ณ ชั้นบนสุดของอาคารขนาดเล็ก ชายผมดำ ดวงตาสีน้ำตาลเข้ม สวมเสื้อผ้าสีเข้ม อายุยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปด กำลังมองลงมายังการค้าอาวุธที่ไม่ห่างออกไป อดไม่ได้ที่จะกล่าว
“เขาเข้าหาเมซันเญสได้จริงๆ … โอ้พระองค์วายุสลาตัน! อัลเฟรด ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้ เราน่าจะทำธุรกิจด้วยตัวเองมากกว่า แม้จะหักค่าใช้จ่ายทั้งหมดออก แต่ก็ยังกำไรไม่ต่ำกว่าสองหมื่นปอนด์!”
ด้านข้างเป็นชายหนุ่มสวมเสื้อคลุมสีดำ อายุราวยี่สิบสาม ดวงตาสีฟ้าราวกับทะเลสาบ ใบหน้าหล่อเหลา
หลังจากได้ยินชื่อ อัลเฟรดส่ายหน้า
“ผิดแล้ว การทำแบบนี้บุ่มบ่ามเกินไป จุดยืนของเมซันเญสยังไม่ชัดเจน อันตรายมากหากจะพูดคุยเกี่ยวกับการค้าอาวุธตรงๆ … ดอน·ดันเตสได้รับเงินสองหมื่นปอนด์เพราะเขากล้าเสี่ยง”
ชายผมน้ำตาลเข้มพ่นลมหายใจ
“อัลเฟรด·ฮอลล์ที่นำคนเพียงหลายสิบบุกเข้าโจมตีกองทัพนับพันของศัตรู กำลังบอกว่าตัวเองไม่กล้าบ้าบิ่นพอที่จะเสี่ยง!”
อัลเฟรดชำเลืองด้วยหางตา
“ปากานี่ เปรียบเทียบแบบนั้นก็ไม่ถูก… เป็นเพราะผมมั่นใจที่ว่าจะบุกทำลายศูนย์บัญชาการของพวกมันสำเร็จและตัดการสั่งการ เมื่อปราศจากผู้นำ ทหารนับพันก็ยังไม่เก่งเท่าหมูพันตัว… นอกจากนั้น ธุรกิจที่เย้ายวนใจครั้งนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการขยายช่องทางการปล่อยของ… หากเราเป็นคนลงมือ ใครคราวหน้าจะให้ใครทำ? ครั้งถัดไปอีก? ถ้าเราทำต่อไปเรื่อยๆ สักวันก็ต้องถูกพบตัว และนั่นจะทำให้สถานะทางการทูตมีปัญหา นอกจากนั้น ยิ่งพัวพันกับธุรกิจมากเข้า อาจไปดึงดูดความสนใจของครึ่งเทพที่อันตรายบางตน”
“ฮะฮะ!” ปากานี่หัวเราะ “ครึ่งเทพไม่ได้ว่างมากขนาดนั้นสักหน่อย จะคอยจับตาดูการค้าอาวุธเล็กๆ นี่ได้ยังไง? แต่ละขั้วอำนาจมีครึ่งเทพเพียงหยิบมือ มีหลายสิ่งหลายอย่างให้ไปทำ”
“ผมทราบ เพียงแค่ยกตัวอย่าง” อัลเฟรดตอบอย่างใจเย็น
ปากานี่ไม่ต่อปากต่อคำ เบือนสายตากลับไปมองดอน·ดันเตสด้านนอกโกดัง
“ได้ยินว่าสุภาพบุรุษรายนี้ใจกว้างมาก… เพิ่งมาอยู่เบ็คลันด์ไม่นาน แต่กลับบริจาคหุ้นมูลค่ากว่าหมื่นปอนด์ให้โบสถ์รัตติกาล… นี่คือการลงทุนเบื้องต้นที่คุณมักจะพูดถึงหรือ? นอกจากนั้น ดูเหมือนว่าเขาจะทำงานกับน้องสาวของคุณในกองทุนการกุศล… ชิ! ผู้ชายแบบนี้มักได้รับความสนใจจากหญิงสาว ทั้งอารมณ์สุขุม ฉลาด มากประสบการณ์ และเจ้าเล่ห์… เป็นวัยที่ผ่านสตรีมามากและเตรียมลงหลักปักฐาน อัลเฟรด คุณต้องเตือนออเดรย์ว่าพวกเพลย์บอยไม่มีวันเลิกนิสัยได้ หนุ่มใหญ่ที่ดูเหมือนจะสมบูรณ์แบบ แท้จริงแล้วมีสันดานที่แก้ไม่หายไปชั่วชีวิต ห้ามปล่อยให้อัญมณีที่เจิดจรัสที่สุดของเบ็คลันด์ถูกคนแบบนี้แย่งชิงไปเด็ดขาด!”
