ชำเลืองไปทางสีหน้าเดนิส แอนเดอร์สันกล่าวต่อทันทีราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
“แต่ว่า สมองของพวกมันคล้ายกับถูกซอมบี้กัดกิน แต่ละคนโง่จนไม่เข้ากับความสง่างามของฉัน… ฉันจึงตัดสินใจโกหกในบางเรื่องและถอนตัวออกมา… หืม… ทำไมถึงหน้าซีดขนาดนั้น? เหงื่อออกเยอะไปหน่อยไหม? เป็นโรคลมแดดหรือ? ในฐานะนักล่า นายต้องปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมนะ จำเอาไว้”
เดนิสยกมือขวาขึ้นปาดเหงื่อ ภายในใจสาปแช่งคำสองสามคำ ก่อนจะฝืนยิ้มและกล่าว
“ฉันเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า หากใครเคยศรัทธาเทพมารไปแล้ว คนผู้นั้นจะไม่มีวันถอนตัวได้”
ขณะกล่าว มันยกคางขึ้นพร้อมกับทำท่าทางบอกใบ้ว่าอีกฝ่ายจะมีจุดจบแบบไหน โดยที่เรื่องของเกอร์มัน·สแปร์โรว์มิได้อยู่ในหัวอีกแล้ว ไม่สนว่าอีกฝ่ายไปทำอะไรกับชุมนุมแสงเหนือ และไม่ได้คิดว่าต้นตนของความยุ่งเหยิงมาจากเทพมารที่ชื่อ ‘เดอะฟูล’
“ที่พูดมาก็ไม่ผิด” แอนเดอร์สันตอบด้วยรอยยิ้มปราศจากความขุ่นเคือง “แต่ในตอนนั้น ฉันมิได้ศรัทธาเทพมารดังกล่าวจากก้นบึ้ง บทสวดทั้งหมดที่ท่อง ฉันแอบเปลี่ยนชื่อเป็นเทพปัญญาความรู้… หึหึ พวกมันไม่ชอบใช้สมองอยู่แล้ว ไม่สิ… พวกมันไม่มีของแบบนั้นด้วยซ้ำ เมื่อนายอยู่ท่ามกลางคนโง่พวกนี้ ขอเพียงแสร้งทำตัวศรัทธาอย่างสุดโต่ง พวกมันก็พร้อมจะเชื่อคำโกหกงี่เง่าทุกรูปแบบ”
โดยไม่รอให้เดนิสพูด มันชิงถาม
“แล้วทำไมจู่ๆ ถึงถามเกี่ยวกับชุมนุมแสงเหนือ?”
เดนิสกัดบาร์บีคิว เคี้ยว และกลืนอย่างเชื่องช้า หลังจากผ่านไปราวยี่สิบวินาที มันเรียบเรียงคำพูดและถาม
“ฉันนึกถึงบางเรื่องขึ้นมาได้พอดี… ด้วยเหตุผลบางอย่าง เกอร์มัน·สแปร์โรว์กลายเป็นเป้าหมายหลักที่ชุมนุมแสงเหนือหมายหัว รวมถึงนิกายวิญญาณก็ด้วย… ต้องไม่ลืมว่า นายกับฉันเป็นคนรู้จักของหมอนั่น”
“ให้ฉันคอยระวังตัวจากคนของชุมนุมแสงเหนือและนิกายวิญญาณใช่ไหม?” แอนเดอร์สันพยักหน้ารับพลางหัวเราะ “ดูเหมือนว่านายจะเพิ่งบอกอะไรที่คล้ายๆ กันเมื่อไม่นานมานี้ มีทั้งโรงเรียนกุหลาบ โบสถ์วายุสลาตัน กองทัพโลเอ็น… ฟู่ว… บางครั้งก็อดคิดไม่ได้ว่า เกอร์มัน·สแปร์โรว์เหมาะที่จะเป็นนักล่ามากกว่าฉันเสียอีก”
เดนิสเถียงไม่ออก ทำได้เพียงถอนหายใจในฐานะผู้ร่วมชะตากรรม
แอนเดอร์สันครุ่นคิดสักพัก ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องคุยอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
“แล้วนายมาทำอะไรที่ไบลัมตะวันตก? ช่วยเกอร์มัน·สแปร์โรว์ทำงาน?”
