Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ – ราชันเร้นลับ 949 : ทิศทางการสืบสวน

เป้าหมายแรกของไคลน์ไม่ใช่ใครนอกจาก ‘ราชาเอลฟ์’ ซอนญาธริม

เทพบรรพกาลตนนี้สร้างตะเกียบ คิดค้นต้มเลือด ชอบกินเครื่องในสัตว์ และชำนาญการใช้เครื่องเทศทำอาหาร ลูกหลานของพระองค์มีใบหน้า สีผม และดวงตาที่คล้ายกับชาวเอเชียบนโลก ไม่เพียงแต่ไคลน์สงสัยว่าท่านเป็นผู้เดินทางข้ามโลก แม้แต่จักรพรรดิโรซายล์เองก็คิดแบบเดียวกัน

แน่นอน หลังจากการตรวจสอบในเชิงลึก โรซายล์ตัดความเป็นไปได้ดังกล่าวออกไป เนื่องด้วยปัจจัยด้านภาษา สัญลักษณ์ และคำพังเพยโบราณ นอกจากนั้น ไคลน์เชื่อว่าการใช้ตะเกียบแทนช้อนส้อม การชอบกินเครื่องใน และความชำนาญเครื่องเทศ ไม่ใช่สิ่งเฉพาะตัวของชาวโลกเก่า สำหรับสายพันธุ์ที่ใกล้ชิดกับธรรมชาติ มีโอกาสที่จะค่อยๆ พัฒนาสิ่งเหล่านี้ขึ้นในกิจวัตรประจำวัน!

ส่วนเรื่องที่ว่า เหตุใดเอลฟ์ที่อยู่บนเส้นทางลูกเรือถึงใกล้ชิดกับธรรมชาติ ไคลน์เองก็ไม่มีคำตอบ ข้อมูลเกือบทั้งหมดมาจากจิตรกรรมฝาผนังและข้อความจารึกของพวกมันเอง

เราเคยคิดว่าเอลฟ์ไม่น่าจะใช่ผู้เดินทางข้ามโลก แต่หลังจากได้เห็นรังไหมจำนวนสามรัง เราก็เริ่มไม่แน่ใจอีกต่อไป… บางทีท่านอาจเป็นเพื่อนร่วมชาติของเรา… อา… ยังมีอีกหนึ่งความเป็นไปได้ นั่นคือบรรดาเอลฟ์ระดับสูงสักคนเป็นผู้เดินทางข้ามโลก บุคคลดังกล่าวสามารถเผยแผ่วัฒนธรรมต่างๆ ในนามราชาเอลฟ์… ไคลน์เคาะโต๊ะพลางใช้ความคิดอย่างเงียบงัน

มันมาถึงทางแยกของการสืบสวน

ในบันทึกการเดินทางของกรอซายมี ‘ผู้ขับขานแห่งเอลฟ์’ เซียธาส ผู้เคยทำงานรับใช้ราชินีแห่งภัยธรรมชาติ โคฮีเน็ม!

ขอเพียงเราเข้าไปในทะเลจิตใต้สำนึกรวมของเธอ ก็จะมองเห็นหรือสามารถติดต่อกับเอลฟ์ตนอื่นและพบเศษเสี้ยวความทรงจำเกี่ยวกับเทพบรรพกาล!

เรายังสามารถใช้พลังสะกดจิต ทำให้เธอเป็นฝ่ายเล่าออกมาเอง… แต่ปัญหาคือ เราไม่เชี่ยวชาญในศาสตร์ดังกล่าว ครั้งล่าสุดที่พยายามเข้าไปในจิตใต้สำนึกของกรอซาย เราเกิดอารมณ์หุนหันและยากจะทำใจให้สงบ แม้ว่าจะกลายเป็นครึ่งเทพแล้ว แต่นั่นก็ยิ่งมีความเสี่ยงที่จะนำพาตัวเองไปสู่การคลุ้มคลั่ง นอกจากนั้น เราต้องปรับสภาพจิตใจไปอีกสักระยะก่อน… การฝืนสื่อวิญญาณ คงไม่เหมาะกับเป้าหมายและสถานการณ์ในคราวนี้… ไคลน์ขมวดคิ้วเล็กน้อย พบว่าตนต้องการวัตถุลึกลับที่มีลำดับสูงในเส้นทางผู้ชม หรือไม่ก็ผู้ช่วยที่เป็นนักสะกดจิต

