บรรยากาศที่มืดครึ้มเข้าปกคลุม หมู่บ้านตระกูลอุซึมากิ ตลอดทั้งวัน
ฮาคุโบะ เป็นที่ชื่นชอบของบรรดา สมาชิกตระกูลอุซึมากิ แม้ว่าเขาจะยังเด็กอยู่มาก แต่เขาก็เป็นเด็กที่หล่อเหลาและอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นอย่างมาก จนหากเขาใช้ เทพอัสนีเวหา คนอื่นอาจจะมองเขาผิดว่าเป็น มินาโตะ ก็ได้
“แย่จริง ๆ ที่ฉันเกิดมาในยุคที่เกิดสงครามแบบนี้…” มาซาฮิโกะ คิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น
ตลอดเวลา 48 ปีที่เขามีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้ มาซาฮิโกะ ได้พบเห็นความตายมาหลายต่อหลายครั้งจนเขารู้สึกคุ้นเคยกับมัน
เขารู้ว่าเขาจะต้องเห็นโศกนาฏกรรมอีกมากในอนาคต
มีเกิดย่อมมีตาย ชีวิตมักจะมาพร้อมกับความตายเสมอ มันเป็นสัจธรรมของโลก ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่ได้กลับมาเกิดในโลกแห่งนี้ตั้งแต่แรก
“มีชีวิต…อย่างน้อย เราจะต้องมีชีวิตอยู่จนถึงจุดจบของเรื่องนี้…” มาซาฮิโกะ พูดกับตัวเองด้วยความมุ่งมั่น
วันรุ่งขึ้น มาซาฮิโกะ ตื่นขึ้นมาแต่เช้า เขารีบกินอาหารเช้า จากนั้นเขาก็รีบออกไปที่ห้องโถงกลางอย่างเร่งรีบ
สภาพภายในห้องโถงยังคงเป็นเหมือนกับเมื่อวาน อุปกรณ์ที่ใช้ในการจัดพิธีศพยังอยู่ แต่ร่างของ ฮาคุโบะ ได้ถูกนำไปฝังเรียบร้อยแล้ว แต่บรรยากาศความเศร้าก็ยังคงอยู่
“ท่านลุง ท่านอยู่ที่นี่นี่เอง” ผู้นำตระกูลทักทาย มาซาฮิโกะ ในขณะที่เขาแสดงสีหน้าที่เหนื่อยล้าออกมาอย่างชัดเจน
มาซาฮิโกะ รู้ดีว่าถ้าตระกูลของเขากำลังจะเริ่มต้นทำสงครามกับตระกูลที่แข็งแกร่งกว่าเรา เราก็จะต้องโจมตีเพื่อชิงความได้เปรียบมาก่อน เรื่องเหล่านี้ย่อมทำให้ผู้นำตระกูลต้องวางแผนและคิดอย่างหนัก แม้แต่ความตามของ ฮาคุโบะ ก็ไม่สามารถหยุดยังการเกิดสงครามได้ เพราะถึงอย่างไรก็ตามสงครามครั้งนี้ก็ต้องเกิดขึ้น
“ท่านลุง ท่านจะต้องไปหา ตระกูลเซนจู อีกครั้ง เพื่อขอความช่วยเหลือจากพวกเขา” หัวหน้าตระกูล พูด
“แต่ถ้า ตระกูลเซนจู ช่วยพวกเรา พวกอุจิฮะ ก็ต้องเข้ามาร่วมสงครามด้วยอย่างแน่นอน” มาซาฮิโกะ ตอบกลับ
“เราไม่มีทางเลือก…ในเรื่องของพลัง พวกเรายังห่างชั้นกับ ตระกูลคางูยะ อยู่มาก เพราะฉะนั้นการดึง เซนจู และ อุจิฮะ ให้เข้าร่วมสงครามด้วย จะทำให้พวกเรามีโอกาสชนะมากกว่า และตอนนี้ ผู้อาวุโสลำดับที่ 2 ก็ได้เดินทางไปหา ตระกูลฮิวงะ เพื่อขอความช่วยเหลือจากพวกเขาแล้ว”
มาซาฮิโกะ ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็พูดออกมาว่า “อย่างงั้นเหรอ? เข้าใจแล้ว ฉันจะไปที่ หมู่บ้านตระกูลเซนจู ทันที”
มาซาฮิโกะ ยักหน้า เขาเคารพในการตัดสินใจของผู้นำตระกูล และเขาก็เข้าใจเจตนาของผู้นำตระกูล หากพวกเขาสามารถทำให้สงครามครั้งนี้เป็นสงครามของทั้ง 5 ตระกูลใหญ่ได้แล้วละก็ พวกเขาก็จะมีโอกาสชนะมากขึ้น
มาซาฮิโกะ ออกเดินทางทันที เขาใช้เส้นทางเดียวกันกับการเดินทางก่อนหน้านี้ นี่เป็นครั้งที่ 3 ของเดือนแล้วที่เขาออกเดินทาง
“โอเค เราต้องทำได้…” มาซาฮิโกะ ให้กำลังใจตัวเอง
“แม้ว่าตอนนี้ อุซึมากิ จะมีความสัมพันธ์อันดีกับ เซนจู แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่เราจะโน้มน้าวให้ เซนจู สนับสนุนเราได้” มาซาฮิโกะ ครุ่นคิด “สงสัยเราต้องหาจังหวะให้ดีสะแล้ว”
การเดินทางราบรื่นไปได้ด้วยดี ไม่นานนักเขาก็เดินทางมาถึง หมู่บ้านของ ตระกูลเซนจู
“หืม…มีบางอย่างแปลก ๆ…ความเข้มข้นของจักระสูงผิดปกติ เหมือนกับว่า โบทิรามะ กับ ฮาชิรามะ กำลังทำอะไรบางอย่างอยู่” มาซาฮิโกะ สามารถตรวจจับจักระของนินจาระดับสูงของ ตระกูลเซนจู ได้ตั้งแต่ระยะไกล
มาซาฮิโกะ แอบดูพวกเขาจากระยะไกล และเห็นว่า ฮาชิรามะ กับ โทบิรามะ กำลังพูดคุยกับ ผู้อาวุโสคนหนึ่งที่มาจากพื้นที่เขตตะวันออกของตระกูลเซนจู ซึ่งผู้อาวุโสคนนั้นมีชื่อว่า เซนจู โทบุ
“ใครอยู่ตรงนั้นนะ?!” ฮาชิรามะ รู้สึกได้ว่ามีใครบางคนกำลังจ้องมองพวกเขาอยู่จากระยะไกล และตอนนี้พวกเขาก็มุ่งความสนใจไปยังทิศทางที่ มาซาฮิโกะ แอบอยู่
มาซาอิโกะ รู้สึกตกใจเป็นอย่างมากที่ ฮาชิรามะ สามารถสัมผัสถึงเขาได้
เทพเจ้าแห่งนินจา มีสัมผัสที่ไกลขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย?
เมื่อเห็นว่าถูกเจอตัวแล้ว เขาจึงเดินออกมา
“ท่านปู่ ท่านไม่ได้กลับไปแล้วหรอกเหรอ?” โทบิรามะ รู้สึกประหลาดใจเมื่อเขาเห็น มาซาฮิโกะ เพราะเมื่อวานนี้ มาซาฮิโกะ เพิ่งจะบอกลาเขาและเดินทางกลับไป
“เอ้อ…ใช่ ฉันลืมบางอย่างเอาไว้น่ะ” มาซาฮิโกะ บอกออกมาโดยไม่ได้บอกถึงวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของการกลับมาของเขา
จากนั้น โทบิรามะ ก็พูดขึ้นว่า “แต่ห้องพักของท่านก็ถูกทำความสะอาดแล้ว แล้วคนของเราก็ไม่เจอ…”
แต่ไม่ทันที่ โทบิรามะ จะพูดจบ มาซาฮิโกะ ก็พูดขัดขึ้นมาว่า “อะไรกัน? ที่นี่ไม่ต้อนรับฉันงั้นเหรอ?”
“ไม่ใช่อย่างนั้นแน่นอน! สำหรับท่านแล้ว แค่การต้อนรับมันไม่พอด้วยซ้ำไป ที่จริงแล้วท่านสามารถอยู่ที่นี้ได้นานเท่าที่ท่านต้องการเลย”
ฮาชิรามะ ตอบกลับไปด้วยรอยยิ้ม แต่ โทบิรามะ กลับแสดงสีหน้าที่ระแวงออกมา
จากนั้น มาซาฮิโกะ ก็ตอบกลับไปว่า “ถ้าอย่างนั้น ทำไมท่านไม่ใช้ คาถาไม้ ของท่านแล้วสร้างบ้านให้ฉันสักหลังนึงละ? ฉันจะได้ไม่หนาวตอนฤดูหนาว แล้วก็ไม่ร้อนตอนฤดูร้อน สะดวกกว่าห้องพักเล็ก ๆ ที่ท่านให้ฉันอยู่ จริงไหมละ?”
เมื่อ ฮาชิรามะ ได้ยินคำพูดของ มาซาฮิโกะ เขาก็มองไปที่ โทบิรามะ ด้วยความสับสนก่อนที่จะพูดขึ้นมาว่า “นี่ โทบิรามะ…ฉันทำอะไรผิดเหรอ?”
โทบิรามะ ยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้…
“ไม่เอาน่า ฉันแค่ล้อเล่นแค่นั้นเอง อย่าทำหน้าจริงจังแบบนั้นสิ” มาซาฮิโกะ พูดด้วยรอยยิ้ม
จากนั้นเขาก็หันไปเห็น ผู้อาวุโสคนนั้น หันหลังและกำลังเดินหนีไป
มาซาฮิโกะ จึงถามขึ้นมาว่า “เฮ้ ท่านจะไปไหนนะ?”
เมื่อ ผู้อาวุโสได้ยินคำถามของ มาซาฮิโกะ เขาก็ตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่รำคาญว่า “ไปล่าสัตว์”
มาซาฮิโกะ ยิ้มออกมาก่อนที่จะพูดว่า “อ๋อ ขอให้สนุกกับการล่านะ”
มาซาฮิโกะ ส่ายหัวแล้วเขาก็เดินไปยังที่พักของ ตระกูลเซนจู
“การโกหกแบบนี้หลอกฉันไม่ได้หรอก” มาซาฮิโกะ คิดในใจ
“เขาคิดว่าเขาจะหลอกเราด้วยการโกหกแบบนี้ได้เหรอ? โทบุ คนนั้นเป็นถึงหัวหน้าทีมของนินจาระดับสูงจำนวนมาก การที่เขามาที่นี่อาจหมายถึงสิ่งเดียวเท่านั้น…สงคราม”
มาซาฮิโกะ ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะตัดสินใจได้ว่า “ตอนนี้สิ่งต่าง ๆ ได้เปลี่ยนไปแล้ว…เราจะไม่ไปขอความช่วยเหลือจากพวกเขาอีกต่อไป…แต่เราจะรอให้เขามาขอความช่วยเหลือจากเราแทน”
“เราจะอยู่เฉย ๆ แล้วรอให้พวกเขาตัดสินใจ…” มาซาฮิโกะ พูดพึมพำแล้วเขาก็เดินตรงไปที่หน้าห้องที่เขาเคยพักอยู่ จากนั้นเขาก็หยิบหินขึ้นมาก้อนหนึ่งแล้วใส่ลงในกระเป๋าราวกับว่ามันเป็นของที่เขาบอกว่าเขาลืมเอาไว้เมื่อวานนี้
“ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับเวลาสินะ…”
แต่เมื่อเขาหันหลังกลับ ทันใดนั้น หน่วยอารักขาตระกูลเซนจู ก็ปรากฏขึ้นมาขวางทางเขาไว้ แล้วพูดกับเขาว่า “ท่านมาซาฮิโกะ…ผู้นำตระกูลเรียกให้ท่านเข้าพบครับ”
“ฉันรู้แล้ว” มาซาฮิโกะ ตอบด้วยรอยยิ้ม
“เอาล่ะ ส่วนที่ยากคือส่วนต่อไปสินะ…” มาซาฮิโกะ คิดกับตัวเองขณะที่เขาเดินตรงไปที่ห้องโถงกลาง
“อ่า ท่านมาซาฮิโกะ เจอของที่ท่านหารึยังละ?” ทันทีที่ บูซึมะ เห็น มาซาฮิโกะ เดินเข้ามาในห้องโถง เขาก็เอ่ยปากทักทายทันที
“เอ่อ ใช่ เจอแล้วละ…” มาซาฮิโกะ ตอบอย่างรวดเร็ว และเขาก็ไม่ได้เริ่มบทสนทนาต่อ
บูซึมะ เงียบไปครู่หนึ่งแล้วเขาก็พูดขึ้นมาว่า “พวกเราทั้งคู่ต่างเกี่ยวดองและเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว ดังนั้นครอบครัวจึงควรที่จะช่วยเหลือซึ่งกันและกัน”
จากนั้นเขาก็ถอนหายใจก่อนที่จะพูดต่อว่า “ในตอนนี้ ตระกูลคางูยะ ได้บุกเข้ามาโจมตี หมู่บ้านตระกูลเซนจูตะวันออกของเรา ฉันหวังว่า ตระกูลอุซึมากิ จะให้ความร่วมมือช่วยเราในการต่อสู้กับ ตระกูลคางูยะ!”