ได้ยินคำถามดังกล่าว เดนิสเงียบไปครู่หนึ่ง วางสิ่งของในมือลงพลางจัดเสื้อผ้าอย่างไม่รีบร้อน
“สำรวจศาสนาของคนทุกชนชั้นในไบลัมตะวันตก”
นี่คือเป้าหมายแบบ ‘สวยหรู’ ที่คิดชื่อขึ้นมาหลังจากปรึกษากับ ‘พลเรือโทธารน้ำแข็ง’ เอ็ดวิน่า แต่ความจริงแล้วเป็นการตรวจสอบขอบเขตของอิทธิพลขององค์กรลับที่สำคัญในไบลัมตะวันตก
แน่นอน หนึ่งในวัตถุประสงค์ก็คือ การเข้าไปเจรจาครั้งแรกกับกองกำลังปกครองท้องถิ่น สอบถามว่าอีกฝ่ายต้องการซื้อเครื่องกระสุนและอาวุธปืนหรือไม่
“สำรวจศาสนาของคนทุกชนชั้นในไบลัมตะวันตก…” แอนเดอร์สันทวนคำพูดของเดนิส ยกมือขวาขึ้นลูบหน้าผากคล้ายกับกำลังปวดหัว
…
หลังจากจบชุมนุมทาโรต์พร้อมกับตักเตือน ‘พลเรือเอกดวงดาว’ ให้ใส่ใจ ‘การสอบสวน’ ของชุมนุมแสงเหนือและนิกายวิญญาณให้ดี โดยแนะนำว่าเป็นการดีที่สุดที่จะขอความช่วยเหลือจากนิกายมอสส์ ไคลน์ก็ต้องมาวุ่นวายกับธุรกรรมสามทางของเดอะเวิร์ล เดอะมูน และเดอะซัน ก่อนจะรับเงินห้าพันปอนด์
จนกระทั่งเสร็จมื้อค่ำ มันหยิบหนังสือพิมพ์พร้อมกับคาบกล้องยาสูบปลอมที่ไม่ได้จุดไฟ พลางอ่านหนังสือพิมพ์ จนกระทั่งเห็นผู้ส่งสารเดินออกจากความว่างเปล่าพร้อมกับจดหมาย
ของเลียวนาร์ดสินะ… ไคลน์เอื้อมมือไปรับพลางสังเกตว่าไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์จะหยุดรอหรือไม่ และพบว่ามิสผู้ส่งสารเดินกลับเข้าไปในโลกวิญญาณอย่างรวดเร็ว
สิ่งนี้หมายความว่า เลียวนาร์ด·มิเชลทำการชำระเงินค่าไปรษณีย์เรียบร้อยแล้ว ไคลน์จึงใช้มืออีกข้างคลี่กระดาษออกมาอ่าน
“อินซ์·แซงวิลล์ปรากฏตัวในไบลัมตะวันออก ต้องสงสัยว่าจะนัดพบกับปาลังเก้·ทัสซิบแห่งนิกายวิญญาณสังกัดฝ่ายที่สนับสนุนโครงการมรณาเทียม…”
อินซ์·แซงวิลล์… ไคลน์เคี้ยวชื่อพลางเอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างไม่รีบร้อน
ในจดหมาย เลียวนาร์ดระบุว่ามันต้องการแอบสืบสวนอย่างลับๆ เพื่อค้นหาจุดประสงค์ของอินซ์แซงวิลล์
แต่ปัญหาก็คือ ตามที่หมอนั่นบอกใบ้เมื่อครั้งก่อน ‘0-08’ จะมีคุณสมบัติพิเศษในทำนองว่า ‘ทุกการเอ่ยถึงจะถูกล่วงรู้’ หลังจากนั้นมันจะสร้างชุดความบังเอิญและชักนำผู้คนโดยที่เหยื่อไม่รู้ตัว… ในสถานการณ์ปัจจุบัน การตรวจสอบอินซ์·แซงวิลล์โดยที่ 0-08 ไม่รู้ตัวนั้นแทบเป็นไปไม่ได้ ไม่เพียงจะล้มเหลว ยังทำให้ตัวตนของเราถูกเปิดเผยได้ง่าย… ไคลน์ครุ่นคิดพลางสั่งให้เอ็นโซยืนนวดไหล่จากด้านหลัง
มันอ่านทบทวนจดหมายของเลียวนาร์ด·มิเชลใหม่ตั้งแต่ต้น โดยหวังว่าจะพบเบาะแสเพิ่มเติม หรือไม่ก็จุดตั้งต้นของการสืบสวนภายในประโยคเหล่านี้
ไบลัมตะวันออก… นิกายวิญญาณ… มรณาเทียม… ปาลังเก้·ทัสซิบ… อินซ์แซงวิลล์อยากได้อะไรจากพวกมัน? พยายามหาพันธมิตรให้กับฝ่ายราชวงศ์ที่อยู่เบื้องหลังโศกนาฏกรรมมหาหมอกควันแห่งเบ็คลันด์?