อัลเฟรดชำเลืองปากานี่
“ไม่ต้องเป็นห่วงมากนักหรอก ออเดรย์ไม่ใช่คนโง่ เธอรู้จักโลกมากกว่าที่คุณคิด นอกจากนั้น พ่อกับแม่ของผมยังอยู่ที่เบ็คลันด์ พวกเขามีความสามารถในการยับยั้งสิ่งไม่ดี”
กล่าวถึงตรงนี้ อัลเฟรดมองไปยังคลังอาวุธที่อยู่ไม่ไกล เว้นวรรคสักพักและกล่าว
“เมซันเญสส่งแฮกกิสมาจริงๆ ด้วย… ผมจะแวะไปทักทายเขา”
ทักทายที่ว่า คงไม่ใช่ตอนนี้หรอกใช่ไหม… ยังไม่ทันที่ปากานี่จะได้กล่าวคำใด อัลเฟรดหันหลังและเดินลงบันได
…
ไคลน์ที่กำลังอยู่ในร่างดอน·ดันเตส ไม่ได้มาพร้อมคนรับใช้ มือข้างหนึ่งถือไม้ค้ำเลี่ยมทอง ยืนเคียงข้างตัวแทนของเมซันเญส แฮกกิส ยืนหน้าโกดังสินค้า เฝ้ามองลังอาวุธที่ถูกยกขึ้นไปบนรถม้า
ถึงตรงนี้ คล้ายกับสัมผัสถึงบางสิ่ง มันหันครึ่งรอบ มองไปยังทิศทางหนึ่ง
ภาพที่สะท้อนในกระจกตาคือชายหนุ่มที่สวมเสื้อกันลม ไม่สวมหมวก ผมสีทองหวีเรียบไปทางด้านหลัง ดวงตาสีฟ้าคล้ายทะเลสาบท่ามกลางท้องฟ้าโปร่ง ผอมสูงและหุ่นดี บรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยความน่าเกรงขาม แม้จะปราศจากทหารรายล้อม แต่ก็สัมผัสได้ถึงพลังอำนาจข่มขวัญ
“อัลเฟรด!” แฮกกิสที่สังเกตเห็นอีกฝ่าย ส่งเสียงประหลาดใจเล็กๆ
อัลเฟรด… ที่ชายคนที่สองของมิสจัสติส… ความรู้สึกแบบนี้… เส้นทางผู้ตัดสิน… ไคลน์ยกมือขวาขึ้นมาถอดหมวก กดลงบนหน้าอกและคำนับทักทาย
อัลเฟรด·ฮอลล์ทักทายแฮกกิส ก่อนจะมองมาทางดอน·ดันเตส
“ชื่อเสียงของคุณโด่งดังไปทั่วเบ็คลันด์… กระทั่งผมที่อยู่ในไบลัมตะวันออกก็ยังเคยได้ยิน”
ชื่อเสียง? ในการเป็นนักค้าอาวุธ? ไคลน์รำพันพลางหัวเราะ
“ผมก็แค่ทำในสิ่งที่ควรทำ”
อัลเฟรดพยักหน้า
“คงไม่ต้องแนะนำตัวใช่ไหม? ผมคิดว่าแฮกกิสน่าจะเล่าไปบ้างแล้ว”
“ใช่… พันเอกฮอลล์” ไคลน์ยิ้มพลางตอบ “ทันทีที่ผมมาถึงก็ได้ทราบว่ามิสออเดรย์มีพี่ชายอยู่ในทวีปใต้ ทำงานในกองทัพ มีฝีมือยอดเยี่ยมและสร้างวีรกรรมไว้มากมาย”
อัลเฟรดจ้องหน้าดอน·ดันเตส สักพักจึงเปลี่ยนเรื่อง
“ผมคิดว่าคุณจะถือโอกาสทำงานที่กองทุนการกุศลยาวๆ คาดไม่ถึงว่าจะเลือกลงใต้”
ไคลน์ยังคงยิ้ม
“สำหรับคนต่างถิ่น เพื่อจะเข้าสู่แวดวงชนชั้นสูง ลำพังการบริจาคเงิน จัดงานการกุศล จัดงานเลี้ยงเต้นรำและอาหารค่ำ ยังคงไม่เพียงพอ”
อัลเฟรดอืมในลำคอ
“ฉลาดมาก”
ทักทายอีกสองสามคำ มันหันไปถามแฮกกิส
“เกิดอะไรขึ้นในคูคัวเมื่อไม่นานมานี้? ฟังดูร้ายแรงมาก”
แฮกกิสยิ้มและตอบ
“ผมเองก็ไม่แน่ใจ ตอนนั้นกำลังซ่อนตัวอยู่ใต้คฤหาสน์ท่านนายพล แค่ได้ยินคนอื่นเล่าว่า เกิดพายุสายฟ้าขึ้นแถวๆ จัตุรัสคืนชีพ”
“พายุสายฟ้า?” อัลเฟรดหันหน้าไปทางดอน·ดันเตส
ไคลน์พยักหน้ารับ
“ถูกต้อง… โรงแรมของผมอยู่ไม่ไกลจากจัตุรัส จึงได้เห็นสายฟ้าผ่าลงมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งหมดเกิดขึ้นในตอนกลางวัน”
อัลเฟรดมองกลับไปยังแฮกกิส
“เกิดอะไรขึ้นในตอนสุดท้าย?”
