การต้อนรับแขกเหรื่อที่หลั่งไหลกันมาร่วมแสดงความเสียใจเป็นเรื่องที่เหนื่อยพอสมควร ทั้งยังต้องรับฟังคำปลอบประโลมอันไร้ความหมายในขณะที่แผลใจยังไม่ได้รับการเยียวยา ดัชเชสเอเฟรนีกลับไปที่ห้องของตนพร้อมกับสีหน้าอ่อนล้า พิธีศพเสร็จสิ้นลงแล้ว นั่นเท่ากับว่าลูกชายของนางได้จากไปแล้วจริงๆ เมื่อคิดดังนั้นนางก็อดรู้สึกหดหู่ไม่ได้
ก๊อกก๊อก
ดัชเชสเอเฟรนีตอบรับเสียงเคาะประตูด้วยน้ำเสียงไร้เรี่ยวแรง
“ใคร”
“ข้าเองขอรับ ดัชเชส” เป็นเสียงของพ่อบ้าน “มีของมาส่งขอรับ”
“ของอันใด”
ได้ยินผู้เป็นนายถามเช่นนั้น พ่อบ้านก็ยื่นกล่องพัสดุให้ดู ดัชเชสเอเฟรนีตรวจดูรอบกล่องอย่างละเอียดก็พบเพียงตัวหนังสือถูกเขียนไว้อย่างเป็นระเบียบว่า ‘เรียน ดัชเชสเอเฟรนี’ เท่านั้น ไม่ปรากฏนามของผู้ส่ง หลังจากให้พ่อบ้านและสาวใช้ออกไปหมดแล้ว ดัชเชสเอเฟรนีก็เปิดกล่องนั้นดู
“นี่มัน…อะไรกัน”
ในกล่องมีจดหมายอยู่ทั้งหมดสิบเจ็ดฉบับ ดัชเชสเอเฟรนีเริ่มอ่านตั้งแต่ฉบับแรก บรรทัดแรกของจดหมายถูกเขียนไว้ว่า
แจนี่ที่รัก
“แจนี่…?”
ดัชเชสเอเฟรนีครุ่นคิด แจนี่เป็นใคร? จากนั้นนางก็เริ่มอ่านตั้งแต่บรรทัดที่สอง
ได้ยินว่าเจ้าตั้งครรภ์แล้ว? ยินดีด้วย แผนการที่ยิ่งใหญ่บทแรกของเจ้าได้เริ่มขึ้นแล้ว
แม้ว่าดัชเชสจะมีบุตรชาย แต่เขาเป็นคนขี้โรค ดังนั้น ใช่ว่าเจ้าจะไม่มีโอกาส หากเจ้าได้ลูกชาย เจ้าก็มีโอกาสชนะ
ข้าจะทุ่มเทกายใจช่วยให้เจ้าได้เป็นนายหญิงของตระกูลเอเฟรนีตามที่สัญญา หากว่าเจ้าช่วยข้า
เอาเป็นว่า ดูแลตัวเองให้ดี และขอให้คลอดบุตรอย่างปลอดภัย หากมีอะไรข้าจะเขียนมาอีก
เผาจดหมายนี้เสีย
โรสของเจ้า
“เฮือก…!”
เพียงฉบับเดียวดัชเชสเอเฟรนีก็ตระหนักได้ถึงเรื่องราวเบื้องหลังทุกอย่าง ‘แจนี่’ คือชื่อเล่นของ ‘แจนยูเอรี’ ส่วน ‘โรส’ ก็คือ…
“มาร์เชอเนสเอธิลเลอร์ นี่เจ้า…”
ความจริงที่ได้รู้โดยไม่ตั้งใจทำให้ดัชเชสเอเฟรนีสั่นเทิ้มไปทั้งร่างพร้อมกับขยำจดหมาย จะช่วยให้ได้เป็นนายหญิงของตระกูลเอเฟรนีอย่างนั้นรึ? จะขับไล่ผู้สืบสายเลือดตระกูลเอเฟรนีอย่างข้าคนนี้อย่างนั้นรึ? ทำไม? คิดจะฆ่าทั้งข้าทั้งลูกชายข้าเลยกระมัง? ดัชเชสเอเฟรนีแค่นหัวเราะอย่างหมดคำพูด จดหมายนี้มีแม้กระทั่งลายมือชื่อของมาร์เชอเนสเอธิลเลอร์ เห็นทีจะมิใช่ของปลอม
ดัชเชสเอเฟรนีเริ่มอ่านจดหมายฉบับที่สองต่อทันที เนื้อหาเป็นการแสดงความยินดีที่แจนยูเอรีได้ลูกชาย ฉบับที่สามและสี่ไม่มีอะไรน่าสนใจเป็นพิเศษ จนกระทั่งอ่านมาถึงฉบับที่ห้า ดัชเชสเอเฟรนีก็ได้รับรู้ว่ายังมีคนอื่นที่รู้เรื่องที่นางควรจะรู้เพียงผู้เดียว
