“ฝ่าบาท กระหม่อมคล้ายจะได้ยินผิดไป…”
“หากเจ้าไม่ได้หูตึง เจ้าก็ได้ยินมิผิดหรอก เราบอกว่าเราอยากเรียนรู้วิธีการทำขนมหวาน”
“…”
ครั้นได้ยินลูซิโอพูดย้ำอีกครั้ง หัวหน้าห้องเครื่องจึงรู้ว่าตนไม่ได้ฟังผิด เขาผงะไป พระเจ้าช่วย ฝ่าบาททรงขอให้ข้าสอนทำขนมหวานหรือนี่!
“ขนมที่กระหม่อมทำถวายไม่ถูกปากหรือพ่ะย่ะค่ะ” เขาถาม
“เปล่า ฝีมือของเจ้าเยี่ยมยอดยิ่ง หาไม่แล้วเจ้าจะรักษาตำแหน่งนี้ไว้ได้หรือ”
“…”
ได้ฟังคำชมเชยอันน่ากลัวของนายเหนือหัว หัวหน้าห้องเครื่องก็ถามอีกครั้ง
“เช่นนั้นเหตุใดจู่ๆ…”
“เราจะทำให้คนผู้หนึ่ง”
“เอ่อ หากฝ่าบาทต้องการของขวัญ กระหม่อมสามารถทำให้ได้นะพ่ะย่ะค่ะ”
“แน่นอนว่าของที่เจ้าทำย่อมมีทั้งรสชาติและหน้าตาที่ดีกว่า” ลูซิโอพูดต่ออย่างสงบนิ่ง “แต่หากเป็นเช่นนั้น ขนมหวานชิ้นนั้นก็จะไม่พิเศษอีกต่อไป เราต้องทำด้วยตัวเอง…เพื่อแสดงความจริงใจไม่มากก็น้อย”
“…?”
หัวหน้าห้องเครื่องไม่เข้าใจสิ่งที่ลูซิโอพูดแม้แต่น้อย แต่เพียงครู่เดียวเขาก็สลัดความสงสัยทิ้งไป เขาจะบังอาจสงสัยในเจตนารมณ์ของผู้ที่มีฐานะสูงส่งได้อย่างไร หัวหน้าห้องเครื่องกล้ำกลืนความสงสัยพลางตอบ
“เช่นนั้นกระหม่อมก็จะถวายการสอนให้พ่ะย่ะค่ะ”
และแล้วการฝึกสุดหฤโหดราวกับการฝึกของชาวสปาตันก็เริ่มต้นขึ้น ลูซิโอทำงานเสร็จเร็วกว่าปกติและเลือกทำบราวนีเป็นอย่างแรก เขาเริ่มต้นอย่างห้าวหาญ ทว่า รูปร่างของบราวนีกลับดูประหลาดขึ้นเรื่อยๆ หัวหน้าห้องเครื่องทนดูต่อไปไม่ไหวจึงเอ่ยปาก
“ฝ่าบาท กระหม่อมขออนุญาตถวายความช่วยเหลือได้หรือไม่”
“…เราทำเองได้”
ทว่า หลังจากนั้นไม่นานลูซิโอก็ต้องขอความช่วยเหลือจากหัวหน้าห้องเครื่องอย่างเลี่ยงไม่ได้ ถึงกระนั้นเขาก็ไม่ใช่นักเรียนที่ไร้สามารถ หลังจากทำพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่าถึงสามครั้ง ในสุดที่ครั้งที่สี่เขาก็ทำบราวนีที่ ‘พอดูได้’ ออกมา เขาลืมความคิดฟุ้งซ่านทั้งหมดและนำบราวนีที่ราดหน้าด้วยช็อกโกแลตเหลวเข้าเตาอบ ระหว่างรอให้สุก เขาก็พลันนึกถึงแพทริเซียขึ้นมา
“…”
ว่ากันว่าคนเรามักเสียใจเมื่อสายไป เขาเสียใจที่มิอาจรู้ว่าตนรู้สึกอย่างไรกับแพทริเซียตั้งแต่ก่อนหน้านี้ แต่มันก็สายเกินไปแล้ว ดังนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำในตอนนี้และต่อจากนี้บางทีมันอาจจะไร้ค่าไร้ความหมาย แต่ทว่า…
‘แต่ถึงกระนั้น หากสิ่งนี้สามารถถ่ายทอดความรู้สึกของข้าได้ล่ะก็…’
