“ตอนนี้เราจะเปิดศาลทหาร! กรณีการพิจารณาคดีคือการล่มของยานบินฉินซึ่งกำลังพานักศึกษาใหม่ 600 คนและนักรบระหว่างดวงดาว 108 คนมาที่มหาวิทยาลัยถูกซุ่มโจมตีโดยเผ่าวิญญาณ มนุษย์ระหว่างดวงดาว 657 คนหายไปในโศกนาฏกรรมและมีเพียง 51 คนที่รอดชีวิต! เฟิงหลินถูกกล่าวหาว่าเป็นคนทรยศที่จงรักภักดีต่อเผ่าพันธุ์วิญญาณ “
คำกล่าวหาเปิดขึ้นในศาลที่ยิ่งใหญ่ซึ่งมีความสูงอย่างน้อยสองร้อยชั้น
รู้สึกได้ถึงแสงสปอตไลท์ที่สาดส่องมาที่เขา เฟิงหลินมองออกไปจากจุดที่เขานั่งอยู่
วิสัยทัศน์ทั้งหมดของเขาคือเสายักษ์ที่ดูเหมือนจะขยายไปถึงขอบฟ้าและห้องขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยแถวของผู้คนมองจากที่นั่งในห้องพิจารณาคดี
สายตาของทุกคนเหมือนมีดสั้นแทงทะลุหัวใจของเฟิงหลิน
แรงกดดันนั้นยิ่งใหญ่และแทบจะทนไม่ไหว
เฟิงหลินสูดหายใจเข้าลึก และควบคุมการหายใจ เขานั่งตัวตรงเขามองย้อนกลับไปที่คนในห้องพิจารณาคดี
เขากำลังถูกมวลชนตัดสิน เพื่อปกป้องตัวเองและพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของเขา เขาจะต้องไม่ตื่นตระหนก
“นั่นคือเขาหรอ? ได้ยินมาว่าเขาเป็นคนทรยศที่เป็นสายให้กับเผ่าวิญญาณ!”
“ช่างน่ากลัว! นักเรียนที่มีความสามารถจำนวนมากเสียชีวิตเพราะเขา!”
“จริง ๆ แล้วถ้ามันไม่ผิดกฎหมาย ฉันคงจะฆ่าเขาไปแล้ว!”
เสียงกระซิบดังเต็มในห้องพิจารณาคดี
“เงียบ!” เสียงที่ดังก้องกังวานดังสงบความวุ่นวายและยุติการพูดพล่อยๆ
เงาขนาดใหญ่ที่ดูเข้มงวดและน่ากลัวนั่งอยู่ด้านหลังดาดฟ้าที่ยกสูง
“เฟิงหลิน คุณจะยอมสารภาพความผิดฐานทรยศหรือไม่?” ผู้พิพากษากล่าว
“ดูเหมือนว่าฉันจะดังเอาเรื่อง” เฟิงหลินพึมพำภายใต้การหัวเราะที่ขมขื่น
แม้ว่าเขาจะเป็นเพียงแค่น้องใหม่ แต่ด้วยความสนใจที่ได้รับจากการพิจารณาคดีนี้ มันไม่แปลกใจถ้าทุกคนจากมหาวิทยาลัยสุดยอดกำแพงจะรู้ว่าเขาเป็นใครหมดแล้วในตอนนี้
แต่การเป็นคนมีชื่อเสียงในเรื่องแบบนี้ก็ไม่น่าภูมิใจอะไร
“ผมบริสุทธิ์!” เขาประกาศด้วยความมุ่งมั่น
เขาจะยอดรับในความผิดที่เขาไม่ได้กระทำได้ยังไง?
“ อะไรนะ?” ผู้พิพากษาพูดด้วยท่าทางที่น่ากลัวและเกือบจะในทันที เฟิงหลินก็สามารถรู้สึกได้ถึงการสะกดข่มอย่างท่วมท้นจากวิญญาณของเขา
การสะกดข่มวิญญาณ ทำให้เขาคิดอะไรไม่ออก
เขารู้สึกว่าถูกบังคับให้ตอบคำถามด้วยความเป็นจริง
(เป็นการสะกดข่มวิญญาณจริงๆ?)
