Long Live The Hokage – ตอนที่ 32 : นินจา 108 คน

ในเช้าวันรุ่งขึ้น มาซาฮิโกะ ก็ได้ตาม โทบิรามะ เพื่อไปเข้าประชุมกับ ไดเมียวของแคว้นแห่งไฟ

ทั้งคู่เดินเข้าไปในห้องแล้วก็พบว่า ไดเมียว ได้มาถึงและนั่งอยู่ที่หน้าเวทีเรียบร้อยแล้ว ขณะที่ตัวแทนตระกูลต่าง ๆ ก็มาถึงกันครบแล้วเช่นกัน

ในเวลาเดียวกัน มาซาฮิโกะ และ โทบิรามะ ก็พบกับคู่ปรับตลอดการของพวกเขา นั้นก็คือ อุจิฮะ อิซึนะ และ อุจิฮะ เซนโซ แน่นอนว่า ผู้นำตระกูลคนปัจจุบันอย่าง มาดาระ ไม่สามารถมาประชุมในครั้งนี้ได้

อุจิฮะ อิซึนะ มองมาที่ มาซาฮิโกะ ด้วยท่าทางที่เย้ยหยัน “อุซึมากิ กลายมาเป็นคนรับใช้ของ เซนจู แล้วเหรอเนี่ย? ชายแก่คนนั้นตามท่านมาถึงที่นี่เลยเหรอ โทบิรามะ?”

“ชายแก่? ท่านแน่ใจเหรอว่าตอนนี้พวกท่านไม่ได้แก่กว่าฉัน?” มาซาฮิโกะ ยิ้มและพูดขณะที่ใบหน้าของเขาก็ยังคงสภาพชายอายุ 48 ปีเอาไว้ จากนั้น มาซาฮิโกะ ก็มองไปที่ อุจิฮะ เซนโซ

“ท่านผู้อาวุโส ไม่ต้องไปสนใจเขาหรอก เขาไม่มีทางอายุน้อยกว่าท่านได้หรอก” อิซึนะ เห็นว่า เซนโซ กำลังจ้องมองไปที่ มาซาฮิโกะ ด้วยความโกรธ เขาจึงพยายามพูดปลอบใจ

แต่อนิจจา ทั้งหมดที่ มาซาฮิโกะ พูดเป็นเรื่องจริง…

มาซาฮิโกะ รู้สึกมีความสุขมากเมื่อได้เห็นใบหน้าของผู้สูงอายุที่กำลังเปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยความโกรธ

“อะแฮม…” ไดเมียว ที่นั่งอยู่ที่ด้านหน้าของเวที ส่งเสียงออกมาเพื่อดึงดูดความสนใจของทุกคนและทำให้เสียงพูดคุยต่าง ๆ หยุดลง

เมื่อเห็นว่าทุกคนเงียบแล้ว ไดเมียว ก็พูดขึ้นมาว่า “ครั้งนี้ ที่เราเรียกพวกท่านทุกคนมาที่นี่ก็เพราะว่าเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ มีคนพยายามที่จะสอบสังหารเรา พวกนั้นคือ…นินจา”

“หลังจากการตายของ ซันโทโระ ก็ไม่มีทหารคนไหนที่จะสามารถป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับเราได้”

“แน่นอนว่าที่เราเรียกพวกท่านมาที่นี่ ไม่ใช่เพราะเราสงสัยว่ามือลอบสังหารจะถูกส่งมาโดยพวกท่าน แต่เพราะเรารู้สึกว่าเราต้องการความปลอดภัย”

“เราหวังว่าพวกท่านจะให้ความร่วมมือโดยการส่งนินจายอดฝีมือมาคุ้มครองเราและจัดตั้งเป็นหน่วยองครักษ์…สัก 12 คนก็น่าจะดี”

“และแน่นอนว่าเราจะให้รางวัลกับผู้ที่ให้ความร่วมมือ ดังนั้น พวกท่านคิดว่ายังไงละ?”

ผู้เข้าร่วมประชุมต่างมองหน้ากันและกัน แต่ก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมา

ตระกูลใหญ่ รู้ถึงความสำคัญของ ไดเมียว และเข้าใจในสถานการณ์ปัจจุบันของเขาเป็นอย่างดี

ข้อแรก เพราะ ไดเมียว ไม่ได้มีความสามารถในการต่อสู้เหมือนกับพวกนินจา และนั่นก็เป็นเหตุผลหลักว่าทำไมพวกเขาถึงเขาถึงพยายามไม่เป็นศัตรูกับนินจา

ข้อ 2 เนื่องจาก ไดเมียว สามารถจัดการกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของ แคว้นแห่งไฟ ได้ ทำให้แคว้นนี้รุ่งเรือง และแน่นอนว่ามันก็จะทำให้รายได้ของ นินจา เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน

ไดเมียว ขอให้มีนินจามาคุ้มครองเขาเป็นจำนวน 12 คน อาจกล่าวได้ว่ามันเป็นรูปแบบหนึ่งของการจ้างงานทางทหารโดยตรงจาก ไดเมียว ไม่ใช่จากสภาแห่งแคว้น เพราะนี้เป็นคำของร้องเพื่อป้องกันปัญหาด้านความปลอดภัยจาก ไดเมียว เอง ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถปฏิเสธได้

เรื่องเหล่านี้ดูเหมือนจะเป็นเรื่องง่าย แต่ด้วยการได้เป็นผู้พิทักษ์ในเงามืดของ ไดเมียว คนกลุ่มนี้ก็จะได้รับอนุญาตให้ดำเนินการในทางลับได้ และพวกเขาก็ยังสามารถกระทำเรื่องต่าง ๆ ในนามของ แคว้นแห่งไฟ ได้อีกด้วย ดังนั้นการก่อตั้งกลุ่มนี้ขึ้นมาจึงมีผลต่อความมั่นคงและอำนาจการปกครองของตระกูลต่าง ๆ นี่เป็นเหตุผลที่เรื่องนี้ไม่ได้ทำกันได้ง่าย ๆ

อุจิฮะ เซนโซ ยกมือขึ้น จากนั้นก็ยืนขึ้นแล้วพูดว่า “ท่านไดเมียว ฉันขอโทษที่ต้องพูด แต่เราคงต้องปรึกษาเรื่องนี้กับสภาของตระกูลของเราก่อน”

โทบิรามะ ขยับตาให้ มาซาฮิโกะ

แน่นอนว่า โทบิรามะ ก็ต้องการที่จะคัดค้านเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน แต่ในเมื่อเขาเรียก มาซาฮิโกะ ให้มาช่วย ดังนั้นเขาจึงให้ มาซาฮิโกะ เป็นคนตัดสินใจ

มาซาฮิโกะ ยืนขึ้นและยิ้มให้ ไดเมียว ก่อนที่จะพูดออกมาว่า “ท่านไดเมียว เพื่อความปลอดภัยของท่าน มันก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ที่จะเลือกนินจามา 12 คนและจัดตั้งขึ้นเป็นหน่วยองครักษ์ แต่ผู้ที่ลอบสังหารท่าน อาจจะไม่ได้ตั้งเป้าหมายไว้ที่ท่านเพียงคนเดียวก็เป็นได้ ภรรยาและลูก ๆ ของท่านก็อาจจะเป็นเป้าหมายด้วยก็ได้”

“ดังนั้น เพื่อความปลอดภัยของ แคว้นและสภาสูงของแคว้นแห้งไฟ นินจาแค่ 12 คนจะพอเหรอ? ฉันคิดว่ามันน่าจะสมเหตุสมผลกว่าถ้าจะแต่งตั้งหน่วยองครักษ์เพิ่มเป็น 180 คน”

อุจิฮะ ทั้ง 2 มองไปที่ มาซาฮิโกะ ด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง พวกเขาประหลาดใจมากที่ มาซาฮิโกะ พูดออกมาแบบนั้น ในขณะนั้น มาซาฮิโกะ ก็ไม่กล้าหันกลับไปมอง โทบิรามะ เพราะเขารู้ดีว่านี้ไม่ใช่สิ่งที่ โทบิรามะ ต้องการ

และที่ มาซาฮิโกะ พูดแบบนั้นออกไปก็เพราะว่า เขาคิดว่า หากเขาเปลี่ยนเรื่องราวจากนินจา 12 คน เป็นนินจา 108 คน เขาก็จะได้แต้มการเข้าร่วมมากขึ้นนั้นเอง

บนเวที ไดเมียว ยิ้มและพูดว่า “โอ้ ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ เราจะพิจารณาความคิดในการสร้างหน่วยองครักษ์ 108 คนต่อไป!”

ตัวแทนแต่ละตระกูลกล่าวลา ไดเมียว และกลับห้องพักของพวกเขาไป

ในขณะที่ มาซาฮิโกะ เดินกลับไปที่ห้องพัก เขาก็ไม่กล้าที่จะมองหน้า โทบิรามะ ได้เลย เพราะที่เขามาอยู่ที่นี่ได้ก็เพื่อมาช่วยสนับสนุน โทบิรามะ แต่ตอนนี้เขากลับทำตามใจของเขาเสียเอง

“โทบิรามะ ฉัน…”

“ท่านปู่ เป็นความคิดที่ดีมากเลยครับ!” มาซาฮิโกะ พยายามจะพูดขอโทษ โทบิรามะ แต่ โทบิรามะ กลับพูดขัดจังหวะเขาขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น