เพียงเท่านั้นก็พอใจแล้ว ลูซิโอมีสีหน้าเจ็บปวด แต่เพียงพริบตาเดียวเขาก็เปลี่ยนเป็นนิ่วหน้าและกัดริมฝีปาก เหตุใดข้าถึงไม่ทำอะไรแบบนี้ให้นางตั้งแต่ก่อนหน้านี้ เหตุใดข้าถึงไม่แสดงความรู้สึกต่อนางตั้งแต่ก่อนหน้านี้ เหตุใดข้าถึงโง่เขลานัก เหตุใดข้า…
“อา…”
เมื่อได้กลิ่นไหม้จากเตาอบ ลูซิโอจึงหลุดออกจากภวังค์และเดินไปที่เตา อุตส่าห์คิดว่าในที่สุดบราวนีของเขาก็พอจะกินได้บ้างแล้วแท้ๆ แต่ก็ล้มเหลวอีกจนได้ เขาหยิบบราวนีที่ไหม้แล้วหนึ่งชิ้นเข้าปากอย่างชอกช้ำ รสหวานของช็อกโกแลตหายไปอย่างสิ้นเชิง เหลือไว้เพียงรสขมเท่านั้น
***
“ฝ่าบาท นี่คือแผนงานฉลองวันคล้ายวันพระราชสมภพในเดือนหน้าเพคะ”
เดือนหน้าเป็นวันคล้ายวันเกิดของแพทริเซีย ช่างน่าขันที่นางต้องมาจัดการแม้กระทั่งงานวันเกิดของตัวเอง แต่จะไม่ทำก็ไม่ได้ เพราะจะให้จักรพรรดิมาจัดงานวันเกิดให้จักรพรรดินีก็คงกระไรอยู่ แพทริเซียถอนหายใจพลางพึมพำ
“วันเกิดปีหน้าถ้าได้จัดที่บ้านก็คงจะดี”
“…”
ไม่มีใครตอบรับคำพูดของนาง และดูเหมือนแพทริเซียเองก็ไม่ได้ต้องการคำตอบจากใคร นางรับเอกสารจากมีร์ยาราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นและเริ่มไล่อ่านทีละบรรทัด เงินในท้องพระคลังมีไม่มากแต่แผนงานนี้กลับวิลิศมาหราเกินไป แพทริเซียถอนหายใจพลางกล่าว
“ข้าคิดว่าควรลดงบประมาณลงหน่อย ในฐานะเจ้าภาพข้าอนุญาต”
“แต่ว่าฝ่าบาท หากทำเช่นนั้น พระเกียรติของพระองค์…”
“เอาตามนี้เถอะ เกียรติของข้ากลับมาอีกครั้งตั้งแต่ได้ประหารโรสมอนด์แล้ว”
แพทริเซียเอ่ยถึงชื่อต้องห้ามขึ้นมาและเอนตัวพิงเก้าอี้ด้วยสีหน้าเหนื่อยล้า ทั้งที่คิดว่าควรจะพักเสียหน่อย แต่รู้ตัวอีกทีนางก็มานั่งอยู่หน้าโต๊ะและกำลังสะสางงานของฝ่ายในเสียแล้ว แพทริเซียคิดจะพักสายตาสักครู่แต่ก็มีคนมาเคาะประตูเสียก่อน
“มีธุระอันใด” มีร์ยาถามอีกฝ่าย
“ฝ่าบาทเสด็จค่ะ”
ครั้นได้ยินว่ามีแขกไม่ได้รับเชิญมาเยือน แพทริเซียก็ขมวดคิ้ว นางกระซิบอะไรบางอย่างกับมีร์ยาและลุกจากที่นั่ง มีร์ยาพยักหน้าด้วยสีหน้าลำบากใจก่อนจะเดินไปที่ประตู ครั้นเปิดประตูออกไปก็พบว่าลูซิโอยืนอยู่ข้างนอกนั้นจริงๆ นางรีบถวายความเคารพทันที
“ถวายบังคมสุริยันแห่งจักรวรรดิ”
“จักรพรรดินีอยู่ข้างในหรือไม่”
“อยู่เพคะ แต่…บรรทมอยู่”
“ไม่สบายหรือ”
มีร์ยาทำตัวไม่ถูกกับการให้ความสนใจผิดที่ผิดเวลาของอีกฝ่าย แต่ก็เอ่ยตอบอย่างเป็นธรรมชาติ
“มิได้เพคะ…เพียงแต่ดูอ่อนเพลียเล็กน้อย”
“แย่จริง คงต้องเรียกหมอหลวงแล้ว”
“ไม่ถึงขนาดนั้นเพคะ”
“…”
หลังจากถามไถ่กันพอเป็นพิธีแล้วก็ถึงเวลาถามถึงกิจธุระเสียที ลูซิโอลังเลเล็กน้อยก่อนจะเปิดปาก
“คือ…เรา”