มันเริ่มพิจารณาอย่างจริงจังว่าจะหยิบยืมความช่วยเหลือจากมิสจัสติส

การสำรวจไม่อันตรายขนาดนั้น ยังมีวิธีที่จะเข้าไปด้วยร่างวิญญาณบนมิติสายหมอก…

เราไม่ต้องกังวลว่ามิสจัสติสจะทราบเรื่องที่เราคือผู้เดินทางข้ามโลก ขอเพียงเซียธาสไม่ทราบเรื่องนี้ จิตใต้สำนึกของเธอ และทะเลจิตใต้สำนึกร่วม ไม่มีทางบ่งชี้ไปยังข้อสรุปดังกล่าว ในขณะเดียวกัน เราจะคอยรวบรวมเบาะแสที่ต้องการโดยที่เธอไม่สังเกตเห็น…

แต่ปัญหาใหญ่ที่สุดก็คือ มิสจัสติสไม่มีประสบการณ์ด้านการผจญภัยมากนัก หากเข้าไปในทะเลจิตใต้สำนึกรวมของตัวตนสมัยโบราณ นั่นถือเป็นเรื่องอันตราย เพราะอาจมีออร่าของเทพบรรพกาลหลงเหลืออยู่… ถ้าไม่มีความช่วยเหลือจากนักจิตบำบัดเกรงว่าเราเองก็ไม่น่าจะเอาตัวรอดไหว…

ถ้าต้องการให้มิสจัสติสมาคอยสนับสนุน อย่างน้อยก็ต้องรอให้เธอกลายเป็นลำดับ 5 เพื่อชดเชยประสบการณ์ที่ขาดหายไป เมื่อถึงตอนนั้น พวกเราจะพยายามสะกดจิตเซียธาส ดูว่าสามารถดึงข้อมูลใดจากเธอได้บ้าง หากไม่มีค่ามากนัก ค่อยพิจารณาการบุกรุกเข้าสู่ความฝัน เพื่อเข้าไปดูจิตใต้สำนึก และสืบลึกเข้าไปถึงทะเลจิตใต้สำนึกรวม…

อา… ยันต์บุกรุกความฝันที่เราสร้างขึ้นยังมีประสิทธิภาพไม่มากพอ มิอาจดำเนินการสำรวจที่ยาวนาน… เฮ่อ… เทพธิดาคงไม่ตอบสนองต่อคำขอเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้ด้วยตัวเอง น่าจะได้พบกับ ‘ระบบตอบรับอัตโนมัติ’ แทน… สำหรับตะกอนพลังฝันร้าย เราส่งคืนศาสนจักรไปแล้ว… หรือว่าต้องพาเลียวนาร์ดไปด้วย? ชักอยากรู้แล้วว่า ถ้าเราดึงร่างวิญญาณของใครบางคนขึ้นมา คุณปู่ในตัวเลียวนาร์ดจะสังเกตเห็นหรือไม่… คงต้องทดลองเรื่องนี้ให้แน่ชัดเสียก่อน…

ไคลน์รวบรวมความคิด พิจารณาเป้าหมายที่สองด้วยความเคลือบแคลง

ในอดีต คนผู้นี้มิได้ดูพิเศษแต่อย่างใด แต่ไคลน์ไม่เคยมองว่าเป็นผู้เดินทางข้ามโลก แต่เมื่อไตร่ตรองด้วยจิตใจที่สุขุม เริ่มคิดและวิเคราะห์ มันตระหนักว่า หลากหลายประเด็นที่ดูเหมือนจะเป็นไปตามสามัญสำนึกปรกติ แท้จริงแล้วมิได้สมเหตุสมผลขนาดนั้น ยังคงแฝงไปด้วยความน่ากลัวที่แปลกประหลาด

บุคคลที่มันกำลังสงสัยก็คือ

เทพสุริยันบรรพกาล พระผู้สร้างแห่งเมืองเงินพิสุทธิ์!

พระคัมภีร์ของเจ็ดโบสถ์หลักล้วนมีเค้าโครงของศาสนาทางฝั่งโลกตะวันตกของโลกเก่า… แถมยังรวมไปถึงพิธีมิสซา!

จากคำอธิบายของเดอะซันน้อย ผนวกกับสิ่งที่จักรพรรดิโรซายล์ได้เห็นในวิหารขนาดเล็กของอาดัม รวมถึงเนื้อหาบนจิตรกรรมฝาผนังบนซากปรักหักพังของเมืองในดินแดนเทพทอดทิ้ง ค่อนข้างแน่ชัดว่า สัญลักษณ์สำคัญของเทพสุริยันบรรพกาลคือไม้กางเขน!