มรณาเทียม… นิกายวิญญาณ…
ขณะกำลังใช้สมอง ไคลน์เริ่มฉุกคิดถึงบางสิ่ง เป็นเรื่องไม่มีใครรู้นอกจากตนกับมิสเตอร์อะซิก
เทพธิดารัตติกาลได้ครอบครอง ‘เอกลักษณ์’ ของเส้นทาง ‘มรณา’ เรียบร้อยแล้ว สิ่งนั่นก็คือ ‘เทพมรณาเทียม’ โดยที่ปัจจุบัน พระองค์กำลังพยายาม ‘ย่อย’ ‘แย่งชิง’ และ ‘ยึดครอง’ อำนาจดังกล่าวมาเป็นของตัวเอง!
กล่าวอีกนัยหนึ่ง เป้าหมายการสวดวิงวอนของฝ่ายสนับสนุนเทพมรณาเทียมแห่งนิกายวิญญาณในปัจจุบัน จะถูกส่งผ่านไปถึงเทพธิดารัตติกาลในที่สุด รอจนกระทั่งพระองค์สามารถกุม ‘อำนาจ’ เบ็ดเสร็จ พวกมันจะถูกล้างสมองในระดับหนึ่งและค่อยๆ กลายเป็นผู้ศรัทธาแห่งโบสถ์รัตติกาล หรือไม่ก็ พวกมันจะถูกใช้งานเพื่อการติดต่อกับนิกายวิญญาณอีกฝั่งหนึ่ง ขณะเดียวกันก็แอบร่วมมือกับเหยี่ยวราตรีอย่างลับๆ
สำหรับไคลน์ สิ่งนี้ไม่ใช่ประเด็นหลัก สาระสำคัญที่แท้จริงก็คือ ในเอกสารโบราณที่มันเคยอ่าน มีข้อความหนึ่งเขียนไว้ว่า:
ในการจะสร้างเทพมรณาเทียม สมาชิกนิกายวิญญาณต้องสวดวิงวอนถึง ‘เอกลักษณ์’ ทุกวันประหนึ่งอีกฝ่ายคือเทพแท้จริง พยายามกระตุ้นสติปัญญาของมันขึ้นไปทีละขั้น
แน่นอน นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของแผนการ แถมยังไม่ใช่ส่วนที่สำคัญที่สุด
ถ้าอย่างนั้น… จะเป็นไปได้ไหมว่า ในตอนที่ปาลังเก้·ทัสซิบสวดวิงวอนถึง ‘เทพมรณาเทียม’ ตามกิจวัตรปรกติ มันจะเล่าถึงจุดประสงค์ของอินซ์·แซงวิลล์ด้วย เพื่อแลกกับคำอวยพรจากอีกฝ่าย?