เฟิงหลินไม่สามารถเทียบได้กับพลังนี้
บุคคลปกติใดๆที่อยู่ภายใต้การควบคุมของการสะกดข่มวิญญาณดังกล่าวจะไม่สามารถปิดบังความลับใด ๆ ได้ คุณจะต้องเปิดเผยความจริงทั้งหมด แม้ว่าคุณเคยจะแอบดูคนอื่นอาบน้ำตอนยังเป็นเด็ก คุณจะไม่สามารถต่อต้านหรือปิดบังความลับนี้กับโลกใบนี้ได้
อย่างไรก็ตามเฟิงหลินไม่หวั่นไหว
“ผมจะถามคุณอีกครั้ง คุณจะยอมรับสารภาพความผิดของคุณหรือไม่?” ด้วยพลังแห่งการสะกดข่ม เสียงของผู้พิพากษาส่งผ่านจิตวิญญาณของเฟิงหลิน ดูเหมือนจะขุดหาความลับสุดท้ายที่เหลืออยู่ในจิตใจของเขา
“ผมบริสุทธิ์!” เฟิงหลินตอบอีกครั้งโดยไม่ลังเล
“ อะไรกัน? นี่มันน่าสนใจ! ความมุ่งมั่นของเขานั้นไม่เปลี่ยนแปลงและการสะกดข่มวิญญาณของผู้พิพากษาก็ไม่สามารถทำอะไรเขาได้!” เสียงซุบซิบดังขึ้นในห้องอีกครั้ง
“บุคคลนี้น่าสนใจจริงๆ! เป็นเพียงผู้บ่มเพาะระดับสูงเท่านั้น แต่สามารถปิดกั้นการสะกดข่มวิญญาณของผู้พิพากษาได้ เขามีความสามารถเกินกว่านักศึกษาใหม่จริงๆ!”
“มีพรสวรรค์แล้วยังไง?ถ้าเขาเป็นคนทรยศ เขามีแต่จะเป็นอันตรายต่อมนุษยชาติเท่านั้น!”
“ถูกต้อง! ยิ่งเขามีความสามารถมากเท่าไหร่ มนุษยชาติก็ยิ่งอันตราย!”
ผู้พิพากษาเงียบเป็นเวลานาน เนื่องจากเฟิงหลินดูเหมือนจะตั้งใจที่จะไม่รับสารภาพกับการก่ออาชญากรรมครั้งนี้ ผู้พิพากษาจึงตัดสินใจที่จะใช้วิธีอื่น
“คุณหนีจากการซุ่มโจมตีของเผ่าวิญญาณมาได้ยังไง?” ผู้พิพากษาถาม
“ผมมียานบินพกพาของตัวเอง ทีมลาดตระเวนจากมหาวิทยาลัยุดยอดกำแพงสามารถยืนยันข้อเท็จจริงนี้ได้” เฟิงหลินตอบ
“ฉี เทียนเจียว คุณเป็นคนที่นำเฟิงหลินกลับมาและเป็นคนที่จับกุมเขา เขาพูดความจริงหรือไม่?” ผู้พิพากษาถามนักเรียนผมสีแดง
“ ใช่ เขามีครับ” ชายผมสีแดงตอบ ขณะที่เขาก้าวไปข้างหน้าและพูดเสริม“ จริงๆแล้วเฟิงหลินนำยานบินส่วนตัวบินกลับมาที่มหาวิทยาลัยสุดยอดกำแพง ตอนที่เราพบเขา เขากำลังถูกไล่ล่าโดยโจรสลัดอวกาศ อย่างไรก็ตามฉันไม่สามารถยืนยันได้ว่ายานบินส่วนตัวนั่นเป็นของเขาหรือไม่ “
แม้ว่าเขาจะเกลียดเฟิงหลินจากความจริงที่ว่าเฟิงหลินอาจจะเป็นคนทรยศมากแค่ไหนก็ตาม แต่ฉี เทียนเจียวก็ยังคงบอกสิ่งที่เขารู้อย่างเป็นจริง
เพื่อความชัดเจนผู้พิพากษาเริ่มเรียกค้นไฟล์ นิ้วของเขาจิ้ม ภาพโฮโลแกรมของกระสวยอวกาศที่เสียหายอย่างรุนแรงและไหม้เกรียมปรากฏขึ้นตรงหน้า
“ คุณจะหนีจากการตามล่าของเผ่าวิญญาณด้วยตัวเองได้ยังไง? ในเมื่อกระสวยอวกาศอยู่ในสภาพที่ไม่สมบูรณ์แบบนี้ และคุณหาตำแหน่งที่แน่นอนของมหาวิทยาลัยสุดยอดกำแพงได้ยังไง?” ผู้พิพากษาระดมยิงคำถามใส่เฟิงหลิน
ความไม่แน่นอนเหล่านี้ทำให้เกิดความสงสัยในความเห็นของผู้พิพากษา
เขากลับมาที่มหาวิทยาลัยสุดยอดกำแพงด้วยตัวเองได้ยังไง?โดยไม่ต้องมีตัวกำหนดตำแหน่ง
นั่นไม่น่าเชื่อมากๆเลยทีเดียว!