พระองค์ตั้งชื่อลูกๆ ว่าอาดัมและอามุนด์…

เทวทูตบริวารของพระองค์ล้วนมีปีกแห่งแสง แต่เรายังไม่เคยเห็นเอกลักษณ์นี้จากเส้นทางใด…

ไม่มีใครทราบว่าพระองค์ลืมตาตื่นที่ใด เพียงปรากฏตัวอย่างกะทันหันในช่วงปลายยุคสมัยที่สอง สังหารเทพบรรพกาลไปมากมายและทวงคืนอำนาจ…

เราไม่เคยคิดถึงรายละเอียดปลีกย่อยพวกนี้มาก่อน… เมื่อลองมาไตร่ตรองอย่างรอบคอบ เรื่องราวฟังดูน่าขนลุกไม่น้อย… ไคลน์ซี้ดปาก พบว่ามีโอกาสสูงที่จะเป็นเทพสุริยันบรรพกาลมากกว่าราชาเอลฟ์

ประสบการณ์ของอีกฝ่ายโด่งดังจนกลายเป็นตำนานเล่าขาน เหมือนกับตัวเอกในนิยายยิ่งกว่าจักรพรรดิโรซายล์เสียอีก!

อา… แต่ตอนจบค่อนข้างน่าสังเวช กลายเป็นเพียงมื้ออาหารของเหล่าราชาเทวทูต… ถึงตอบจบของจักรพรรดิจะน่าเศร้าไม่ต่างกัน แต่ก็ไม่ได้น่าสังเวชเท่าเทพสุริยันบรรพกาล…

หรือนี่จะเป็นการอธิบายเกี่ยวกับทัศนคติประหลาดๆ ของอามุนด์และอาดัม? พวกเขาเข้าใจว่าหมอกสีเทามีส่วนเกี่ยวข้องกับบิดา? แต่เนื่องด้วยเส้นทางที่แตกต่าง จึงใช้วิธีที่แตกต่าง? อา… แต่ก็มีโอกาสที่อาดัมจะมองไม่เห็นหมอก เพราะเขาไม่ใช่ผู้วิเศษสุดแกร่งบนเส้นทาง ‘โชคชะตา’ ‘นักจารกรรม’ ‘นักทำนาย’ และ ‘ผู้ฝึกหัด’ … ไคลน์พยักหน้าเล็กน้อย

สำหรับเบาะแสเหล่านี้ มันยังมีแนวทางการสืบสวนที่ไม่ต้องติดต่อกับตัวตนระดับเทวทูต

ภายใน ‘การเดินทางของกรอซาย’ ยังมีบุคคลจากยุคสมัยที่สามหลงเหลือ สาวกเดนตายของเทพสุริยันบรรพกาล นักบวชสโนวมัน!

ปัญหาวนกลับมาที่จุดเดิม… ในเมื่อข้อมูลของบุคคลที่น่าสงสัยทั้งสองต้องเข้าไปสืบในหนังสือ ‘การเดินทางของกรอซาย’ ไคลน์พบว่าความคิดดำเนินมาถึงทางตัน จึงไม่มีทางเลือกนอกจากพักผ่อนสักพัก ถอนหายใจออกเชื่องช้า หยิบไพ่เย้ยเทพใบใหม่ขึ้นมาตรวจสอบ

ไพ่นักบวชสีชาด!

หลังจากถ่ายพลังวิญญาณเข้าไป ไพ่ใบดังกล่าวส่องแสงสีแดง ก่อตัวกลายเป็นหนังสือมายาขนาดเท่าฝ่ามือ

เมื่อลองพลิกหน้าหนังสือ ด้านในเป็นภาพเหมือนของโรซายล์·กุสตาฟ บ้างสวมชุดนักล่า บ้างยกนิ้วกลาง บ้างเดินผ่านอาคารที่กำลังลุกไหม้ บ้างยืนหลังกับดัก แต่งกายหลากหลายสไตล์ ประกอบทุกอาชีพ

ลำดับ 9 นักล่า… ลำดับ 8 นักยั่วยุ… ลำดับ 7 นักวางเพลิง… ลำดับ 6 นักวางแผน… ลำดับ 5 ยมทูต… ลำดับ 4 อัศวินเลือดเหล็ก… ลำดับ 3 นักบวชสงคราม… ลำดับ 2 จอมอาคมฟ้าดิน… ลำดับ 1 ผู้พิชิต… ลำดับ 0 นักบวชสีชาด… ไคลน์กวาดตาอ่านภาพขนาดเท่าไพ่ทาโรต์ทีละหนึ่ง บันทึกข้อมูลเหล่านั้นลงในความทรงจำ

