่านเข้าใจหรือไม่?”

พูดจบ ดัชเชสเอเฟรนีก็หายใจอย่างเหนื่อยหอบและเดินออกจากห้องมา จากนั้นนางก็ตรงดิ่งไปบอกพ่อบ้านให้ติดต่อญาติสายรองของตระกูลทั้งหมด พ่อบ้านทำตามคำสั่งอย่างภักดี

“ดัชเชส เจ้ากำลังทำอะไรของเจ้า นี่มันช่วงไว้ทุกข์นะ!” ดยุกเอเฟรนีที่เพิ่งเดินตามหลังมาถามขึ้น

“ลูกชายข้าก็ตายไปแล้ว ส่วนลูกชายของนางเมียน้อยนั่นก็กำลังจะได้เป็นผู้สืบทอด ตอนนี้จะเป็นช่วงใดแล้วมันสำคัญด้วยหรือ?” ดัชเชสเอเฟรนีกล่าวเสียงดังอย่างเย็นชา “ท่านเองก็ระวังไว้เถิด เจ้าของบ้านหลังนี้คือข้า เฮนรีก็ตายไปแล้ว เพราะฉะนั้นข้าไม่มีเหตุผลอันใดที่จะไม่หย่ากับท่าน”

“…”

ครั้นสัมผัสได้ถึงวิกฤตจากคำพูดของภรรยา ดยุกเอเฟรนีก็หุบปากฉับ หากนางหย่ากับเขา เขาก็จะไม่ใช่ประมุขตระกูลเอเฟรนีที่ยิ่งใหญ่ และไม่ได้สืบทอดตำแหน่งดยุกเอเฟรนีอีกต่อไป เขาจะต้องกลับไปใช้นามสกุลเฮ็ดวิกที่เขาเคยใช้ แม้กระทั่งบรรดาศักดิ์บารอนเขาก็จะไม่ได้รับ เพราะน้องชายของเขารับสืบทอดไปแล้ว ทั้งหมดนั้นหมายถึงความวิบัติของดยุกเอเฟรนี

“คราวนี้ข้าขอเตือนนะคะ จงไล่ผู้หญิงคนนั้นกับลูกชายของนางออกไปเสีย”

“…”

“ที่ข้านิ่งเฉยมาจนถึงตอนนี้โดยมิอาจหย่ากับท่านล้วนเป็นเพราะเฮนรี แต่ตอนนี้เขาตายไปแล้ว ข้าจึงไม่คิดจะอดทนอีกต่อไปเช่นกัน”

“ดัชเชส การหย่ามิได้ง่ายดายเช่นนั้น เหตุผลก็ยังไม่เพียงพอ ว่ากันตามจริงแล้วเรื่องดยุกมีอนุภรรยามิอาจนำมาเป็นเหตุผลในการหย่าได้”

“นี่ท่านกำลังจะบอกว่า ท่านจะไม่ไล่สองแม่ลูกนั่นออกไปหรือ”

“อย่างไรเจคอบก็ยังเล็กนัก ข้าจะไล่เด็กเล็กเช่นนั้นออกไปได้อย่าง…”

“ข้าเตือนแล้วนะคะ” ดัชเชสเอ่ยแทรกและสำทับ “ไล่แม่ลูกที่น่าสะอิดสะเอียนคู่นั้นออกไปจากบ้านนี้ก่อนที่พิธีศพจะแล้วเสร็จ มิฉะนั้นข้าไม่ยอมอยู่เฉยแน่”

พูดจบ ดัชเชสเอเฟรนีก็กลับเข้าห้องไป ทิ้งให้ดยุกเอเฟรนียืนถอนหายใจด้วยสีหน้าเคร่งเครียดอยู่คนเดียวตรงนั้น ขณะเดียวกันก็ยังมีอีกคนเฝ้ามองเขาอยู่หลังเสา

‘ทำอย่างไรดี’

คนผู้นั้นคือแจนยูเอรี นางกัดริมฝีปากด้วยสีหน้าร้อนรนกระวนกระวายและกลับเข้าไปในห้องของตัวเองเงียบๆ แจนยูเอรีกระสับกระส่ายเสียจนต้องลุกเดินไปเดินมาพลางพึมพำ

“โรสมอนด์ถูกจับไปแล้ว กระทั่งดยุกเอเฟรนีก็จะถูกฟ้องหย่า”

ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรที่เรื่องกลับตาลปัตรเช่นนี้ ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้เล่า? แจนยูเอรีทำสีหน้าเหมือนจะร้องไห้และพึมพำพูดคนเดียวต่อไป

“โรสมอนด์ต้องถูกประหารแน่ แต่ถ้านางลากข้าเข้าไปเกี่ยวด้วยจะทำอย่างไรดี”

เมื่อพึมพำมาถึงตรงนี้ แจนยูเอรีก็ค้นเอากล่องที่นางเก็บจดหมายที่ติดต่อกับโรสมอนด์ไว้ออกมาราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้ ต้องเผาของพวกนี้ทิ้งเสีย นางรีบเปิดกล่องเครื่องประดับก่อนจะหยิบจดหมายฉบับหนึ่งออกมาจากกองจดหมายและเปิดดู

มันเป็นจดหมายฉบับล่าสุดที่โรสมอนด์ส่งมาบอกให้นางจ้างนักฆ่าไปจัดการจักรพรรดินี แจนยูเอรีเผาจดหมายอย่างไม่รีรอ จากนั้นก็โยนจดหมายที่เหลือเข้าไปในเตาผิงโดยมิได้เปิดอ่าน

ที่สุดแล้วแจนยูเอรีก็หารู้ไม่ว่าจดหมายพวกนั้นถูกเปโตรนิยาสับเปลี่ยนหมดแล้ว

[1] อีส มาจากชื่อเต็มของดัชเชสเอเฟรนีคือ อีส คาเทียร์ ลา เอเฟรนี

Lady to Queen

Lady to Queen

‘เปโตรนิยา’ และ ‘แพทริเซีย’ เป็นบุตรีฝาแฝดของ‘ตระกูลโกรเชสเตอร์’ สองพี่น้องรักใคร่กลมเกลียว ตระกูลโกรเชสเตอร์จึงอยู่กันอย่างสงบสุขเรื่อยมา ทว่า ความสงบสุขนั้นมีอันต้องสั่นคลอน เมื่อเปโตรนิยา บุตรีคนโตถูกเลือกเป็นจักรพรรดินี จนนำไปสู่จุดจบอันแสนเศร้าที่ทั้งตระกูลถูกประหารภายใต้กิโยติน เมื่อบุตรีคนเล็กของตระกูลอย่างแพทริเซียลืมตาขึ้นอีกครั้งก็พบว่า เธอได้ย้อนเวลากลับมา ณ จุดเริ่มต้นของโศกนาฏกรรม ครั้นได้เห็นรอยยิ้มสดใสของผู้เป็นพี่สาวอีกครั้ง แพทริเซียก็ปฏิญาณตนในใจอย่างแน่วแน่ ‘ข้าจะเป็นจักรพรรดินีแทนท่านพี่เอง’ แพทริเซียอาสาเข้ารับการคัดเลือกจักรพรรดินี คราวนี้เธอจะไม่ยอมให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย และเพื่อการนั้น เธอจึงต้องเผชิญหน้ากับทั้งความรักและความชิงชังอีกครั้ง

Comment

Options

not work with dark mode
Reset