แจนี่ที่รัก ไม่ได้คุยกันนานเลยนะ
ในที่สุดวันนี้ข้าก็ได้พบดยุกเอเฟรนีแล้ว
และในที่สุดเขาก็ได้รู้ว่าข้ารู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับอดีตจักรพรรดินีอลิซา เพราะข้ามีจดหมายที่เขาเขียนเล่าเรื่องราวของจาเน็ตส่งไปให้อดีตจักรพรรดินีอลิซาอยู่น่ะสิ! เจ้าน่าจะได้เห็นสีหน้าของเขาตอนนั้น! ช่างน่าเสียดาย
หากเรื่องนี้รู้ไปถึงพระเนตรพระกรรณของฝ่าบาท พระองค์ต้องไม่ยกโทษให้เขาแน่ พระองค์จะต้องหาทางแก้แค้นผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสิ้นพระชนม์ของพระมารดาด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง
เขาเองก็รู้ดี ดังนั้นเขาจึงทำอะไรข้าไม่ได้
ไม่แน่เขาอาจจะส่งคนมาฆ่าข้า แต่เขาก็คงไม่เบาปัญญาถึงขนาดกล้าสังหารคนรักของพระจักรพรรดิหรอก อีกทั้งในพระราชวังนี้ข้ายังมีอัศวินคอยอารักขา แล้วยังจะมีอะไรให้กังวลอีก?
ถ้ามีอะไรข้าจะเขียนมาอีก เผาจดหมายทิ้งเสีย
โรส
“ด้วยเหตุนั้นมาร์เชอเนสเอธิลเลอร์ถึงได้…!”
ดัชเชสเอเฟรนีพยักหน้าราวกับว่าตอนนี้นางเข้าใจทุกอย่างแล้ว ตอนนั้นนางเองก็แปลกใจที่จู่ๆ สามีมาบอกให้รับบุตรีของบารอนไร้ค่าเป็นลูกบุญธรรม ที่แท้ก็มีเบื้องหลังอันชั่วร้ายเช่นนี้นี่เอง ดัชเชสเอเฟรนียังคงมีสีหน้าพูดไม่ออก
สิ่งที่โรสมอนด์รู้ ดัชเชสเองก็รู้เช่นกัน นางไม่มีทางที่จะไม่รู้ เพราะนางเองก็เป็นผู้ที่ส่งเสริมและให้ความช่วยเหลือในแผนการของสามี
ในตอนนั้นดยุกเอเฟรนียังเป็นแค่มาร์ควิส เขาต้องการมีบรรดาศักดิ์ที่สูงกว่านั้น และวิธีที่เร็วที่สุดคือการทำให้จักรพรรดินีที่ตามืดบอดด้วยความหึงหวงกระทำความผิดร้ายแรงและช่วงชิงเอาตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีมาจากตระกูลออสวินซึ่งเป็นตระกูลเดิมของนาง และในตอนนั้นอลิซาก็กำลังหึงหวงอย่างขาดสติ แผนการจึงมีความเป็นไปได้
หลังจากได้ฟังแผนการของสามี ดัชเชสเอเฟรนีก็เห็นด้วย นางไม่มีเหตุผลอะไรที่จะปฏิเสธเพราะมันเป็นการกระทำเพื่อตระกูล ดยุกและดัชเชสเอเฟรนีสานสัมพันธ์กับอดีตจักรพรรดินีอลิซาและคอยยุยงให้นางกับจาเน็ตบาดหมางกัน จนกระทั่งอดีตจักรพรรดินีอลิซาเกลียดชังจาเน็ตในที่สุด
และแล้วจักรพรรดินีอลิซาก็ถูกปลดจากตำแหน่งและต้องโทษประหาร เรื่องนั้นทำให้ดยุกออสวินเก็บเนื้อเก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน ตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีจึงตกเป็นของตระกูลเอเฟรนีซึ่งอยู่ในลำดับสูงสุดในบรรดาตระกูลมาร์ควิสไปโดยปริยาย ไม่กี่ปีต่อมามาร์ควิสก็สร้างคุณงามความดีจนได้รับบรรดาศักดิ์ดยุก
แต่ไม่คิดเลยว่าโรสมอนด์จะรู้เรื่องนั้นด้วย! ดูจากเนื้อหาในจดหมายแล้ว ดยุกเอเฟรนีคงมิได้แพร่งพรายให้นางรู้ แต่นางไปรู้มาจากที่อื่น ดัชเชสเอเฟรนีกัดเล็บอย่างกระวนกระวาย
ถึงอย่างไรโรสมอนด์ก็จะถูกส่งไปตัดสินโทษแล้ว และหากไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงนางก็จะถูกประหาร จนกว่าจะถึงตอนนั้นตนแค่คอยดูท่าทีและปิดปากให้สนิทก็พอ หรือไม่ก็แค่ฆ่าอีกฝ่ายเสีย อย่างไรนางก็ต้องตายอยู่แล้ว ต่อให้ถูกฆ่าตายกะทันหันก็คงไม่นับเป็นอันใด
คิดเช่นนั้นแล้วดัชเชสเอเฟรนีก็อ่านจดหมายฉบับต่อไป เนื้อหาเป็นเรื่องทั่วไป ฉบับต่อๆ ไปก็เช่นกัน… ขณะที่คิดว่าไม่มีอะไรน่าสนใจแล้วนั้น นางก็สะดุดตาเข้ากับประโยคหนึ่ง
ดัชเชสเอเฟรนีก็ช่างน่าสงสาร
ประโยคนั้นทำเอาดัชเชสเอเฟรนีตัวแข็งทื่อ น่าสงสารรึ? กล้าดีอย่างไรมาพูดเช่นนั้นกับข้า? นางรีบไล่สายตาไปที่ประโยคต่อไป
พูดก็พูดเถอะ ไม่มีสตรีคนใดน่าเวทนาไปกว่านางอีกแล้ว
ทั้งที่เกิดมาเป็นบุตรีตระกูลเอเฟรนีแต่นางกลับยกตำแหน่งผู้สืบทอดให้สามีแทนที่จะสืบทอดเอง มิหนำซ้ำสามีก็เป็นแค่บุตรชายตระกูลบารอน หาได้มีฐานะทัดเทียมกัน
ดยุกเอเฟรนีก็ช่างหน้าไม่อาย แทนที่จะรักถนอมภรรยาให้ดี ดันไปหลงเสน่ห์โสเภณีจนมีลูกเสียนี่
ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องนี้เจ้าอาจจะยังไม่รู้ ดยุกเอเฟรนีขืนใจดัชเชสเอเฟรนีจนนางตั้งครรภ์ แน่นอนว่าเรื่องนี้เจ้าตัวก็ไม่รู้ กลับเชื่อมั่นอย่างแน่วแน่ว่าตนเป็นคนเลือกเขา แต่แท้จริงแล้วเขาต่างหากเป็นคนเลือกนาง
แปะ
จดหมายร่วงลงไปบนพื้น ปลายนิ้วของดัชเชสเอเฟรนีสั่นระริก
“นะ…นางรู้เรื่องนั้นได้อย่าง…”
สีหน้าของดัชเชสเอเฟรนีเริ่มซีดเผือดด้วยความตกใจระคนโทสะ นางยกมือปิดหน้าโดยไม่คิดจะเก็บจดหมายที่ร่วงหลุดมือไปขึ้นมาอีกครั้ง เรื่องนั้นเริ่มต้นขึ้นเมื่อยี่สิบปีก่อน ความทรงจำของนางแสนเลือนลาง
***
“เลดี้อีส”
อีส เอเฟรนี หันไปตามเสียงเรียก ดูเหมือนชายหนุ่มผมทองรูปงามจะเป็นคนที่เรียกนาง นางรู้สึกใจเต้นแรงไปโดยอัตโนมัติ
“มีอะไรหรือคะ ลอร์ด” นางตอบ
ในขณะนั้นทั่วทั้งจักรวรรดิกำลังสรรเสริญแซ่ซ้องพระจักรพรรดิองค์ใหม่ที่เพิ่งเสด็จขึ้นครองราชย์ มีงานเลี้ยงจัดขึ้นแทบทุกหนแห่ง เหล่าชนชั้นสูงต่างหมดเงินไปกับความรื่นเริงในทุกค่ำคืน อีส เอเฟรนีซึ่งเป็นบุตรีของมาร์ควิสในขณะนั้นก็มิใช่ข้อยกเว้น
“ท่านทำผ้าเช็ดหน้าตกครับ”
หนุ่มผมทองกล่าวอย่างสุภาพอ่อนน้อมและยื่นผ้าเช็ดหน้าสีขาวมาให้ อีส เอเฟรนีหน้าซับสีเลือดขณะรับสิ่งนั้นมา
“ขอบคุณค่ะ ลอร์ด เป็นข้าไม่ระวังเอง”
“หามิได้ครับ โชคดีที่ข้ามาพบเข้า”
“จริงสิ แล้ว…ท่านรู้จักชื่อของข้าได้อย่างไรคะ”
ได้ยินคำถามนั้นชายหนุ่มก็ยิ้มอย่างอ่อนโยน
“เคยได้ยินว่ามีหญิงสาวงามเลื่องชื่อ ข้ามองปราดเดียวก็รู้แล้วครับ เลดี้อีส”
“ตายจริง”
ครั้นถูกชายหนุ่มเอ่ยชม อีส เอเฟรนีก็ยิ่งหน้าแดง
“ว่าแต่ท่านเป็นใครหรือคะ ข้าจำไม่ได้ว่าเคย…” นางถาม
“โอ้ ข้าแนะนำตัวช้าไปสินะครับ” ชายหนุ่มแนะนำตัวอย่างสุภาพ “เจมส์ นิวตัน ลี เฮ็ดวิก จากตระกูลเฮ็ดวิกครับ”
“อีส คาเทียร์ ลา เอเฟรนี จากตระกูลเอเฟรนีค่ะ มิทราบว่าท่านคือบุตรของบารอนเฮ็ดวิกหรือคะ”
“ใช่ครับ”
“อ้อ”
อีสร่ำเสียดายในใจ ผู้ชายคนนี้หน้าตาดีทั้งยังดูโอบอ้อมอารี เสียที่ชาติกำเนิด นางจะแต่งงานกับขุนนางชั้นผู้น้อยได้อย่างไร ท่านพ่อไม่มีวันอนุญาตเด็ดขาด นางข่มใจมิให้แสดงความเสียดายออกทางสีหน้าพลางเอ่ยกับอีกฝ่าย
“อย่างไรก็ขอบคุณนะคะ ลอร์ด ขอให้สนุกกับงานเลี้ยง…”
“ประเดี๋ยวก่อนครับ เลดี้”
เจมส์รั้งอีสไว้ หญิงสาวเงยหน้ามองชายหนุ่มที่ตัวสูงกว่าด้วยความสงสัย เขายิ้มอย่างอ่อนโยนและเอ่ยถาม
“หากยังหาคู่เต้นรำไม่ได้”
“…”
“เลดี้อีส ท่านจะช่วยมาเป็นคู่เต้นรำให้ข้าได้หรือไม่”
“เอ่อ…”
เพราะไม่อาจปฏิเสธได้ อีสจึงพยักหน้าเบาๆ เห็นได้ชัดว่านางมีความรู้สึกดีๆ ต่อเขาตั้งแต่ตอนนั้น และเมื่อนางอนุญาต รอยยิ้มของเจมส์ก็พลันสดใสขึ้น
“เป็นเกียรติอย่างยิ่งครับ เลดี้”
“…”
พวงแก้มของอีสกลายเป็นสีชมพู และแล้วทั้งสองก็เริ่มการเต้นรำด้วยกัน เจมส์เต้นจังหวะวอลซ์ได้ดีมากราวกับคนที่มีประสบการณ์ร่วมงานสังคมมานาน ด้วยเหตุนั้นเขาจึงเต้นนำอีสได้อย่างดีเยี่ยม อีสที่มั่นใจในฝีมือการเต้นของตัวเองก็ยิ่งหลงใหลเขามากยิ่งขึ้น เมื่อการเต้นรำจบลง อีสก็กล่าวกับเจมส์ด้วยสีหน้าขึ้นสีเล็กน้อย
“วันนี้สนุกมากเลยค่ะ ลอร์ด”
“ข้าก็เช่นกันครับ เลดี้อีส” เขายิ้มไม่หุบพลางถาม “คอแห้งไหมครับ เดี๋ยวข้าจะไปหยิบค็อกเทลมาให้ พักอยู่ตรงนี้สักครู่นะครับ”
“เอ่อ…ขอบคุณค่ะ”
อีสพยักหน้าและย้ายไปยืนรออยู่ที่มุมหนึ่ง เขาช่างเป็นผู้ชายที่เอาใจใส่ หากบรรดาศักดิ์ของผู้เป็นบิดาสูงกว่านี้อีกสักนิดก็คงจะดี…
“คิดอะไรอยู่หรือครับ เลดี้”
ระหว่างที่นางกำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อย เจมส์ก็เข้ามาใกล้
อีสยิ้มบางๆ พลางตอบ “แค่คิดไปเรื่อยเปื่อยค่ะ”
