หลังจากกล่าวขอบคุณ ไคลน์ล้มเลิกการควบคุมเฮอร์วิน·แรมบิสทันที เพื่อที่จะได้ไม่สามารถรักษาสถานภาพหุ่นเชิด
ด้วยเหตุนี้ ครึ่งเทพของเส้นทางผู้ชมจึงโยนตัวเองลงกับพื้น กลายเป็นศพแน่นิ่ง
อาเรียนน่าก้มมอง ความมืดในดวงตาเธอทวีความลุ่มลึก
ทันใดนั้นร่างของเฮอร์วิน·แรมบิสคล้ายกับภาพวาดดินสอ ค่อยๆ ถูกลบทีละนิ้วด้วยยางลบ เหลือทิ้งไว้เพียงกระบอกโลหะสีฟ้าน้ำแข็ง
ทันทีหลังจากนั้น แสงสว่างผุดขึ้นจากความว่างเปล่า จากนั้นรวมตัวกันกลายเป็นบางสิ่ง
ขนาดของมันเท่ากำปั้น ดูคล้ายกับหัวใจ แต่พื้นผิวถูกปกคลุมด้วยริ้วรอยสีขาวนวลเหมือนกับสมอง ในแต่ละรอยพับเต็มไปด้วยลวดลายพิสดารนับไม่ถ้วน บ้างจมลง บ้างขยายออกไปในความว่างเปล่า ประหนึ่งเชื่อมต่อกับโลกที่เส้นทางอื่นยากจะมองเห็น
นี่คือตะกอนพลังของ ‘จอมบงการ’
มาดามอาเรียนน่าดึงตะกอนพลังของเฮอร์วิน·แรมบิสอย่างรวดเร็ว ผ่านกระบวนการปกปิดและการปกปิดแบบย้อนกลับ… ไคลน์ตกตะลึงไปชั่วขณะ
ทันใดนั้นอาเรียนน่ากล่าวอย่างใจเย็น:
“จิตตกค้างก็ถูกลบออกแล้วเช่นกัน”
“ขอบคุณมาก มาดามอาเรียนน่า” ไคลน์ไม่ประหลาดใจมากนัก เตรียมโค้งศีรษะคำนับ
มันยอมสละหุ่นเชิดโดยไม่ลังเล ส่วนหนึ่งคาดการณ์ว่าเหตุการณ์ในทำนองนี้จะเกิดขึ้น
อันที่จริง แผนเดิมของชายหนุ่มคือการนำเฮอร์วิน·แรมบิสขึ้นไปเหนือสายหมอกในสภาพหุ่นเชิด จากนั้นก็ใช้พลังไม้กางเขนเจิดจรัส ‘สกัด’ ตะกอนพลังจอมบงการ นักท่องฝัน นักสะกดจิต และตะกอนพลังอื่นๆ ออกมา ส่งผลให้มิสจัสติสไม่ต้องกังวลกับวัตถุดิบหลักตลอดเส้นทางการก้าวไปเป็นครึ่งเทพ ไม่เพียงเท่านั้น แม้กระทั่งสุนัขวิเศษของก็ยังมีโอกาสได้เลื่อนลำดับ – ออเดรย์เล่าให้ดอน·ดันเตสฟังว่า เธอสามารถหลุดพ้นจากอำนาจสะกดจิตของเฮอร์วิน·แรมบิสได้เพราะมีซูซี่คอยช่วยเหลือ
แต่ในภายหลัง ไคลน์เริ่มตระหนักว่า การนำเฮอร์วิน·แรมบิสเข้าไปในมิติหมอกต้องไม่เกิดขึ้นภายในโลกแห่งความลับ เพราะไม่อย่างนั้นจะเป็นการเผยความลับต่อหน้าอาเรียนน่า ว่าตนคือเดอะฟูลเสียเอง และในขณะเดียวกัน ถ้ากระทำเรื่องดังกล่าวนอกโลกแห่งความลับ ไม่ว่าจะเทเลพอร์ตไปที่ใด ก็มีโอกาสสูงที่จะถูกอาดัมเฝ้ามองผ่านศพเฮอร์วิน·แรมบิส
เมื่อเป็นเช่นนั้น ทางเลือกที่ดีที่สุดคือการสละทิ้งหุ่นเชิดต่อหน้าอาเรียนน่า เพราะอย่างน้อยเทวทูตรายนี้ก็น่าจะช่วยไคลน์ขจัด ‘จิตตกค้าง’ ออกจากตะกอนพลัง
และวิธีนี้ไม่กระทบกับแผนเดิมของไคลน์ เพราะมันสามารถนำวัตถุดิบมั่วๆ มาเปลี่ยนตะกอนพลังของเฮอร์วิน·แรมบิสให้กลายเป็นโอสถที่มีปัญหา จากนั้นเทลงบนวัตถุธรรมดา รอจนกระทั่งมันกลายพันธุ์เป็นสมบัติปิดผนึก
เมื่อถึงตอนนั้น ไคลน์จะนำวัตถุดังกล่าว ‘มัด’ ไว้กับไม้กางเขนเจิดจรัส รอให้ตะกอนพลังของแต่ละลำดับแยกออกมาทีละขั้น
สำหรับมลพิษในจิตตกค้าง ไคลน์ไม่กังวลมากนัก เพราะไม้กางเขนเจิดจรัสมีพลังในการชำระล้าง!
ไคลน์หยิบตะกอนพลังของเฮอร์วิน·แรมบิสขึ้นมา แต่คราวนี้มิอาจยัดใส่ลงในกล่องบุหรี่โลหะ จึงต้องยัดใส่กระเป๋าเสื้อทั้งอย่างนั้น ส่วนอาเรียนน่าถอนสายตากลับไปบอกกระบอกโลหะสีฟ้าน้ำแข็ง ตามด้วยกล่าวไม่เร็วไม่ช้า:
“สิ่งมาจากดวงดาว… อย่าใช้มันจะดีกว่า พยายามอย่าแม้แต่จะถือ ไม่อย่างนั้นจะถูกเฝ้ามองและสาปให้คุณต้องทุกข์ทรมานจากมลพิษ เกิดการกลายพันธุ์หรือบิดเบือน”
“จากดวงดาว?” ไคลน์คุ้นเคยกับคำอธิบายนี้อย่างอธิบายไม่ถูก
เพียงไม่นาน มันจดจำที่มาของความคุ้นเคย
ต้นตอมาจากคำทำนายของ ‘แสงเหลือง’ เวนิธานเกี่ยวกับวันสิ้นโลกที่บันทึกไว้ใน ‘ประสบการณ์โลกวิญญาณ’ ของตระกูลอับราฮัม
“เมื่อสายตาจากดวงดาวมองลง แผ่นดินโลกพลันแหลกสลาย ทุกสิ่งในโลกจะดับสูญ”
วันสิ้นโลก… ต้นกำเนิดของสมบัติปิดผนึกชิ้นนี้เกี่ยวข้องกับวันสิ้นโลก? ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวเป็นสถานที่แบบไหนกันแน่? มีความสัมพันธ์ยังไงกับโลกดารา? คำถามมากมายผุดขึ้นในใจไคลน์ สีหน้าจึงแปรเปลี่ยนเป็นขึงขัง
เมื่อได้ยินคำถาม อาเรียนน่าพยักหน้าแผ่วเบาและตอบ:
“ถูกต้อง ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว”
“ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวเหนือศีรษะของพวกเรา?” ไคลน์ยกนิ้วขึ้น ชี้ไปยังค่ำคืนอันมืดมิดซึ่งมีดวงจันทร์สีแดงขนาดใหญ่ประดับตกแต่ง
“ใช่” อาเรียนน่าตอบอย่างมั่นใจ แต่ไม่มีคำอธิบายเพิ่มเติม
ไคลน์ไตร่ตรองสักพัก ถามอีกครั้ง:
“ที่นั่นมีตัวตนที่แข็งแกร่งและพยายามทำลายโลก?”
สายตาของอาเรียนน่ากวาดไปทั่วใบหน้าชายหนุ่ม ในที่สุดก็หยุดตรงดวงตา
“ข้าบอกเจ้าไม่ได้… สำหรับบางสิ่ง ยิ่งเจ้ารู้มาก ก็ยิ่งง่ายที่จะ ‘ติดเชื้อ’ และนั่นจะลุกลามไปทั่วร่างกายและร่างวิญญาณ… ไว้เจ้าเป็นเทวทูตเมื่อไร ค่อยพยายามหาคำตอบอีกครั้ง”
ยิ่งรู้มาก… ก็ยิ่งง่ายที่จะติดเชื้อ… ไคลน์พลันเย็นสันหลังซึ่งไม่ได้รู้สึกมานานมาก
เกี่ยวกับสมบัติปิดผนึกที่เฮอร์วิน·แรมบิสพกพา ไคลน์ไม่ได้ถาม ‘กระจกวิเศษ’ อาโรเดสก่อนลงมือ ด้วยกังวลว่าจะถูกอาดัมสังเกตเห็น
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับราชาเทวทูต จะไม่มีคำว่าระวังตัวเกินไป!
เมื่อเห็นอาเรียนน่าไม่กล่าวคำใดต่อ ไคลน์หันไปทางกระบอกโลหะสีฟ้าน้ำแข็งและกล่าว
“พวกเราควรทำยังไงกับมัน?”
คำอธิบายของผู้นำแห่งนักบวชรัตติกาลทำให้ชายหนุ่มกลัวที่จะนำขึ้นมิติหมอกเพื่อ ‘ฆ่าเชื้อ’
อาเรียนน่าตอบอย่างใจเย็น:
“คำแนะนำของข้าก็คือ ถวายแด่องค์เทพธิดา เมื่อผนวกกับผลงานในครั้งก่อนหน้า เข้าสามารถแลกเปลี่ยนกับสิ่งที่ต้องการ”
ไคลน์พยักหน้ารับ
“เข้าใจแล้ว”
หลังจากที่มันคำนับส่งท้าย ร่างของอาเรียนน่าถูก ‘เช็ด’ ออกอย่างรวดเร็ว หายตัวไปท่ามกลางสวนดอกไม้มืดๆ ที่พระจันทร์สีแดงเข้มมีขนาดใหญ่ผิดธรรมชาติ
โดยไม่ต้องรอนาน โลกแห่งความลับพลันแตกสลาย
เฝ้ามองอย่างเงียบงันสักพัก ไคลน์นำเทียนไขและวัตถุพิธีกรรมอื่นๆ ซึ่งพกติดตัวตลอดเวลาด้วยความรอบคอบ มาสร้างเป็นแท่นบูชาอย่างชำนาญ เตรียมสังเวยกระบอกโลหะสีฟ้าน้ำแข็งให้เทพธิดารัตติกาล
เมื่อเสร็จพิธีกรรม ท่ามกลางสายลมแรง เศษขี้เถ้าจากสมุนไพรที่ไหม้เกรียม รวมถึงดินรอบๆ พลันลอยขึ้นไปในอากาศ ตกลงบนพื้นที่ว่างของแท่นบูชา
ขี้เถ้าและดินเรียงกันเป็นคำพูด คำแล้วคำเล่า
“ลำดับ 3 ปราชญ์โบราณ”
“วัตถุดิบหลัก: ดวงตาของสุนัขแห่งฟัลกริมหนึ่งคู่ (หรือที่รู้จักในชื่อ ผู้พิทักษ์แห่งปราสาทต้นกำเนิด) , หัวใจผุกร่อนของหมาป่าอสูรแห่งสายหมอก…”
“วัสดุเสริม: เลือดของสุนัขแห่งฟัลกริมหนึ่งร้อยมิลลิลิตร, ผลึกขนน้ำแข็งของหมาป่าอสูรแห่งสายหมอกสามสิบกรัม, บันทึกประวัติศาสตร์ของจริงจำนวนมาก…”
“พิธีกรรม: ปลีกตัวจากโลกความจริงโดยสมบูรณ์อย่างน้อยสามร้อยปี และหลังจากกลายเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ ดื่มโอสถเมื่อตัวเองไม่ใช่คนของยุคสมัยปัจจุบัน”
นี่มัน… ไคลน์อดไม่ได้ที่จะกะพริบตาถี่ สงสัยว่าอ่านคำอธิบายผิดไป
คำอธิบายซึ่งระบุว่า ให้ดื่มโอสถเมื่อตัวเองไม่ใช่คนของยุคสมัยปัจจุบัน ทำให้มันนึกถึงพระนามเต็มอันศักดิ์สิทธิ์ของตนทันที:
“เดอะฟูลจากต่างยุคสมัย!”
และเราก็ถูกแขวนไว้เหนือประตูแห่งแสงนั่นมานานกว่าสามร้อยปี… ในทางทฤษฎี เราประกอบพิธีกรรมเสร็จเรียบร้อยแล้ว แค่รอดื่มโอสถปิดท้าย? มิติลึกลับเหนือสายหมอกสีเทามีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับเส้นทางนักทำนายจริงๆ … เป็นไปได้ไหมว่า ‘เอกลักษณ์’ ของเส้นทางเป็นผู้คอยชักนำเรื่องนี้? ไคลน์รู้สึกยินดีอย่างบอกไม่ถูก แต่ก็ไม่กล้าดีใจมากนัก เพราะไม่แน่ใจว่า ‘ของขวัญ’ ที่ตนเพิ่งได้รับนั้นมีราคาเท่าไร
ฟู่ว… หลังจากเป็นเทวทูต เราอยากจะโดดไปยังเส้นทางข้างเคียงจริงๆ เพื่อหลีกเลี่ยงเส้นทางที่อาจมีใครสักคน ‘จัดเตรียม’ ไว้… สำหรับจอมเวทพิสดารคนอื่น เรื่องที่ยากสุดในพิธีกรรมคือการมีอายุยืนยาวให้ถึงสามร้อยปี เนื่องจากเส้นทางนักทำนายไม่ได้เสริมเรื่องอายุขัย… นอกจากนั้น การตัดขาดจากโลกนานถึงสามร้อยปี คนสติดีๆ ก็สามารถกลายเป็นบ้าได้เช่นกัน… สำหรับจอมเวทพิสดารที่มีบุคลิกแตกแยก โอกาสคลุ้มคลั่งก็สูงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว… ไคลน์จ้องสูตรโอสถปราชญ์โบราณ ในหัวเต็มไปด้วยคำถาม แต่ก็มิอาจยืนยันคำตอบ
ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ มันเสร็จสิ้นพิธีกรรมและเก็บกวาดสิ่งของ
ขณะเดินออกจากสวน พระจันทร์สีแดงขนาดใหญ่และค่ำคืนอันมืดมิดค่อยๆ เลือนหายไปทีละนิด
ถัดมา มันมองเห็นดอกไม้ประจำฤดูใบไม้ร่วง มองเห็นแสงแดดส่องลงมายังมวลหมู่พฤกษา และมองเห็นสตรีผมทองที่กำลังรออยู่ระหว่างเขตอาคารกับสวน
ดวงตาออเดรย์พลันเปี่ยมไปด้วยความสุข มุมปากยกขึ้นโดยไม่รู้ตัว
ไคลน์พยักหน้ารับ ก่อนจะเผาตัวเองด้วยเปลวไฟสีแดงที่ลุกท่วม
ทันใดนั้น ณ จุดอื่นภายในคฤหาสน์ เปลวไฟดวงเล็กๆ ลอยสูงเสียดฟ้า แต่ก็มิได้โดดเด่นอะไรนัก
รอจนกระทั่งรอจนไฟดับมอด ร่างของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ก็หายไปโดยสมบูรณ์ รวมถึงพระจันทร์สีแดงและบรรยากาศยามค่ำคืนอันหมองหม่น
ออเดรย์เหม่อลอยสักพัก หลับตาลงครุ่นคิด ก่อนจะเดินเข้าไปในบ้านไวเคาต์กายลิน
จากนั้น เธอพาซูซี่และคนรับใช้กลับขึ้นรถม้า ตรงกลับไปที่คฤหาสน์ตระกูลฮอลล์ และไม่ผิดคาด เมื่อเธอมีโอกาสอยู่ตามลำพัง หญิงสาวได้รับคำเชิญ ‘นัดพบ’ จาก ‘เดอะเวิร์ล’
…
เหนือหมอกสีเทา ภายในพระราชวัง
ออเดรย์จ้องหน้าเกอร์มัน·สแปร์โรว์ ถามอย่างใจเย็น
“จุดประสงค์ที่แท้จริงของเฮอร์วิน·แรมบิสคือสิ่งใด?”