“เอิ่ม…” มาซาฮิโกะ รู้สึกสับสนและเขาก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อไปดี

“ถ้า ไดเมียว จัดตั้งหน่วยองครักษ์ 12 คนขึ้นมา ตระกูลเล็ก ๆ ที่ถูกเลือก พวกเขาก็จะสามารถยกระดับตำแหน่งของพวกเขาให้สูงขึ้นได้ และตระกูลที่มีอำนาจตระกูลอื่น ๆ ก็จะไม่สามารถปฏิเสธได้ แต่ถ้า ไดเมียว ต้องการจัดตั้งหน่วยองครักษ์มากถึง 108 คนแล้วละก็ ตระกูลทั้งหมดก็จะต้องปฏิเสธเพราะต้องสละนินจาฝีมือดีไปเป็นจำนวนมากและข้อเสนอทั้งหมดก็จะไร้ประโยชน์”

“ผมคิดไม่ผิดจริง ๆ ที่เลือกให้ท่านมาที่นี่!”

ในขณะนั้น มาซาฮิโกะ ก็รู้สึกมึนงงเป็นอย่างมาก เขาไม่คิดว่าคำพูดของเขาจะสามารถคิดได้ลึกซึ้งถึงขนาดนี้

“อ้า ใช่ ใช่…” มาซาฮิโกะ ตอบอย่างตะกุกตะกัก “ฉันคิดแบบนั้นแหละ ไม่คิดเลยนะว่าท่านจะดูออกได้เร็วขนาดนี้…” มาซาฮิโกะ พูดตามน้ำไปเรื่อย ๆ

และเป็นเหมือนกับที่ โทบิรามะ คาดการณ์ไว้ ไดเมียว ได้เรียก ตระกูลเซนจู , ตระกูลอุจิฮะ และตระกูลอื่น ๆ เข้าประชุมอีกครั้ง แต่ไม่ใช่การประชุมเรื่องการจัดตั้งหน่วยองครักษ์ 12 คน แต่เป็นเรื่องการจัดตั้งหน่วยองครักษ์ 108 คน ต่างหาก!

แน่นอนว่าแม้แต่ตระกูลเล็ก ๆ ที่จะได้รับผลประโยชน์จากเรื่องนี้ก็จำเป็นต้องปฏิเสธข้อเสนอของ ไดเมียว ไปตามคาด

ในอีกมุมหนึ่งของห้องประชุม กลุ่ม อิโนะ-ชิกะ-โจ กำลังรวมตัวกันอยู่ที่นั่น

ผู้นำตระกูลยามานากะ ดูเป็นกังวลมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ “เราจะเอายังไงกับ ไดเมียว ดี ถ้าหน่วยองครักษ์ 108 คนถูกก่อตั้งขึ้น ด้วยกองกำลังที่มีขนาดใหญ่เช่นนี้ ฉันกลัวว่าพวกเขาอาจจะใช้หน่วยนี้โจมตีเราได้!”

ในขณะที่เขาพูด เขาก็มองไปที่ ผู้นำตระกูลอีก 2 คน “ไดเมียว เป็นคนที่ฉลาดมาก…ฉันได้ยินมาว่าเขาเคยเรียกให้ เซนจู และ อุจิฮะ เข้าพบเป็นการส่วนตัวด้วย ถ้าหาก อุจิฮะ ยื่นข้อเสนอที่ดีพอ นั้นอาจเป็นจุดจบของเราก็เป็นได้…”

ผู้นำตระกูลนารา ส่ายหัว “ไม่ใช่แค่ อุจิฮะ แต่อาจจะเป็น เซนจู…” เมื่อเขาพูดประโยคนี้ออกมา ใบหน้าของ มาซาฮิโกะ ก็ปรากฏขึ้นมาในหัวของเขาทันที

“ท่านอาคิมิจิ ท่านคิดว่ายังไง?” ทั้ง 2 มองไปที่ ผู้นำตระกูลอาคิมิจิ พร้อมกัน

“อืม…อ่า….ฉันว่าบุฟเฟ่ต์เมื่อคืนอร่อยดีนะ บางทีฉันน่าจะพาพ่อครัวของตระกูลฉันมาเรียนวิธีทำน่ะ”

ผู้นำตระกูลยามานากะ และ ผู้นำตระกูลนาราถอนหายใจออกมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมายและได้แต่ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ พวกเขาเบือนหน้าหนีจาก ผู้นำตระกูลอาคิมิจิ จากนั้นพวกเขาก็คุยกันต่อไป