“ดูเหมือนจะมีเรื่องให้คิดเยอะนะครับ”
“แค่นิดหน่อยค่ะ”
พูดจบนางก็ยกค็อกเทลขึ้นดื่ม หวานจัง
“ข้าเป็นคนคออ่อน เกรงว่าจะเมาแล้วแสดงกิริยาไม่งามนะคะ”
“อย่ากังวลเลยครับ เลดี้”
เจมส์ยิ้มอย่างทรงเสน่ห์พลางกระซิบที่ข้างหูของนาง เขาเองก็ดื่มเหล้าเข้าไปหรือเปล่านะ ลมหายใจของเขาร้อนเหลือเกิน อีสรู้สึกมึนเล็กน้อยจนซวนเซ เจมส์จึงเข้าไปประคองไว้
“ระวังครับ เลดี้ ถึงจะเป็นแค่ค็อกเทลอ่อนๆ ก็ตาม…”
“ข้าไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเมาเพราะค็อกเทลแก้วเดียวเลยนะคะ แย่จริง นี่ข้าคงแก่แล้วกระมัง”
“พูดอะไรน่าเศร้าอย่างนั้นล่ะครับ” เขาส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย “ไปที่ระเบียงกันดีไหมครับ”
“ดีค่ะ”
เมื่อได้รับความเห็นชอบจากหญิงสาว ทั้งคู่ก็ย้ายไปที่ระเบียง พวกเขานั่งลงที่ม้านั่งบริเวณนั้นก่อนจะดื่มค็อกเทลที่เหลืออยู่จนหมด อาจเป็นเพราะเริ่มเมาแล้ว อีสจึงรู้สึกอารมณ์ดีขึ้น หรือไม่ก็อาจเป็นเพราะคนที่อยู่ข้างกาย อีสคิดเช่นนั้นพลางพึมพำ
“ร้อนเหมือนกันนะคะ”
“ร้อนหรือครับ”
“จู่ๆ ร่างกายมันก็…รู้สึกร้อน…อื้อ!”
ทันใดนั้นนางก็ร้องออกมา อา แปลกจัง วันนี้ร่างกายของนางไม่ปกติเอาเสียเลย นางรู้สึกราวกับความร้อนกำลังไต่ไล่ขึ้นมาจากท้องน้อย…
“ร่างกายข้าแปลกๆ ค่ะ” หญิงสาวกล่าวเสียงสั่น
“แย่จริง” เขาพูดเสียงเบาอย่างเห็นใจ “ไม่สบายตรงไหนหรือครับ”
“อือ…แค่…”
“คงเพราะเมื่อกี้เต้นรำหนักเกินไป ดูเหมือนร่างกายจะปรับตัวไม่ทันนะครับ” เขาวางมือลงบนร่างของนางและเอ่ยด้วยน้ำเสียงห่วงใย “ข้าจะคลายกล้ามเนื้อให้นะครับ”
“ไม่เป็น…ฮึก!”
เจมส์ทำทีเป็นช่วยคลายกล้ามเนื้อแต่กลับแอบลูบไล้เรือนกายใต้ร่มผ้า ในค็อกเทลที่เขาให้นางดื่มมีทั้งยาเร้ากำหนัดและยานอนหลับผสมอยู่ อีสไม่มีทางรู้เรื่องนั้น นางอ้อนวอนด้วยสีหน้าเหยเก
“แปลกจังเลยค่ะ ลอร์ด ร่างกายข้า…ร้อนมาก…”
“เลดี้”
ตอนนั้นเอง เจมส์ก็เอ่ยเรียกเบาๆ อีสมองเขาด้วยดวงตาแดงก่ำ
“ข้ารักท่าน” เขากระซิบอย่างแผ่วเบา
“คะ?”
คำสารภาพรักอย่างกะทันหันทำให้อีสตกใจจนลืมความร้อนรุ่มที่ท้องน้อย น้ำเสียงของเขาฟังดูเขินอาย
“ความจริงแล้วข้าหลงรักท่าน…”
“…”
“ตั้งแต่แรกเห็นแล้วครับ”
“แต่วันนี้พวกเราเพิ่ง…อ๊ะ!”
เจมส์ประกบปากลงไปทันที อีสจึงมิอาจพูดจนจบประโยค ริมฝีปากนุ่มที่ทาบทับทำให้หญิงสาวรั้งสติไว้ไม่อยู่และเบียดกายเข้าหาอีกฝ่าย ในระหว่างนั้นนางก็รู้สึกว่าสติของตนค่อยๆ เลือนหาย
“อา…ลอร์ด…”
สิ้นเสียง อีสก็หมดสติไป