แต่มันคงไม่คาดไม่ถึงว่า ‘เทพมรณาเทียม’ ที่อยู่อีกฝั่ง ปัจจุบันได้ถูก ‘เทพธิดารัตติกาล’ ควบคุมขั้นต้นเรียบร้อยแล้ว แม้จะยังครอบครองได้ไม่สมบูรณ์ แต่ทุกความเคลื่อนไหวก็ตกอยู่ในกำมือของพระองค์…
จากมุมมองดังกล่าว หากเราสวมวิงวอนถึงเทพธิดารัตติกาลโดยตรง บางทีอาจได้ทราบถึงจุดประสงค์ของอินซ์·แซงวิลล์… ฟังดูเป็นไปได้มากทีเดียว! ยิ่งคิดเกี่ยวกับมันมากเท่าไหร่ ไคลน์ก็ยิ่งรู้สึกว่าแผนการที่ฟังดูเหมือนจะไร้สาระ มีโอกาสค่อนข้างสูงที่จะประสบความสำเร็จ
และเหตุผลสำคัญที่ทำให้เรื่องนี้กลายเป็นจริงได้ก็คือ:
‘ผู้นำ’ ของศัตรูคือ ‘สายลับ’ ของเรา!
หลังจากบังคับให้หุ่นเชิดเอ็นโซหยุดนวด ไคลน์ลุกขึ้นและเดินวนเวียนไปมา ครุ่นคิดหาวิธีทดสอบ
เนื่องจากอินซ์·แซงวีลล์เป็นคนทรยศต่อศาสนจักร เป็นความอัปยศของเหยี่ยวราตรี หากมีโอกาสกำจัดมันให้สิ้นซาก เทพธิดาก็ควรจะมีความสุขกับเรื่องนี้ ไม่ถือสาที่จะส่งความช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ …
แต่ตอนนี้คือหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญในการเข้าช่วงชิง ‘อำนาจ’ ในขอบเขตความตาย พระองค์อาจไม่สะดวกที่จะตอบสนองพิธีกรรมไปอีกสักพัก มีเพียงการตอบรับอัตโนมัติในพิธีกรรมทั่วไป… และนอกจากนั้น เรายังขาดวัสดุที่เกี่ยวข้องกับพระองค์…
เหนือสิ่งอื่นใด เราคอยเตือนตัวเองเสมอว่าห้ามประมาทเทพธิดา อย่าได้ไว้ใจพระองค์มากเกินไป… เมื่อลองมาคิดดูอีกที การสวดวิงวอนตรงๆ เพื่อขอวิวรณ์ไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก เราต้องรักษาระยะห่างที่ปลอดภัย… กระแสความคิดมากมายแล่นผ่านสมองไคลน์จนเกิดความลังเล
หลังจากไตร่ตรองเป็นเวลานาน มันพยายามค้นหาวิธีที่พอจะยอมรับได้
ทันใดนั้น มันผุดแนวคิดที่บ้าบิ่นออกมา
สวดวิงวอนโดยตรงถึง ‘มรณาเทียม’ !
ด้วยวิธีนี้ ความเสี่ยงจะมีต่ำมาก เพราะ ‘เทพมรณาเทียม’ ตัวจริงจะไม่ตอบสนองต่อคำสวดวิงวอนและพิธีกรรมทุกชนิด หากเราได้รับการตอบสนอง หมายความว่าแก่นแท้ของอีกฝ่ายคือเทพธิดารัตติกาล ในทางกลับกัน ไคลน์ยังมีขนนกจาก ‘ผลผลิตที่ล้มเหลว’ ในโครงการมรณาเทียม และยังมีนกหวีดทองแดงของอะซิก ง่ายต่อการรวบรวมวัสดุสำหรับประกอบพิธีกรรมเพื่อขอวิวรณ์!
นอกจากนั้น นี่ไม่ใช่การ ‘เชื่อมต่อ’ กับพระองค์โดยตรง แต่มีบางสิ่งคั่นกลาง… และวิธีนี้อาจจะช่วยให้พระองค์เข้าใจหลักการทำงานของมรณาเทียมมากขึ้น ยึดครองอำนาจในเส้นทางความตายได้ง่ายขึ้น… ไคลน์ถอนหายใจโล่งอก
อันดับแรก มันเตรียมประกอบพิธีกรรม ‘สังเวยและรับมอบ’ เริ่มจากการนำหนึ่งในสองขนนกที่ยังเหลือ พร้อมกันกับน้ำมันสกัดจันทร์เต็มดวง ผงวานิลลารัตติกาล และวัตถุดิบอื่นๆ ที่ไม่ได้ใช้เป็นเวลานาน ออกจากมิติหมอกกลับมายังโลกแห่งความจริง จากนั้นก็ดัดแปลงแท่นบูชาเล็กน้อย เป็นอันเสร็จสิ้นขั้นแรกของพิธีกรรม เพราะเหนือสิ่งอื่นใด เป้าหมายที่มันสวดวิงวอนถึงคือเทพธิดารัตติกาล จึงไม่จำเป็นต้องเตรียมวัตถุดิบยิบย่อยในเส้นทางมรณา
แก่นแท้ของพิธีกรรมในทุกศาสนานั้นค่อนข้างคล้ายคลึงกัน อาศัยความชำนาญ ไคลน์จุดเทียนและหยดน้ำมันสกัดสมุนไพร ตามด้วยการวาดสัญลักษณ์ของ ‘มนุษย์’ และ ‘การปกปิด’ ลงบนกระดาษหนัง ท่ามกลางหมอกควันจางๆ ไคลน์ปิดท้ายด้วยการวางนกหวีดทองแดงของอะซิกลงไป
โดยไม่มัวรีรอ มันใส่ขนนกสีขาวที่เปื้อนน้ำมันบางๆ ลงในหม้อเงินที่มีผงสมุนไพรถูกเผา จากนั้นก็เฝ้ามองขนนกที่บิดงอแต่ไม่ปรากฏรอยไหม้
หายใจออกเชื่องช้า ไคลน์ก้าวถอยหลังพร้อมกับท่องเป็นภาษาเฮอร์มิส
“พระองค์ผู้เป็นแก่นแท้ของความตาย”
“พระองค์ผู้ปกครองเหนือความตายทั้งปวง”
“พระองค์ผู้เป็นจุดหมายสุดท้ายของทุกสิ่งมีชีวิต”
“ข้าขอสวดวิงวอน ขอให้พระองค์ช่วยบอกจุดประสงค์ที่อินซ์·แซงวีลล์แอบติดต่อกับนิกายวิญญาณ”
“…”
ทันทีที่กล่าวจบ แสงเทียนทั้งสามขยายขนาดด้วยสีสันสว่างสดใส แต่เพียงไม่นานก็ถูกฉาบด้วยแสงสีเขียวเข้ม เปลี่ยนให้บรรยากาศเย็นยะเยือกและน่าขนลุก
ไคลน์หลับตาลงด้วยความประหม่า เข้าฌานนานสามสิบวินาที ก่อนจะเดินไปที่หน้าแท่นบูชาและหยิบน้ำมันสกัดจันทร์เต็มดวง หยดลงบนเทียนไขทั้งสามอย่างละหนึ่งหยด
จัดการเสร็จ มันเก็บนกหวีดทองแดงอะซิก จากนั้นก็นำกระดาษหนังไปจ่อเทียนไขที่เป็นสัญลักษณ์แทนตัวเอง ลนไฟให้ไหม้แล้วโยนลงในหม้อเงิน
ท่ามกลางเสียงสายลม ขนนกสีขาวที่ไม่ยอมไหม้ในตอนแรก พลันลุกโชนไปด้วยเปลวไฟสีซีดจนท่วมท้นหม้อเงิน บดบังการมองเห็นของไคลน์
สองสามวินาทีถัดมา เปลวไฟดับลงโดยสมบูรณ์ เหลือเพียงเศษผงในหม้อเงิน
โดยไม่มีลมพัด เศษผงเหล่านั้นเรียงตัวเป็นประโยค:
“ถูกวิญญาณมารสิงร่าง กำลังมองหาวิธีปัดเป่า”
…………………………………………………..