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื่องจากเฟิงหลินเป็นนักเรียนที่เพิ่งได้รับคัดเลือก ซึ่งยังไม่ได้เริ่มเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยสุดยอดกำแพงอย่างเป็นทางการ เขาจะได้รับตำแหน่งของโรงเรียนอย่างถูกต้องได้ยังไง
เฟิงหลินหายใจเข้าลึก ๆ แล้วจัดระบบความคิดของเขา
เขาจะต้องไม่โกรธในตอนนี้เพราะมันอาจส่งผลกระทบต่อการตัดสินความบริสุทธิ์ของเขาในเรื่องนี้
หากเขาโมโห ไม่เพียงแต่เขาจะไม่สามารถพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของเขาได้ แต่เขาอาจให้เหตุผลเพิ่มเติมแก่พวกเขาในการตั้งคำถามเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมกับเผ่าพันธุ์อื่นและสงสับในความซื่อสัตย์ของเขา
“เมื่อยานบินฉินถูกทำลาย ผมได้ใช้ยานบินส่วนตัวของผมและเดินทางไปตามรูหนอน นั่นคือตอนที่ผมพบกับวิญญาณงูหลาม! ผมไม่มีทางเลือกนอกจากต้องหนีและเดินทางด้วยความเร็วแสงผ่านกาแลคซีขนาดใหญ่ จนไปบังเอิญเจอกับยานบินขนส่งสินค้าและช่วยพวกเขาจากการโจมตีของก๊อบลินในอวกาศ โชคไม่ดีที่ผมถูกปล้นโดยกลุ่มโจรสลัดอวกาศแต่ผมก็สามารถนำเอาตัวกำหนดตำแหน่งของมหาวิทยาลัยสุดยอดกำแพงจากยานบินขนส่งสินค้า ก่อนที่ผมจะหนีจากเงื้อมมือของพวกเขาและพบกับทีมลาดตระเวนของมหาวิทยาลัยสุดยอดกำแพง! “
เฟิงหลินสรุปเหตุการณ์ของเขาและตอบด้วยความสัตย์จริง
แม้ว่าเขาจะพูดด้วยความสงบ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับคนอื่นที่จะรู้ว่าเฟิงหลินได้ผ่านการเดินทางที่แสนน่าเบื่อกว่าจะมาถึงวันนี้
“คุณยังตรวจดูหัวก๊อบลินและเกราะของโจรสลัดอวกาศบนกระสวยอวกาศของผมได้ นี่คือหลักฐานว่าที่ผมพูดคือความจริง!” เฟิงหลินยืนยัน
คณะลูกขุนเริ่มหารือกัน
ผู้พิพากษาเรียกค้นข้อมูลเกี่ยวกับกระสวยอวกาศของเฟิงหลินอีกครั้งและพบหลักฐานของหัวและชุดเกราะที่พิสูจน์ว่าเฟิงหลินพูดความจริง
“ตัวกำหนดตำแหน่งของมหาวิทยาลัยสุดยอดกำแพงได้รับการยอมรับว่าเป็นของมีค่า ทำไมคนที่อยู่ยานบินขนสินค้าถึงต้องมองให้คุณ?” ผู้พิพากษาซักถามอย่างไม่ลดละ ทำให้เฟิงหลินไม่สามารถซ่อนความลับจากเขาได้
“พวกเขาทำอย่างนั้นเพราะผมช่วยชีวิตพวกเขาจากก๊อบลินอวกาศ! หลังจากนั้นพวกเขาก็มีปัญหากับโจรสลัดอวกาศ ถ้าผมไม่เบี่ยงเบนความสนใจของพวกโจรสลัด พวกเขาจะไม่สามารถหลบหนีได้! เป็นการต่อรองของพวกเขาที่จะให้ผมหันเหความสนใจโจรสลัด! “
เฟิงหลินตอบโต้ การสอบสวนครั้งนี้กระตุ้นอารมณ์ของเขา อารมณ์จะไม่เป็นผลดีต่อคดีของเขา เขาจำเป็นต้องมีสติที่มั่นคง
หากเขาปล่อยให้ตัวเองถูกสอบสวนต่อไปเรื่อย ๆ เขาอาจจะเปิดเผยตัวตนมากเกินไป แม้แต่ความลับที่ไม่เกี่ยวข้องกับคดี
เขาตัดสินใจที่จะเป็นฝ่ายรุกแทนและโยนคำถามของเขาไปว่า “ด้วยความเคารพ ถ้าผมรู้ว่าใครคือคนที่รายงานผมล่ะ? ผมไม่ใช่คนทรยศแน่นอน! ผมขอปกป้องความบริสุทธิ์ของผมจากบุคคลนั้นในศาลได้หรือไม่? “
การร้องขออย่างเปิดเผยของเขาส่งผลให้เกิดการพูดคุยกันอย่างวุ่นวายระหว่างคณะลูกขุน
เมื่อได้ยินการร้องขอของเขาผู้พิพากษามองสถานการณ์ปัจจุบัน คำพูดของเฟิงหลินไม่มีช่องโหว่และคำถามเพิ่มเติมใด ๆ ก็อาจจะไร้ประโยชน์
เขาหารือกับคณะลูกขุนและได้มติอย่างรวดเร็ว
“เชิญโจทก์!” ผู้พิพากษาพูด
ไม่นานหลังจากนั้นประตูศาลทหารก็เปิดออก
ร่างยักษ์ที่ยืนอยู่สูงประมาณห้าเมตรถูกนำตัวขึ้นศาล ในขั้นต้นเขาดูตกใจและดูเหมือนจะถูกทหารจับเอาไว้ – อย่างไรก็ตามเมื่อดวงตาของเขามองเห็นเฟิงหลินความไม่แน่นอนทั้งหมดก็หายไป เขาจ้องมองเฟิงหลินอย่างเย็นชา