“โอ้ เรื่องแบบนี้ฉันไม่สามารถตัดสินใจคนเดียวได้หรอกนะ ฉันต้องขอกลับไปปรึกษากับ ผู้นำตระกูลและเหล่าผู้อาวุโส ก่อน” มาซาฮิโกะ ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่สงบนิ่ง ในขณะที่เขายิ้มอยู่ในใจ
“ก็ได้ ฉันหวังว่าท่านจะนำข่าวดีกลับมาบอกเราในครั้งหน้านะ!”
“มันใจได้เลย ท่านบูซึมะ ฉันจะพยายามทำให้ดีที่สุดเพื่อเกลี้ยกล่อมผู้นำตระกูลของเรา เพราะถึงอย่างไรตอนนี้พวกเราก็เป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว เรื่องแค่นี้ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร” มาซาฮิโกะ ใช้โอกาสนี้พูดเพื่อทำให้ตัวเองดูดีในทันที
แต่ บูซึมะ ก็ยังรู้สึกเหมือนกับว่า มาซาฮิโกะ แปลก ๆ ไป และเหมือนกับว่า มาซาฮิโกะ กำลังปิดบังอะไรเขาอยู่
เมื่อเห็นท่าทีไม่ดี มาซาฮิโกะ จึงชิงกล่าวอำลากับ บูซึมะ ทันที แน่นอนว่าเขากลับหมู่บ้านไปพร้อมกับก้อนหินก้อนหนึ่ง และเขาก็ทิ้งมันไประหว่างทาง เพราะเขาไม่มีความจำเป็นต้องเก็บมันไว้
เมื่อ มาซาฮิโกะ กลับมาถึง หมู่บ้าน ผู้นำตระกูลก็ออกมาต้อนรับเขาด้วยตัวเอง
“ท่านลุง ทำไมกลับมาเร็วจัง? แล้ว เซนจู ยอมช่วยพวกเราไหม?” ผู้นำตระกูลถามออกมาในทันที
“อืม…ตระกูลเซนจู…ขอความช่วยเหลือจากเรา…” มาซาฮิโกะ ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงนิ่งเฉย
“อะไรนะ?!”
จากนั้น มาซาฮิโกะ ก็อธิบายสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้กับผู้นำตระกูลฟัง
“อย่างนี้นี่เอง เป็นไปด้วยดีกว่าที่คิดอีกนะเนี่ย แบบนี้ ตระกูลเซนจู ก็จะกลายเป็นกำลังโจมตีหลัก และคนของเราก็จะได้รับบาดเจ็บน้อยลง”
ผู้นำตระกูลยิ้มออกมาอย่างพอใจ ก่อนที่จะพูดต่อว่า “ถ้าเป็นอย่างนั้น ฉันก็คงไม่ต้องนำกองทัพไปด้วยตัวเองแล้วสิ แค่ผู้อาวุโสเป็นผู้นำกองทัพก็พอ”
“…ฉันจะไปด้วย” เมื่อผู้นำตระกูลพูดจบ มาซาฮิโกะ ก็พูดออกไปทันทีอย่างไม่ลังเล
ผู้นำตระกูล ดูสับสนเล็กน้อยเมื่อได้ยิน มาซาฮิโกะ พูดแบบนั้นออกมา นี่เป็นเรื่องผิดปกติของ มาซาฮิโกะ เพราะแม้แต่ผู้นำตระกูลคนก่อนก็ต้องบังคับเขา เขาถึงจะยอมเข้าร่วมการต่อสู้ แล้วทำไมตอนนี้เขากลับอาสาตัวเองด้วยความมั่นใจขนาดนี้กัน?
“ก็ได้ ท่านระวังตัวด้วยก็แล้วกัน”
“ถ้าอย่างนั้น ฉันขอไปเตรียมตัวก่อน” มาซาฮิโกะ รับจบการสนทนาลงอย่างรวดเร็ว จากนั้นเขาก็กลับไปที่บ้านของเขา
“ต่อจากนี้ไป ฉันจะต้องมีส่วนร่วมในทุกเหตุการณ์…จะไหวไหมเนี่ย” มาซาฮิโกะ ถอนหายใจ
“หวังว่าสงครามครั้งนี้จะให้แต้มการเข้าร่วมเยอะ ๆ ละกัน…”