สำหรับพิธีกรรมกลายเป็นเทพลำดับ 0 ไคลน์ไม่ประหลาดใจนัก พอจะเดาได้อยู่แล้ว เพราะเฮอร์มิสเคย เล่าให้โรซายล์ฟังว่า ‘สีชาด’ ในชื่อ ‘นักบวชสีชาด’ หมายถึงสีแดงแห่งสงคราม

ดังนั้น เมื่อได้เห็นคำว่า ‘ทำสงครามกวาดล้างทวีปและได้รับชัยชนะในระดับหนึ่ง’ ไคลน์ไม่แปลกใจเลยสักนิดเดียว

วางไพ่นักบวชสีชาดลง มันครุ่นคิดถึงปัญหา ก่อนจะลูบหน้าผากพลางพบว่าอาการทางจิตของตนดีขึ้นมากแล้ว เหลือเพียงความรู้สึกอ่อนเพลีย

ก่อนอื่นก็ต้องตั้งเป้าหมายระยะสั้น… สืบหาบุคคลเบื้องหลังโศกนาฏกรรมมหาหมอกควันแห่งเบ็คลันด์ เรื่องนี้ยังไม่สะสาง… อา… ธุรกิจค้าอาวุธเถื่อนก็ต้องดำเนินต่อไปตามแผน จากนั้นก็กลับไปยังเบ็คลันด์พร้อมกับเงินก้อน… ปัจจุบันมีสองเบาะแส หนึ่งคือไวเคาต์สตาร์ฟอร์ด ส่วนอีกคนคือรองผู้อำนวยการ MI9 โจนาส·โคลเกอร์… ไคลน์พยายามสร้างงานให้ตัวเอง

ก่อนจะออกจากมิติหมอก มันโยนสูตรการผลิตยาที่มิสจัสติสเขียนให้เข้าไปในดาวแดงตัวแทนเดอะมูน ฝากฝังแวมไพร์ที่ช่ำชองการทำยาให้ช่วยผลิตในปริมาณเพียงพอสำหรับหนึ่งสัปดาห์ หนึ่งปอนด์ต่อหนึ่งขวด เก็บเงินกับเดอะเวิร์ล

กรุงเบ็คลันด์ ภายในคฤหาสน์ตระกูลโอดรา

เอ็มลินไวท์ที่รออยู่ในห้องรับแขก ยกมุมปากพลางครุ่นคิด

งานจ้างที่มีค่าตอบแทนเพียงเจ็ดปอนด์ ไม่อยากทำเลยแฮะ… มิสเตอร์เวิร์ลก็สามารถปรุงเองได้ถ้าเขาตั้งใจสักนิด…

มันมิได้ปฏิเสธงานจ้างของเดอะเวิร์ล เนื่องจากเพิ่งใช้เงินห้าพันปอนด์ไปกับตะกอนพลังลำดับ 5 แวมไพร์เทียม ส่งผลให้เหลือเงินติดตัวเพียง 730 ปอนด์

ทันใดนั้น สุภาพบุรุษวัยกลางคน คาซีมี เดินเข้ามา

หลังจากทักทายพอเป็นพิธี บารอนผีดูดเลือดซักถาม

“เอ็มลิน เจ้ามาทำอะไรที่นี่กะทันหันนัก?”

ด้วยอารมณ์ขุ่นมัวเล็กน้อย เอ็มลินนึกทบทวนบทสนทนาระหว่างตนกับแฮงแมนและเดอะเวิร์ล เชิดคางขึ้นเล็กน้อย กล่าวด้วยน้ำเสียงโอหัง

“ข้าได้รับตะกอนพลังลำดับ 5 ‘ปราชญ์สีชาด’ มาแล้ว ไม่ทราบว่าพิธีกรรมเลื่อนลำดับเป็นไวเคาต์จะพร้อมเมื่อใด?”

คาซีมีผงะ ถามด้วยความประหลาดใจ

“ได้รับตะกอนพลังของปราชญ์สีชาดมาแล้ว?”