ท่าทีสุขุมเยือกเย็นของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ เธอทราบเป็นนัยว่าเฮอร์วิน·แรมบิสถูกเก็บไปแล้ว
ไคลน์ตอบเสียงเรียบ
“เหตุผลแรก ตรวจสอบว่ามีผู้อยู่เบื้องหลังพฤติกรรมของซิลและฟอร์สหรือไม่ ประการที่สอง เมื่อเจ้าชายพยายามแสดงท่าทีสนิทสนมกับตระกูลฮอลล์ เขาจะฝังการชี้นำทางจิตเพื่อไม่ให้คุณต่อต้าน จุดประสงค์เพื่อสร้างความแตกแยกระหว่างสามโบสถ์หลัก”
สำหรับเรื่องนี้ ออเดรย์และมิสเตอร์เวิร์ลเคยปรึกษากันมาบ้างแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องลงลึกรายละเอียด
“แล้วทำไมครึ่งเทพอย่างเฮอร์วิน·แรมบิสถึงต้องลงมือกับดิฉันด้วยตัวเอง?”
ไคลน์ยิ้มและตอบ:
“ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหลบเลี่ยงสายตาคนคุ้มกันที่เอิร์ลฮอลล์จัดหามา และสะกดจิตลูกสาวของเขาซึ่งเป็น ‘นักสะกดจิต’ ได้อย่างอยู่หมัดโดยไม่เกิดความผิดพลาดหรือก่อเรื่องวุ่นวาย ด้วยเงื่อนไขเหล่านี้ เกรงว่าแม้แต่ลำดับ 5 ก็อาจทำไม่ได้ ดังนั้น ตัวเลือกที่เหมาะสมจึงเป็นการส่งครึ่งเทพมาลงมือด้วยตัวเอง และคุณก็รู้จักเฮอร์วิน·แรมบิสมาก่อนแล้ว เคยพบหน้ากัน ความระวังตัวจึงต่ำ… ว่ากันตามตรง หากคุณประมาทและไม่มีซูซี่ สุดยอดผู้ช่วยที่ยังไม่มีใครเอะใจ เรื่องราวจะดำเนินไปตามแผนของพวกมันอย่างราบรื่นจนกระทั่งบ่ายวันจันทร์…”
วันนี้ ‘จัสติส’ ออเดรย์ไม่สวมหน้ากากหนา เพียงยิ้มและถอนหายใจด้วยอารมณ์หลากหลาย
“ฉันเองก็เจ๋งไม่เบาสินะ…”
การที่อีกฝ่ายต้องใช้ครึ่งเทพมาจัดการตน เรื่องนี้ช่วยเพิ่มความมั่นใจให้เธอมาก
“เขาแข็งแกร่งกว่าที่ผมคิดเล็กน้อย… ไม่น่าเชื่อว่าคุณจะสะกดจิตครึ่งเทพระดับนี้สำเร็จ…” ไคลน์ยิ้มและชมเชยจากใจจริง
ออเดรย์เม้มริมฝีปากล่าง อมยิ้มอย่างอารมณ์ดี:
“>“นั่นต้องยกความดีความชอบให้กับยันต์โจรปล้นดวงที่คุณมอบให้… จริงสิ… ดูเหมือนว่าโอสถนักสะกดจิตจะย่อยเสร็จสมบูรณ์หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว”
………………………….