ตระกูลอื่น ๆ ก็คิดเห็นเช่นเดียวกับกลุ่ม อิโนะ-ชิกะ-โจ และคัดค้านข้อเสนอของ ไดเมียว แต่ถึงอย่างไรเขาก็ยังคงเป็น ไดเมียว และพวกเขาก็ต้องการเหตุผลที่เหมาะสมเพื่อที่จะปฏิเสธข้อเสนอนี้

ในวันถัดมา ไดเมียว ก็ได้เรียก ตระกูลเซนตู และ ตระกูลอุจิฮะ เข้าพบอีกครั้ง

เมื่อเทียบกับเมื่อวานนี้แล้ว วันนี้ใบหน้าของ ไดเมียว ดูเหมือนจะไม่พอใจเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขามองมาที่ มาซาฮิโกะ

เมื่อเห็นดังนั้น มาซาฮิโกะ ก็ต้องกู้ความเชื่อมันในตัวเขากลับมาและทำตัวเหมือนว่าเขาอยู่ข้างเดียวกับ ไดเมียว

เมื่อทุกคนเข้ามาพร้อมกันในห้องประชุม ก่อนที่ ไดเมียว จะได้พูดอะไร มาซาฮิโกะ ก็เริ่มการสนทนาขึ้นมาก่อนทันที “หน่วยองครักษ์ 108 คน ที่ฉันเสนอไปเมื่อวานนี้…ฉันเพิ่งมาคิดได้ว่ามันน่าจะเยอะเกินไป และ ไดเมียว คงจะไม่ต้องการคนจำนวนมากขนาดนั้น มันจะเกะกะเปล่า ๆ ยังไปกว่านั้น ยิ่งมากคนก็ยิ่งมากความ…แต่ถึงยังไงฉันก็ยังคิดว่าแค่ 12 คนมันก็ยังน้อยไปอยู่ดี…งั้นเอาสัก 24 คนดีไหมล่ะ?”

ไดเมียว เริ่มสงบลง เขาถอนหายใจแล้วพูดว่า “เราก็คิดเหมือนกัน เราคงไม่สามารถจ่ายค่าจ้างให้กับคนจำนวนมากขนาดนั้นได้…ส่วนเรื่องจำนวนที่เหมาะสมนั้น เราคงต้องขอพิจารณาดูก่อน”

“เราจะจัดงานเลี้ยงในเย็นวันนี้เพื่อฉลองให้กับพวกท่านทั้งหมด และเราค่อยหารือในเรื่องนี้กันอีกครั้งในภายหลัง”

มาซาฮิโกะ และคนอื่น ๆ พยักหน้าและกล่าวลา ไดเมียว

ในขณะที่ที่เดินกลับไปห้องพัก โทบิรามะ ก็พูดกับ มาซาฮิโกะ ว่า “ไดเมียว เป็นคนที่ฉลาดและมีอำนาจ เขาจะต้องคิดข้อเสนอขึ้นมาใหม่ในไม่ช้าอย่างแน่นอน แต่ถึงยังไงก็ต้องขอขอบคุณท่านมากเลยนะครับ ท่านปู่!”

“ฮาฮาฮา!” มาซาฮิโกะ หัวเราะอย่างภาคภูมิใจ…

Long Live The Hokage

Long Live The Hokage

Type: Author:
After Reincarnating into Naruto World at the Warring State Era as an Uzumaki, Masahiko thought that he got a useless System. He lived for 48 years as a normal, below average Uzumaki Shinobi. That changed when he finally knew how the system works the day of his 49th Birthday! นิยายแนว : แอคชั่น ผจญภัย แฟนตาซี ศิลปะการต่อสู้ นินจา เรื่องย่อ : เจิง หยาน ผู้บ้าคลั่งในการ์ตูนเรื่อง นารูโตะ เป็นอย่างมาก เขาได้กลับชาติมาเกิดในโลกของ นารูโตะ ในยุคก่อนสงครามจะเริ่มต้นขึ้น และเป็นหนึ่งในสมาชิกของ ตระกูลอูซิมากิ และมีชื่อใหม่ว่า อุซึมากิ มาซาฮิโกะ มาซาฮิโกะ เกิดมาในโลกนี้พร้อมกับระบบไร้สาระอะไรบางอย่าง แต่เมื่อเขาอายุได้ 48 ปี เขาก็พบว่าระบบนั้นไม่ใช่ระบบธรรมดา ตลอดเวลาที่ผ่านมาในชีวิตใหม่นี้ เขาใช้ชีวิตอย่างไร้ค่าและทำความผิดพลาดมามากมายจนถึงอายุ 48 ปี แต่แล้วจู่ ๆ เขาก็ได้โอกาสอีกครั้งจาก ระบบพิเศษ นั้น และมันก็เริ่มทำงานและเปลี่ยนแปลงชีวิตในวันเกิดปีที่ 49 ของเขา!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset