สายลมเย็นพัดผ่านชานชาลาในตอนกลางคืน ส่งผลให้โคมไฟแก๊สที่แขวนอยู่โยกคลอนแผ่วเบา
ท่ามกลางฉากดังกล่าว แสงสลัวขยับไปมาอย่างต่อเนื่อง รถจักรไอน้ำถูกปกคลุมด้วยเงาสลับกับแสงสว่างตลอดเวลา เกิดเป็นบรรยากาศที่ยากจะอธิบาย
ในเวลาเดียวกัน ตำรวจในเครื่องแบบสีดำสลับขาวเดินเข้าไปในชานชาลา มุ่งหน้าไปยังรถไฟคันใหญ่ที่มีสภาพค่อนข้างโทรมภายใต้การนำทางของผู้จัดการสถานี
“ด้วยเหตุผลบางประการ หลังจากผู้โดยสารทุกคนออกไป เจ้าหน้าที่ของรถไฟได้กลับเข้าไปในตัวรถและไม่ออกมาอีกเลย… ผมต้องส่งคนเข้าไปตาม หวังจะพาพวกเขาออกมาพักผ่อน ต…แต่ผลลัพธ์ก็คือ… ก็คือ… คนที่ถูกส่งเข้าไปต่างวิ่งหน้าตาตื่นออกจากรถไฟ เอาแต่แหกปากอย่างบ้าคลั่งว่า ‘ทุกคนตายแล้ว!’ ” ผู้จัดการสถานีรถไฟในชุดสีฟ้ากำลังคือโคมไฟตะเกียง เล่าถึงสถานการณ์เบื้องต้น
จากการพูดที่ติดขัดและร่างกายสั่นระริกเล็กๆ ไม่ใช่เรื่องยากที่ตำรวจจะสังเกตเห็นความหวาดกลัวในตัวอีกฝ่าย คล้ายกับถ้ามีใครสักคนจับไหล่ มันจะสะดุ้งเฮือกพร้อมกับเผ่นหนีโดยทิ้งทุกสิ่งไว้ข้างหลัง
ความรู้สึกดังกล่าวส่งต่อมาถึงตำรวจเช่นกัน พวกมันทุกคนต่างเลื่อนมือลงไปจับซองปืนพกตรงเอว
กึก กึก กึก เสียงรองเท้ากระทบกับพื้นแข็งๆ ของชานชาลา กลุ่มตำรวจเดินตามผู้จัดการสถานที่เข้าไปในส่วนหัวขบวนด้วยความระมัดระวัง
ภายในตู้โดยสาร สิ่งที่ได้เห็นคือแต่ละแถวจะมีคนนั่งสองคน แบ่งฝั่งซ้ายขวา นั่งไกลจากหน้าต่าง หลังแนบเบาะโดยไม่ขยับเขยื้อนร่างกาย
อาศัยโคมไฟแก๊สด้านนอกและโคมไฟตะเกียง หัวหน้าสารวัตรมองเห็นภาพรวมของสถานการณ์อย่างรวดเร็ว
ทุกคนด้านในเป็นเจ้าหน้าที่ของรถไฟไอน้ำ ใส่เครื่องแบบสีฟ้าที่แบ่งแยกชัดเจนระหว่างชายหญิง แต่ละคนนั่งนิ่งในตำแหน่งของตัวเอง ใบหน้าซีดเซียว ดวงตาเบิกโพลง ปราศจากลมหายใจ มุมปากยกโค้งพร้อมกับเผยให้เห็นฟันแปดซี่
เมื่อเห็นรอยยิ้มที่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ทุกคนที่ยังมีชีวิตต่างกลั้นหายใจจากจิตใต้สำนึก
สำหรับพวกมัน ฉากตรงหน้าช่างพิสดารและน่าหวาดผวา อยากจะหันหลังกลับและเผ่นหนีออกจากที่นี่ทันที รอให้ถึงตอนเช้าค่อยกลับมาใหม่!
หัวหน้าสารวัตรสูดลมหายใจแผ่ว หันไปสั่งตำรวจข้างๆ
“เข้าไปตรวจสอบและยืนยันว่าพวกเขา ต…ตายแล้วทุกคน”
กล่าวถึงตรงนี้ มันหันไปมองหน้าเจ้าหน้าที่สถานี
“ตามพวกเขาเข้าไป ตรวจสอบว่ามีคนหายไปบ้างไหม”
“ต…ตกลง คุณตำรวจ” เจ้าหน้าที่สถานีกล่าวเสียงสั่น
มันและตำรวจสำรวจลึกเข้าไปในขบวนรถไฟ ตำรวจบางคนชักปืนออกมาด้วยท่าทีหวาดระแวง
ท่ามกลางความเงียบที่ยากจะทานทน เวลาไหลผ่านไปจนกระทั่งตำรวจคนหนึ่งเดินไปหยุดที่ท้ายขบวน หันกลับมาและตะโกน
“ยืนยันแน่ชัดแล้ว… ทุกคนตายหมด!”
ผู้จัดการสถานีกล่าวตะกุกตะกักตามหลัง
“หายไปสองคน… หนึ่งคนคุมรถไฟ หนึ่งคนขับ…”
เมื่อพบว่าไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดเกินขึ้นเป็นเวลานาน หัวหน้าสารวัตรเริ่มใจเย็นลง ครุ่นคิดสักพักก่อนจะกล่าวกับตำรวจทุกคน
“รักษาสภาพศพเอาไว้ รอการชันสูตร… ขณะเดียวกัน แบ่งออกเป็นสองทีม ทีมหนึ่งมุ่งหน้าไปยังตู้โดยสารอื่นเพื่อตามหาตัวคนคุมและคนขับรถไฟ ส่วนอีกทีมตรวจสอบจุดเกิดเหตุเพื่อหาเบาะแสและข้อมูลที่เกี่ยวข้อง ทันทีที่พระอาทิตย์ขึ้น เราจะลงมือสืบสวนโดยเริ่มจากนายสถานีและผู้โดยสารที่เคยร่วมทางมาด้วยกัน ค้นหาจุดเชื่อมโยงและความผิดปรกติ”
แม้ผู้โดยสารจำนวนมากจะไม่ต้องแสดงบัตรประจำตัวขณะซื้อตั๋ว แต่สารวัตรก็เชื่อว่า ต้องมีกลุ่มผู้โดยสารที่ลงทะเบียนยืนยันตัวเอง และหนึ่งในนั้นอาจพบความผิดปรกติในตู้รถไฟหรือไม่ก็พบผู้โดยสารแปลกๆ ที่ควรค่าให้เอ่ยถึง
กล่าวจบ ลมหนาวพัดผ่านตัวรถไฟ
เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรแล้ว สารวัตรเตรียมเน้นย้ำคำสั่ง แต่ทันใดนั้นก็พบความผิดปรกติ
พนักงานรถจักรไอน้ำที่กำลังนั่งในตำแหน่งเดิมในสภาพดวงตาเบิกโพลงและใบหน้าขาวซีด ปากของพวกมันปิดสนิทตอนไหนก็มิอาจทราบได้ ไม่เห็นฟันแปดซี่เรียงรายอีกแล้ว
…
ภายในห้องพักหรูหราของโรงแรม โคมไฟผนังส่องสว่างไปตามโต๊ะและเก้าอี้ที่พื้นด้านล่างปูพรม
ไคลน์แปลงโฉมเป็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์และนั่งอยู่บนโซฟาเดี่ยว ไขว่ห้างซ้ายทับขวา
ด้านข้างเป็นเอ็นโซที่คล้ายกับชนพื้นเมือง ด้านหน้าเป็นกลุ่มหุ่นเชิดหนึ่งแถว
พวกมันคือกลุ่มพนักงานที่พยายามสละชีพบนรถไฟ ประกอบด้วยชายที่มีแก้มเป็นรอยแดง เจ้าหน้าที่คุมรถ และคนขับรถไฟ
พวกมันแต่งกายต่างกันมาก ราวกับต่างฝ่ายต่างมาจากคนละถนน มาบรรจบกันที่นี่
“ใครสั่งให้สังเวยตัวเอง?” ไคลน์ถามเสียงขรึม
หลังจากก้าวขึ้นมาอยู่ในลำดับ 4 ‘จอมเวทพิสดาร’ ไม่เพียงจะอ่านความคิดจากจิตใต้สำนึกส่วนนอกของหุ่นเชิด แต่ยังสามารถ ‘สื่อวิญญาณ’ ผ่านด้ายวิญญาณได้โดยตรง
แน่นอน ยิ่งหุ่นเชิดมีระดับมากเพียงใด การสื่อวิญญาณก็ยิ่งได้ผลแย่ลง
หลังจากเงียบงันสักพัก คนคุมรถชาวโลเอ็นที่มีขนดกหนา กล่าวด้วยสีหน้าล่องลอย
“เป็นวิวรณ์จากเทพ”
“เทพตนใด?” ไคลน์รับถ้วยชาลายครามจากเอ็นโซและจิบหนึ่งคำ
คนคุมรถไฟตอบกลับเสียงล่องลอย
“เทพคือเทพ ไม่มีเป็นอื่น”
ไคลน์วางแก้วลงพลางถาม
“ท่านมอบวิวรณ์ด้วยวิธีใด? แล้วกล่าวว่าอย่างไร?”
คนคุมรถไฟเล่าด้วยสีหน้าเปี่ยมศรัทธา
“พระองค์มอบวิวรณ์ผ่านเทวภัณฑ์ ตรัสว่าจงมอบชีวิตของพวกเราให้พระองค์ แล้วจะได้รับสิทธิ์ให้อาศัยในอาณาจักรของพระองค์หลังความตาย”
สังเวยชีวิตหมู่… เมื่อเทียบกับนิกายวิญญาณ พวกโรงเรียนกุหลาบชอบทำเรื่องแบบนี้มากกว่า เพราะโด่งดังด้านพิธีกรรมสังเวยเลือดมาช้านาน… แต่การได้รับชีวิตนิรันดร์ในอาณาจักรแห่งเทพออกจะคล้ายคลึงกับความเชื่อของนิกายวิญญาณมากกว่า… แน่นอน เรื่องนี้อาจเป็นกลลวงหรือการใส่ความ… ไคลน์ไตร่ตรองสักพักก่อนจะถาม
“เทวภัณฑ์แบบใด?”
คนคุมรถไฟไม่ตอบ แต่หันไปมองชายที่มีแก้มเป็นรอยแดง
จากนั้น ชายคนดังกล่าวหยิบของออกจากกระเป๋าเสื้อด้านใน
เป็นตุ๊กตาผ้าที่ทำขึ้นอย่างหยาบๆ บริเวณดวงตาและปากโก้งโค้ง
“พระองค์จะคอยมอบวิวรณ์ให้เราผ่านสิ่งนี้… ฉันซื้อมันมาจากตลาด” ชายที่มีรอยแดงบนแก้มตอบอย่างเชื่องช้าแต่ราบเรียบ
เดายากแฮะ… ไคลน์นึกถึงความเป็นไปได้อันหลากหลาย ก่อนจะสั่งให้เอ็นโซหยิบตุ๊กตาขึ้นมาพิจารณาอย่างละเอียด แต่ก็ไม่พบความผิดปรกติ
อ้างอิงจากประสบการณ์ สิ่งนี้หมายความว่าปัญหามิได้อยู่ที่ตัวตุ๊กตา แต่มีความเป็นไปได้สองอย่าง: ประการแรก มีคนใช้ตุ๊กตาเป็นตัวหลอกขณะแสร้งทำเป็นเทพอยู่ใกล้ๆ ประการที่สอง เป็นตัวตนลึกลับที่ติด ‘สัญลักษณ์’ ไว้กับผู้สวดวิงวอนและคอยส่งวิวรณ์โดยตรง
ถ้าเป็นอย่างแรก อีกฝ่ายจะทราบทันทีว่าพนักงานรถไฟตายหมดแล้ว และเตรียมลงสิ่งเพื่อรับมือกับปัญหา… แต่ถ้าเป็นอย่างหลัง ทางนั้นอาจไม่พบความผิดปรกติใดเลย… ไคลน์ไตร่ตรองสักพัก สั่งให้เอ็นโซวางตุ๊กตาผ้าไว้บนโต๊ะด้านข้างหน้าต่าง
จากนั้น มันลุกขึ้นยืนและเปลี่ยนเป็นเจ้าหน้าที่รถไฟคนหนึ่ง เดินไปยืนรวมแถวกับกลุ่มลัทธิเถื่อน
เมื่อเอ็นโซเดินกลับมา มันเองก็แปลงโฉมในลักษณะเดียวกัน
ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ ค่ำคืนค่อยๆ ทวีความมืดมิด
ทันใดนั้น บนโต๊ะที่กำลังอาบแสงจันทร์สีแดง ตุ๊กตาผ้าซึ่งมีตาและปากโก้งโค้งเริ่มขยับแขนขาและลุกยืน
………………………………………….