24 – ความเปลี่ยนแปลงของซูชิงหลาง
ห้องน้ำของซูเล่อไม่ได้มีอะไรตกแต่งมากนัก มีเพียงอ่างล้างหน้าธรรมดาๆ ไม่มีแม้แต่ฝักบัวไม่ต้องกล่าวถึงอ่างอาบน้ำเลย
ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเรียบง่ายเป็นเพราะเวลาปกติซูเล่อจะต้องกลับบ้านทุกวัน
แม้ว่าที่บ้านจะมีพ่อตาแม่ยายคู่หนึ่งที่คอยดูถูกเขาก็ตาม แม้ว่าจะมีน้องภรรยาอยู่บ้านก็ตาม แม้ว่าจะมีเมียที่ไม่ได้นอนด้วยก็ตาม
แต่ซูเล่อก็ยังคงกลับบ้านทุกวัน ในตอนกลางวันเขาจะเปิดร้านหนังสือแล้วจะกลับบ้านตอนกลางคืนด้วยความสดชื่น
ใช่แล้วเขาสบายใจจริงๆ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องศักดิ์ศรีอะไรขอเพียงแค่มีกินมีใช้ไปวันๆก็พอ
เพราะเขาคือซูเล่อเขาไม่ใช่คนใหญ่คนโต เขาสามารถทอดทิ้งชื่อแซ่ของบรรพบุรุษตัวเองเพียงเพื่อให้ได้เงินเท่านั้น
โจวเจ๋อไม่เข้าใจรสนิยมของซูเล่อเขาเติบโตในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า แม้ว่าปมด้อยของเขาจะไม่ปรากฏขึ้นแต่ก็มีอยู่เสมอ
ดังนั้นเขาจึงตั้งใจเรียนหนังสือรวมทั้งยังทำงานอย่างหนัก ความสำเร็จของเขาเป็นเครื่องพิสูจน์ได้อย่างดี
ในขณะนั้นเมื่อมองไปที่ใบหน้าที่เปียกชื้นในกระจกโจวเจ๋อก็รู้สึกสงสารในใจ ทุกคนมีกรงเป็นของตัวเอง แต่รูปแบบและขนาดของกรงจะแตกต่างกัน
โจวเจ๋อไม่ต้องการเป็นราชาผีและเขาไม่คาดหวังว่าจะต้องพึ่งพาพลังพิเศษของเขาเพื่อทำมาหากิน ในแง่หนึ่งเขารู้ว่าถ้าเขามีชื่อเสียงมากเกินไปสิ่งเลวร้ายจะเกิดขึ้นในไม่ช้า
ในทางกลับกันมันก็เกิดขึ้นแล้วในชาติก่อนของเขา เขาเหนื่อยมามากเขาจึงอยากเปลี่ยนวิถีชีวิตของตัวเองในชาตินี้
ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องการที่จะอยู่รอดด้วยเนื้อหนังนี้มีชีวิตอยู่ต่อไป
โจวเจ๋อเอาผ้าขนหนูมาเช็ดหน้าเช็ดมืออีกครั้ง เขาเดินออกจากห้องน้ำ
เด็กหญิงตัวน้อยยังคงนั่งอยู่บนม้านั่งพลาสติกและจดจ่ออยู่กับหนังสือภาพประกอบของเธอ
“ ลุงรุ่ยรุ่ยอยากกินน้ำ”
เด็กหญิงตัวน้อยตะโกนเรียกโจวเจ๋อเหมือนสัตว์เลี้ยงที่น่ารักน่าเอ็นดู
โจวเจ๋อพยักหน้าใช้ถ้วยกระดาษและรินน้ำน้ำอุ่นหนึ่งแก้วส่งให้เธอ
โจวเจ๋อนั่งลงบนกระเบื้องแล้วเอื้อมมือไปลูบหัวของเด็กหญิงอย่างใจดีโดยไม่มีข้อควรระวังใดๆ
เวลาผ่านไปอย่างช้าๆเด็กหญิงตัวน้อยอ่านหนังสือต่อไป โจวเจ๋อยังคงนอนอยู่ที่หน้าเคาน์เตอร์ คนสองวัยอยู่ด้วยกันอย่างกลมเกลียว
เด็กหญิงตัวน้อยจะนำเรื่องราวที่น่าสนใจที่เธอเห็นมาเล่าให้โจวเจ๋อฟังอยู่เป็นพักๆ โจวเจ๋อก็ตอบกลับด้วยการเล่านิทานให้เธอฟัง
ไม่รู้ว่านานแค่ไหนรถสีแดงก็ขับกลับมา
แม่ของเด็กหญิงผลักประตูเปิดเบาๆและขอบคุณโจวเจ๋อสำหรับวันนี้ โจวเจ๋อก็ตอบรับด้วยรอยยิ้ม
เด็กหญิงตัวน้อยกล่าวขอบคุณโจวเจ๋อจากนั้นก็ไปกับแม่ของเธอ ตั้งแต่ต้นจนจบเด็กหญิงตัวน้อยไม่ได้หันกลับมามองเขาอีกเลย
โจวเจ๋อเดินไปที่เคาน์เตอร์และหยิบกล่องของขวัญจากผู้หญิงคนนั้นมาเปิดดู จากนั้นเขาก็พบว่ามีธนบัตรจำนวน 3,000 หยวนกองอยู่ในนั้น
ไม่เลว โจวเจ๋อเผยรอยยิ้มสดใสเขากำลังขาดแคลนเงินพอดี เงินพวกนี้จะสามารถช่วยชีวิตเขาไปได้อีกสักระยะหนึ่ง
เมื่อดูเวลาโจวเจ๋อก็พบว่าเกือบค่ำแล้วเขาคิดถึงเรื่องที่ชวนหมอหลินไปดูหนังด้วยกันตอนกลางคืน ดังนั้นโจวเจ๋อจะไปทานอาหารก่อน
เมื่อเดินไปที่ประตูถัดไปโจวเจ๋อตัวแข็งอยู่ครู่หนึ่งและเห็นซูชิงหลางคุกเข่าอยู่ที่พื้น
ดวงตาของซูชิงหลางเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำและมีขวดเหล้ามากมายอยู่ข้างๆเขา ในเวลานี้เขาถือขวดเหล้าขาวอยู่ในมือและกำลังดื่มมันอย่างดุดัน
“ ไม่ยุติธรรม…ไม่ยุติธรรม…”
ซูชิงหลางบ่นพึมพำกับตัวเองแม้ว่าโจวเจ๋อจะเดินเข้ามาในร้าน แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่รู้สึกตัวเลย
“เกิดอะไรขึ้น?” โจวเจ๋อเอื้อมมือมาตบไหล่ซูชิงหลาง“ คุณสบายดีไหม?”
เขาอยากจะเตือนซูชิงหลางว่าสำหรับผู้ชายคนอื่นการเมานั้นมีแต่เรื่องได้กำไร แต่ถ้าซูชิงหลางเมาเขาจะขาดทุนมากกว่าทุกคน
แม้ว่าจะมีเขาและผู้หญิงสองคนนอนเมาอยู่บนถนนตอนกลางคืน โจวเจ๋อเชื่อว่าซูชิงหลางอาจถูกล่วงละเมิดบ่อยกว่าผู้หญิงคนนั้น
ซูชิงหลางตัวสั่นค่อยๆเงยหน้าขึ้นพร้อมกับชี้ไปที่โจวเจ๋อและกล่าวด้วยความเสียใจ
“ วันนี้เป็นเป็นวันที่ฉันสูญเสียพ่อแม่”
โจวเจ๋อเงียบไปชั่วขณะและกล่าวว่า:“ เสียใจด้วย”
หลังจากรอสักครู่ซูชิงหลางยังคงดื่มต่อไป
โจวเจ๋อทำได้แค่กล่าวว่า“ คืนนี้ไม่ต้องทำอาหารเหรอ?”
“ ทำอยู่แล้ว! แน่นอนว่าทำอยู่แล้ว!”
ซูชิงหลางลุกขึ้นยืนอย่างโซซัดโซเซ เอวของเขาบอบบางดูแล้วเร้าใจเป็นพิเศษ โดยเฉพาะกินหอมที่กระจัดกระจายออกมาจากร่างของเขา
“ ไหวหรือเปล่า?”
โจวเจ๋อกล่าวเช่นนั้น แต่เขาก็ยังคงนั่งลงบนเก้าอี้และเตรียมพร้อมที่จะกิน
มันไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเขาที่จะกินอาหารได้ เขาจึงไม่อยากไปกินที่อื่น
ซูชิงหลางโบกมือและเดินเข้าไปในห้องด้านหลัง มีเสียงเปิดเตาและซูชิงหลางกำลังทำอาหาร
โจวเจ๋อหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาและเห็นหมอหลินเพิ่งส่งข้อความถึงว่าหลังจากเลิกงานจะมารับเขาในทันที
“งั้นผมรออยู่ที่นี่” โจวเจ๋อตอบกลับ แต่หลังจากมาคิดดูแล้วมันดูเหมือนกับว่าเขาตอบกลับอย่างเย็นชามากเกินไปเขาจึงเพิ่มสติ๊กเกอร์รูปคนยิ้มไปด้วย
“ ทำไมเธอไม่จับคุณทำไมต้องจับพ่อแม่ของฉันไป”
ซูชิงหลางกระซิบกับตัวเองขณะทำอาหาร
“ นี่ไม่ยุติธรรมไม่ยุติธรรมจริงๆ” ซูชิงหลางยังคงพูดกับตัวเอง
“ คุณจะเลือกที่รักมักที่ชังได้อย่างไร? คุณจะเล่นพรรคเล่นพวกได้อย่างไร”
ดวงตาของซูชิงหลางหมองคล้ำแต่ความถี่ในการปรุงอาหารด้วยมือของเขาไม่เปลี่ยนแปลง เขาทำอาหารเก่งและการทำอาหารเกือบจะกลายเป็นสัญชาตญาณ
ซูชิงหลางหยิบขวดสีเหลืองจากตู้ใต้เตาแล้วเทผงสีเหลืองบางอย่างลงไปในกระทะเล็กน้อยจากนั้นก็ใส่เนื้อสัตว์ลงไป
“ พ่อแม่ของฉันถูกพรากไปทำไมคุณถึงยังอยู่? เป็นเพราะคุณช่วยชีวิตเธอหรือเปล่า”
“ นี่มันเรื่องตลกอะไรกัน เธอไม่ได้ตายจริงๆด้วยซ้ำ”
“ คุณอยากกินเหรอฉันจะทำให้คุณกินจนหนำใจ”
ซูชิงหลางยังคงบ่นพึมพำอยู่คนเดียว
“คุณสบายดีไหม?” โจวเจ๋อที่อยู่ด้านนอกตะโกนออกมา
“ไม่มีอะไร”
ดวงตาของซูชิงหลางลังเลอยู่ครู่หนึ่งแต่ในที่สุดเขาก็ใส่ผงสีเหลืองลงไปในกระทะมากกว่าเดิม
หลังจากที่ข้าวสุกแล้วซูชิงหลางก็วางหม้อตุ๋นไว้ด้านบนจากนั้นก็ถือจานออกมา
โจวเจ๋อกำลังมองไปที่หน้าจอโทรศัพท์มือถือก่อนที่จะมองเห็นซูชิงหลางเดินอย่างใจลอยออกจากห้องครัว
“ คุณลืมใส่เกลือหรือเปล่า”
ซูชิงหลางส่ายหน้า โจวเจ๋อหยิบตะเกียบขึ้นมาและเตรียมกิน
มือของซูชิงหลางสั่นเล็กน้อยและริมฝีปากของเขาขยับขึ้นเหมือนจะพูดอะไร แต่โจวเจ๋อก็วางตะเกียบลงก่อน
“ แล้วน้ำบ๊วยเปรี้ยวหรือน้ำมะระล่ะ” โจวเจ๋อถาม
“ตกลง.”
ซูชิงหลางเดินกลับไปหยิบน้ำบ๊วยหนึ่งแก้วแล้วเดินกลับมาอีกครั้ง
โจวเจ๋อหยิบน้ำบ๊วยขึ้นมาก่อนดมกลิ่นและสูดหายใจเข้าลึกๆ ในขณะที่เขากำลังจะดื่มมันโทรศัพท์ในมือของเขาก็ดังขึ้น
“ ฉันเลิกงานแล้วอีกสักครู่จะไปถึง”
โจวเจ๋อลังเลเล็กน้อยก่อนจะเทน้ำบ๊วยเข้าปากอย่างรวดเร็ว
เขารู้ว่าหลังจากกินอาหารนี้แล้วเขาอาจจะมีใบหน้าที่บิดเบี้ยวคล้ายกับคนทั้งโลกกำลังติดหนี้เขาอยู่