“จัตุรัสและบริเวณรอบๆ มีสภาพพังยับเยิน เต็มไปด้วยความเสียหายจากสายฟ้า” แฮกกิสไม่ปิดบัง
อัลเฟรดพยักหน้า ชี้ไปทางด้านข้าง กล่าวกับแฮกกิสและดอน·ดันเตส
“ผมมีบางสิ่งต้องไปสะสาง ไว้ค่อยคุยกันคราวหลัง”
“ไว้เจอกัน” ไคลน์ถอดหมวกคำนับตอบ คล้ายกับกำลังอยู่ในสถานการณ์ทางสังคม ไม่ใช่ด้านหน้าโกดังเก็บอาวุธ
ขณะกำลังเฝ้ามองอัลเฟรด·ฮอลล์เดินจากไป ร่างกายของมันสั่นเทากะทันหัน จึงเอียงคอมองไปทางด้านข้าง
…
ภายในป่าดงดิบที่พาดยาวจากทิศตะวันตกถึงทิศตะวันออก บุคคลผู้หนึ่งปรากฏกายในสภาพหลังโค้ง
ใบหน้าเต็มไปด้วยเนื้อสด ผิวสีน้ำตาลด้าน เสื้อผ้าคลุม ดาบเรเพียร์เสียบข้างเอว ในมือถือหน้ากากสีเงิน
เหลียวซ้ายแลขวา บุคคลดังกล่าวเหยียดตัวตรง ไม่ใช่ใครนอกจาก ‘พลเรือเอกขุมนรก’ ลูเธอร์ไวล์ที่เพิ่งเข้าสู่โลกแห่งความตายเมื่อไม่นานมานี้
แต่ปัจจุบัน ดวงตาของมันทั้งสองข้างกำลังลุกโชนไปด้วยเปลวไฟสีแดง แตกต่างจากที่เคยเป็นมา
“หิวฉิบ…” ลูเธอร์ไวล์อ้าปาก เสียงหายใจดังขึ้นจากบริเวณหน้าอก
มันจ้องไปยังทิศทางหนึ่งอย่างแน่วแน่ กล่าวกับตัวเอง
“เจ้านายของหุ่นเชิดตัวนี้อยู่ไม่ไกล… โชคชะตากำลังทำให้พวกมันได้พบกันอีกครั้ง… ในตัวมันมีวัตถุของเส้นทางนักล่า เพียงพอที่จะเติมเต็มให้เรา”
ยังไม่ทันสิ้นเสียง ปากเปื้อนเลือดผุดขึ้นบนแก้มซ้ายลูเธอร์ไวล์พร้อมกับกล่าว
“เมดีซี สิ่งแรกที่เราต้องทำคือการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า หากหุ่นเชิดตัวนี้สูญเสียการติดต่อกับเจ้านาย มันจะมีค่าไม่ต่างอะไรกับศพ เศษเสี้ยววิญญาณที่หลงเหลือจะถูกส่งกลับไปยังโลกแห่งความตาย มิอาจคงสภาพร่างกายได้อีกต่อไป… และถ้าไม่มีบางส่วนของโลกวิญญาณในร่างกายมันคอยพยุงไว้ พวกเราก็จะอ่อนแอลงอย่างมิอาจเลี่ยง จนกระทั่งหายไปในที่สุด”
“ใช่แล้ว… สิ่งสำคัญในตอนนี้คือการหาผู้เฝ้าประตูคนอื่น” ปากอีกอันหนึ่งผุดขึ้นบนแก้มขวาลูเธอร์ไวล์
‘เทวทูตสีชาด’ เมดีซีพ่นลมหายใจเย้ยหยัน
“เซารอน ไอน์ฮอร์น… พวกเจ้าเคยเป็นสตรีมาก่อนหรือ? เอาความเป็นเทวทูตทิ้งไว้ในโถอุจจาระหมดแล้วรึไง? ชายคนนั้นสามารถเอาพลังบงการของ 0-08 ได้หลายครั้ง หมายความว่าต้องไม่ธรรมดา มีโอกาสที่จะล็อกเป้าได้ชัดเจนแบบนี้ทั้งที่ จะให้ปล่อยไปง่ายๆ ได้ยังไง… หากปล่อยให้หุ่นเชิดตัวนี้ตาย โอกาสแบบนั้นคงไม่หวนกลับมาอีก… นอกจากนั้น วัตถุของเส้นทางนักล่าที่เจ้านั่นพกอยู่ มีประสิทธิภาพสูงพอจะขยายอายุขัยของพวกเราออกไป นั่นจะช่วยให้มีเวลาหาผู้เฝ้าประตูคนใหม่ได้ทันเวลา”
รอยแยกบนแก้มซ้ายลูเธอร์ไวล์ส่งเสียงหัวเราะ
“เมดีซี สมองของเจ้าถูกสังเวยให้พระผู้สร้างแท้จริงแล้วหรือ? เห็นได้ชัดว่าเจ้านั่นเลื่อนลำดับแล้ว ด้วยสภาพปัจจุบันของเรา จริงอยู่ที่การรับมือจอมเวทพิสดารไม่ใช่เรื่องยาก แต่การฆ่าให้ตายนั้นแทบเป็นไปไม่ได้!”
เมดีซีมิได้หัวเสีย เพียงหัวเราะเสียงทุ้ม
“นั่นไม่ใช่ปัญหาที่ไร้ทางแก้ ตราบใดที่พวกเจ้าอนุญาตให้ข้าเอ่ยพระนามเต็มของพระองค์ ผู้ช่วยจำนวนหนึ่งจะถูกส่งมาที่นี่ทันที และบางทีอาจมีผู้เฝ้าประตู”
แก้มขวาลูเธอร์ไวล์เปิดปาก
“เซารอน… เจ้าต้องช่วยข้าขัดขวางมัน พวกเราจะหาผู้เฝ้าประตูก่อน”
“ตกลง” แกมซ้ายลูเธอร์ไวล์ตอบโดยไม่ลังเล
ได้ยินเช่นนั้น เทวทูตสีชาดระเบิดเสียงหัวเราะ
“พวกเจ้าสองคนติดกับแล้ว! แผนของข้าสำเร็จ! ยืนยันได้แล้วว่าพวกเจ้าเคยเป็นสตรี!”
ปากบนแก้มทั้งสองฝั่งของลูเธอร์ไวล์ตะโกนพร้อมกัน
“หุบปาก!”
“ฮึ่ม! พวกเราอยู่ด้วยกันมานานกว่าสองพันปี คิดว่าไม่รู้หรือไงว่าเจ้าเป็นคนยังไง? เลิกขัดขืนได้แล้ว!”
กล่าวจบ สีสันรอบๆ ‘พลเรือเอกขุมนรก’ ลูเธอร์ไวล์พลันฉูดฉาดและซ้อนทับหลายชั้น
พวกมันเข้าสู่โลกวิญญาณและเริ่มเดินทาง
…
ด้านนอกคลังอาวุธ ไคลน์ถอนสายตากลับหลังจากพบว่าลางสังหรณ์อันตรายเลือนหายไป
จนกระทั่งเมื่อครู่ มันสัมผัสถึงอันตรายร้ายแรง แต่กลับไม่มีภาพนิมิตปรากฏ
เกิดอะไรขึ้น? ไคลน์รำพันในใจพลางโยนกระเป๋าเดินทางในมือให้กับเจ้าหน้าที่ หันไปกล่าวกับแฮกกิสด้านข้าง “ที่เหลือคุณจัดการได้เลย จ่ายเงินก้อนสุดท้ายมาด้วย”
มันหมายถึงกล่องหนักที่เต็มไปด้วยทองแท่งและเหรียญทอง
เดิมที แฮกกิสวางแผนจะดื่มกับดอน·ดันเตสหลังจากเสร็จธุรกิจ ฉลองที่ทุกสิ่งผ่านไปอย่างราบรื่น รวมถึงการพูดคุยเกี่ยวกับธุรกิจที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต จึงไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะรีบร้อนกลับ
“ตกลง มันอยู่บนรถม้า” แฮกกิสชี้นิ้ว
อัลเฟรดที่เดินออกไปได้สักพัก หันกลับมามองด้วยความประหลาดใจ ไม่เข้าใจว่าเหตุใดดอน·ดันเตสถึงไม่ยอมทำตามขั้นตอนที่ตกลงไว้
……………………………………………….