“เชิญรับสั่งเพคะ ฝ่าบาท”
“เรามีของจะให้จักรพรรดินี”
ได้ยินดังนั้นมีร์ยาก็เลื่อนสายตาลงไปมองที่มือของลูซิโอ เขาถือกล่องกระดาษผูกริบบิ้นที่บรรจุไว้ด้วยอะไรบางอย่าง
“สิ่งนั้นหรือเพคะ” นางถาม
“…ใช่”
“หม่อมฉันจะนำไปถวายให้เองเพคะ”
“เอ่อ…”
เขามีสีหน้าลำบากใจแต่ก็ยื่นกล่องกระดาษให้โดยไม่พูดอะไรมาก ของในกล่องจับดูแล้วอุ่นๆ ดูเหมือนจะเป็นของกิน มีร์ยายิ้มอ่อนโยนพลางพูดให้ลูซิโอวางใจ
“ฝ่าบาทโปรดวางพระทัย หม่อมฉันจะกราบทูลพระจักรพรรดินีให้เองเพคะ”
“ฝากด้วยนะ”
สีหน้าของลูซิโอตอนที่พูดประโยคนั้นดูกระวนกระวายอย่างประหลาด มีร์ยาเห็นดังนั้นก็รู้สึกแปลกใหม่อย่างมาก คล้ายว่านางเพิ่งเคยเห็นอีกฝ่ายมีสีหน้าเช่นนั้นเป็นครั้งแรก มีร์ยาค้อมกายให้เขาอย่างสง่างามและกล่าวลาก่อนจะปิดประตู
“ใครกัน”
แพทริเซียรู้อยู่แล้วผู้มาเยือนคือลูซิโอ เพราะนางไม่ได้นอนกลางวันอย่างที่อ้าง หูทั้งสองข้างก็ปกติดี นางย่อมต้องได้ยินทุกอย่าง เรื่องนอนกลางวันเป็นเพียงข้ออ้างเพื่อไม่ต้องพบหน้าเขาเท่านั้น มีร์ยาวางกล่องลงบนโต๊ะพลางกล่าว
“พระจักรพรรดิเสด็จมาถึงที่นี่เพื่อมอบสิ่งนี้ให้พระองค์เพคะ”
“…”
สีหน้าของแพทริเซียดูแปลกประหลาด มีร์ยาเห็นดังนั้นก็ได้โอกาสยิ้มน้อยๆ พลางถาม
“ทำอย่างไรดีเพคะ”
“…ทิ้งไปเลย”
แต่มีร์ยากลับขัดคำสั่งของแพทริเซียเป็นครั้งแรก นางคลายริบบิ้นสีม่วงที่ผูกอยู่บนกล่องเพื่อเปิดดูของข้างใน ทันใดนั้นกลิ่นหอมหวานก็ฟุ้งไปทั่วห้อง มีร์ยาอุทานอย่างประหลาดใจ
“บราวนีมิใช่หรือเพคะ”
“ไม่มีอะไรจะให้แล้วหรือ…”
“ดูเหมือนจะลงมือทำด้วยพระองค์เองนะเพคะ ตายจริง ตรงนี้มีการ์ดอยู่ด้วยเพคะ”
“…ข้าบอกให้ทิ้งไปเสีย”
“จะทำเช่นนั้นได้อย่างไรเพคะ นี่เป็นครั้งแรกที่หม่อมฉันได้ยินว่าองค์สุริยันแห่งจักรวรรดิทรงลงมืออบขนมด้วยพระองค์เอง”
มีร์ยาดูตื่นเต้นกว่าตัวแพทริเซียเองเสียอีก แพทริเซียมองมีร์ยาด้วยสายตาคบกริบ
“ถ้าเจ้าชอบใจขนาดนั้นก็กินเองเถอะ”
“ทำเช่นนั้นหม่อมฉันอาจถูกจับโทษฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพได้นะเพคะ ฝ่าบาท หม่อมฉันจะบังอาจรับประทานของที่พระจักรพรรดิทำด้วยพระองค์เองได้อย่างไร”
มีร์ยาส่ายหน้าและจัดบราวนีที่ยังมีควันฉุยใส่จานสีขาว แพทริเซียนอนหันหลังให้มีร์ยาราวกับจะบอกว่านางไม่อยากสนใจอีกแล้ว แต่แม้จะหลับตาก็ไม่อาจปิดกั้นการรับกลิ่นได้ ด้วยเหตุนั้นกลิ่นหอมของช็อกโกแลตจึงลอยเข้าจมูกของแพทริเซียอย่างเลี่ยงไม่ได้ หญิงสาวครางฮือในลำคออย่างลำบากใจ เขาจะทำได้อร่อยขนาดนั้นโดยไม่มีใครช่วยจริงๆ หรือ?
“ฝ่าบาท ลองเสวยดูไหมเพคะ”
มีร์ยาแสร้งทำเป็นไม่เห็นท่าทีของแพทริเซียและเอ่ยถาม ในท้ายที่สุดแพทริเซียก็ถอนหายใจและพูดย้ำอีกครั้ง
“ข้าบอกให้ทิ้ง”
“ขืนทำเช่นนั้นแล้วหม่อมฉันได้รับโทษฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพของพระจักรพรรดิจะทำอย่างไรเล่าเพคะ แต่หากฝ่าบาทจะทรงให้ความช่วยเหลือ หม่อมฉันก็ยินดีเพคะ”
“…”
แพทริเซียพูดกับมีร์ยาด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า
“เจ้าก็กินไปเถอะ แบ่งให้ราฟาเอลาด้วยก็ได้”
“ฝ่าบาทไม่เสวยจริงๆ หรือเพคะ”
พูดจบ มีร์ยาก็ลองหยิบบราวนีใส่ปากชิ้นหนึ่ง ความจริงแล้วนางไม่ได้คาดหวังกับรสชาติแต่มันกลับอร่อยกว่าที่คิด
“ไม่ทราบมาก่อนเลยว่าพระจักรพรรดิทรงมีพระปรีชาสามารถในด้านการอบขนมด้วย” มีร์ยากล่าวอย่างประหลาดใจเหลือแสน
“…”
“พระจักรพรรดิทรงทำได้ดีทีเดียวเพคะ ดูเหมือนจะไม่ได้ขอความช่วยเหลือจากหัวหน้าห้องเครื่องด้วย แต่ทรงพยายามด้วยพระองค์เอง”
“นี่ ท่าทีของเจ้ามันไม่โจ่งแจ้งเกินไปหน่อยหรือ” แพทริเซียว่าพลางแสยะยิ้ม
มีร์ยาเห็นดังนั้นก็ยิ้มพรายพลางกล่าว “ด้วยเหตุนั้น ช่วยกรุณาพระจักรพรรดิมากกว่านี้ด้วยเถิดเพคะ ฝ่าบาท”
“…”
บทสนทนาจบลงเพียงเท่านั้น มีร์ยากินบราวนีอีกชิ้นก่อนจะถามแพทริเซีย
“จะไม่เสวยจริงๆ หรือเพคะ รสชาติดีอย่าบอกใครเลยทีเดียว”
แพทริเซียชอบขนมหวานมาก และในบรรดาขนมหวานนางก็ชอบบราวนีมากที่สุด นางตั้งใจจะพูดอะไรบางอย่างแต่สุดท้ายก็เงียบไว้และพูดเพียงว่า
“…วางไว้ แล้วออกไปได้”
“เพคะ ฝ่าบาท”
มีร์ยายิ้มเล็กๆ ก่อนจะวางกล่องเอาไว้และถอยกายออกไปเงียบๆ มีร์ยารู้ว่าแพทริเซียยังต้องการเวลาอีกหน่อย อย่างไรก็ตามสิ่งที่สำคัญคือแพทริเซียกำลังจะมีความสุขมากยิ่งขึ้น หากจักรพรรดิเชื่อมั่นในความรักที่ตนมีต่อแพทริเซียจริงๆ มีร์ยาก็อยากจะลองเชื่ออีกสักครั้ง เพราะสำหรับนางแล้วการอยู่คนเดียวอย่างอิสระไปชั่วชีวิตมิใช่เรื่องที่ดีนัก
“…ไร้ประโยชน์”