เอ็มลินชำเลืองเล็กน้อย ตอบด้วยรอยยิ้มที่ไม่เด่นชัดจนเกินไป

“ถูกต้อง”

มันมิได้อธิบายถึงแหล่งที่มา วางท่าว่า ‘เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้’

คาซีมีพะงาบปากเล็กน้อย ก่อนจะปิดสนิท จนกระทั่งกล่าวหลังจากผ่านไปไม่กี่วินาที

“จันทร์เต็มดวงคราวหน้า”

มันเว้นวรรค หันไปพูด

“ข้ามีบางสิ่งจะบอกเจ้าพอดี… ท่านปู่บอกให้มาแจ้งกับเจ้าว่า คนใหญ่คนโตจะมาเยือนเบ็คลันด์ในอนาคตอันใกล้ ท่านผู้นั้นต้องการพบเจ้า”

ท่านผู้นั้น? รู้ม่านตาเอ็มลินขยายออก

ผีดูดเลือดโบราณที่มีชีวิตมาตั้งแต่ยุคสมัยที่สอง รวมไปถึงสมบัติปิดผนึกระดับ 0 ตัวตนระดับเทวทูตเหล่านี้มีจำนวนไม่เกินนับนิ้วด้วยมือข้างเดียว!

……………………………..

Lord of the Mysteries

Lord of the Mysteries

ป็นเรื่องราวการข้ามโลกของหนุ่มชาวจีนนามว่า โจวหมิงรุ่ย โลกใบที่ชายคนนี้ต้องเผชิญมีลักษณะคล้ายคลึงกับยุควิกตอเรียของยุโรป ยุคสมัยแห่งจักรกลไอน้ำเฟื่องฟู สุภาพบุรุษขุนนางเดินขวักไขว่ด้วยสูทและเสื้อกั๊กมาดเท่ แน่นอน เป็นโลกที่มีพลังพิเศษ ผู้วิเศษ และ สัตว์วิเศษ แต่พลังของมนุษย์บนโลกจะไม่เหมือนกับนิยายเรื่องใด ไม่มีจอมยุทธ์ ไม่มีการบังเอิญพบคำภีลับและได้ครอบครองยอดเคล็ดวิชา ไม่ได้เกิดใหม่พร้อมกับพลังสุดโกง ไม่เลย ไม่น่าเบื่อและจืดชืดขนาดนั้น ในอดีตกาล เผ่าพันธุ์มนุษย์อันต่ำต้อยมิอาจต่อสู้กับเหล่าสัตว์วิเศษในตำนานไหว หนึ่งในหนทางครอบครอง ‘พลังพิเศษ’ ก็คือการดื่ม ‘โอสถ’ หลังจากมนุษย์ดื่มโอสถและกลายเป็น ‘ผู้วิเศษ’ พวกเขาจะข้ามขีดจำกัดเดิมตามแต่ชนิดโอสถที่ดื่ม ผู้วิเศษในโลกแบ่งออกเป็น 9 ลำดับ โดยลำดับ 9 จะอ่อนแอที่สุด หนทางอัพเกรดลำดับก็แสนพิลึก ไม่ใช่การพัฒนาพลังเหมือนนิยายเรื่องใด แต่เป็นการดื่ม ‘โอสถ’ ที่ ‘ถูกต้อง’ ตามสูตรของลำดับถัดไป พลังพิเศษไม่สามารถข้ามสายได้ โอสถแต่ละชนิดจะมีสูตรการปรุงที่แตกต่าง แถมการฝึกฝนพลังของผู้วิเศษก็ยังพิสดารเหนือคำบรรยาย เรื่องราวจะยิ่งเข้มข้นขึ้นเมื่อตัวเอกเริ่มทราบว่า อดีตมหาจักรพรรดิของโลกเมื่อร้อยปีก่อนเป็น ‘ผู้เดินทางข้ามโลก’ เหมือนกับเขา แถมยัง… เหลือทิ้งไดอารี่สุดสำคัญไว้ให้ชนรุ่นหลัง แต่ไดอารีถูกเขียนด้วยภาษาจีนที่ไม่มีใครอ่านออกแม้แต่คนเดียว… ยกเว้นโจวหมิงรุ่ย With the rising tide of steam power and machinery, who can come close to being a Beyonder? Shrouded in the fog of history and darkness, who or what is the lurking evil that murmurs into our ears? Waking up to be faced with a string of mysteries, Zhou Mingrui finds himself reincarnated as Klein Moretti in an alternate Victorian era world where he sees a world filled with machinery, cannons, dreadnoughts, airships, difference machines, as well as Potions, Divination, Hexes, Tarot Cards, Sealed Artifacts… The Light continues to shine but mystery has never gone far. Follow Klein as he finds himself entangled with the Churches of the world—both orthodox and unorthodox—while he slowly develops newfound powers thanks to the Beyonder potions. Like the corresponding tarot card, The Fool, which is numbered 0—a number of unlimited potential—this is the legend of “The Fool”.

Comment

Options

not work with dark mode
Reset