ใครขอให้ทำของแบบนี้มาให้กัน แพทริเซียยันตัวลุกขึ้นจากเตียง ปลายของชุดเดรสสีขาวที่แขวนอยู่บนร่างลากไปกับพื้น แพทริเซียมองบราวนีที่วางอยู่บนโต๊ะ ดูเหมือนว่ามันจะเริ่มเย็นแล้วจึงดูฉ่ำขึ้นเล็กน้อยและนั่นทำให้มันดูน่ากินมาก แพทริเซียถอนหายใจสั้นๆ ก่อนจะหยิบบราวนีขึ้นมาหนึ่งชิ้น มูสช็อกโกแลตไหลเยิ้ม นางเลียเศษบราวนีที่ติดอยู่บนนิ้วอย่างแผ่วเบา จากนั้นกลิ่นหอมและรสชาติของช็อกโกแลตก็อบอวลไปทั่วทั้งปาก อร่อยจัง ด้วยเหตุนั้นแพทริเซียจึงได้แต่ถอนหายใจอย่างเงียบๆ
“ไม่ควรอร่อยขนาดนี้เลย”
นางนั่งลงและใช้ส้อมจิ้มกินอย่างจริงจัง นี่เขาทำเองทั้งหมดจริงๆ หรือ? หากเป็นเช่นนั้นจริง ตอนที่ทำเขาคิดอะไรอยู่? นางลองคาดเดาความคิดของอีกฝ่ายพลางกินบราวนีที่ลูซิโอทำมาให้จนหมด
***
อีกด้านหนึ่ง หลังจากกลับมาถึงตำหนักกลาง ลูซิโอก็เฝ้ารอปฏิกิริยาของแพทริเซียอย่างใจจดใจจ่อ เขาลองคาดเดาไว้หลายแบบ แต่สิ่งที่เขาไม่อยากได้ยินมากที่สุดคือ ‘ทิ้งไปโดยไม่เปิดดู’ แน่นอนว่าหากพิจารณาจากสิ่งที่เขาเคยทำไว้ ต่อให้แพทริเซียทำแบบนั้นจริงเขาก็มิอาจพูดอะไรได้…ทว่า ใจของมนุษย์เป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน หากสมปรารถนาแล้วสิ่งหนึ่ง ย่อมปรารถนาในสิ่งที่สองและสามต่อไป
“ฝ่าบาท”
ตอนนั้นเอง หัวหน้านางกำนัลก็เปิดประตูเข้ามา ลูซิโอเอ่ยถามด้วยใจที่เต้นไม่เป็นส่ำ
“มีเรื่องอันใด”
“พระจักรพรรดินี…”
อึก
ลูซิโอกลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว
“เสวยบราวนีที่พระองค์ทำจนหมดเลยเพคะ”
“…จริงหรือ”
“เพคะ ฝ่าบาท”
แม้หัวหน้านางกำนัลจะพูดอย่างสงบนิ่ง แต่นางก็ดูตื่นเต้นเล็กน้อย ลูซิโอไม่อาจปกปิดความยินดีเอาไว้ได้ เขายิ้มกว้างไปทั้งใบหน้า
“อา…โล่งอกไปที”
เพื่อไม่ให้เสียบรรยากาศหัวหน้านางกำนัลจึงไม่ได้พูดเรื่องที่ตอนแรกแพทริเซียสั่งให้นำไปทิ้ง นางจบบทสนทนาไว้เพียงเท่านั้นและออกจากห้องไป ในห้องจึงเหลือเพียงลูซิโอสับขาเดินไปเดินมาด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความยินดีไม่เหมือนในยามปกติ เขามักจะทำเช่นนี้เวลาที่เขาดีใจ หลังจากเดินไปเดินมาอยู่ในห้องครู่ใหญ่เขาก็ตัดสินใจออกไปเดินเล่นเพื่อให้ใจสงบลง