Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ – ราชันเร้นลับ 925 : เลือก ‘เสื้อผ้า’

เหนือสายหมอกสีเทาไร้ก้นบึ้ง ภายในวังโบราณอันงดงาม

ไคลน์ไม่รีบร้อนลงมือทำนาย ก่อนอื่น ตอบสนองต่อพิธีกรรมสังเวยจาก ‘แฮงแมน’ อัลเจอร์ และนำไม้เท้าที่สร้างจากตะกอนพลัง ‘ผู้ขับขานสมุทร’ มาวางตรงหน้า

วาจาสมุทร… ชื่อนี้ทำเอาคิดถึงวันเก่าๆ อย่างบอกไม่ถูก ตั้งได้ไม่เลว… คุณสมบัติพื้นฐานคล้ายคลึง ‘คทาเทพสมุทร’ แต่เป็นรุ่นที่อ่อนแอกว่า นอกจากนั้นยังไม่มีพลังระดับครึ่งเทพจำพวก ‘พายุสายฟ้า’ และ ‘สึนามิ’ … แถมยังมีผลข้างเคียงด้านลบไม่น้อยทีเดียว… นึกถึงคำอธิบายของแฮงแมน ไคลน์ลูบหัวไม้เท้าสีดำเข้มที่เลี่ยมด้วยโลหะเงิน

บางที อาจเป็นผลจากการสยบตามธรรมชาติของมิติลึกลับเหนือสายหมอกสีเทา ไม้เท้าวิเศษอันนี้จึงมิได้แสดงสัญญาณชีพให้เห็น ทำเพียงนอนนิ่งอย่างเงียบงันราวกับเป็นแค่ไม้เท้าแสนธรรมดา

ไคลน์พยักหน้าเล็กๆ พลางพึมพำกับตัวเอง

สมบัติวิเศษที่มีสัญญาณชีพ ว่ากันตามตรงค่อนข้างน่ารำคาญไม่น้อย แต่ในอีกมุมหนึ่ง นั่นหมายความว่าเราสามารถสื่อสารกับมันได้โดยตรง ต้องไม่ลืมว่า ‘ลูกเต๋าความน่าจะเป็น’ เคยมีนิสัยเลวร้ายแค่ไหน แต่หลังจากถูกอบรมก็กลายเป็นเด็กว่านอนสอนง่ายทันทีไม่ใช่หรือ?

นอกจากนั้น เรายังสามารถนำไปให้คนรับใช้ถือในยามปรกติ… อา… ‘ผู้ชน’ เอ็นโซเหมาะสมอย่างมาก แม้ปัจจุบันจะไม่มีพลังการเสริมโชคแบบติดตัว แต่สามารถ ‘สะสม’ โชคเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับช่วงเวลาสำคัญได้ การปล่อยให้เกิดความซวยเล็กๆ น้อยๆ นั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่ ดังนั้น ถึงจะเผลอสะดุดล้ม ตกบันได หรือถูกไม้เท้ากระแทกหน้าไปบ้าง ก็ยังสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปรกติ ไม่มีเรื่องให้ผิดสังเกต

หลังจากครุ่นคิดอย่างรอบคอบ มันพบว่าการกลั่นแกล้งของไม้เท้ามิได้ไร้ประโยชน์เสียทีเดียว หากเผชิญหน้ากับ ‘นักเชิดหุ่น’ คนอื่น หรือหัวขโมยโลกวิญญาณ หรือมารพิสดาร และตนเกิดเป็นฝ่ายเสียท่าให้ก่อน เมื่อถูกควบคุมขั้นต้น ทั้งความคิดและการกระทำจะตกอยู่ในภาวะเฉื่อยชา ยากที่จะหลุดพ้นด้วยตัวเอง แต่ทันใดนั้นเอง เจ้าไม้เท้าขี้แกล้งเกิดนึกอยากจะทำให้เจ้าของสะดุดล้มหรือตกบันไดขึ้นมา นั่นไม่เท่ากับว่าไคลน์จะหลุดพ้นจากปัญหาทันทีเลยหรือ?

หึหึ… ถ้าผลข้างเคียงด้านลบของสมบัติวิเศษถูกนำมาใช้ให้ถูกวิธี พวกมันสามารถกลายเป็นความช่วยเหลือได้เช่นกัน…

แน่นอน ในการต่อสู้ปกติ การกลั่นแกล้งในทำนองเดียวกันอาจก่อให้เกิดอันตรายโดยไม่จำเป็น คงต้องชั่งน้ำหนักให้ดี และต้องตรวจสอบอย่างละเอียดอีกหลายครั้งเพื่อหาจุดสมดุลให้ได้…

ในส่วนผลกระทบด้านลบเกี่ยวกับความเสี่ยงที่จะถูกฟ้าผ่าขณะเกิดพายุฝนฟ้าคะนอง ไคลน์มิได้สนใจ ประการแรก หากไม่ได้เข้าไปในพื้นที่พิเศษ พายุฝนฟ้าคะนองก็ไม่ใช่สิ่งที่พบเจอได้บ่อยนัก ไม่จำเป็นต้องไปคำนึงถึง ประการที่สอง ในฐานะ ‘นักทำนาย’ การทำนายสภาพอากาศก่อนออกไปข้างนอกถือเป็นกิจวัตรประจำวัน และท้ายที่สุด หากยังไม่สามารถหลีกเลี่ยงพายุฝนฟ้าคะนองได้จริงๆ ไคลน์ก็แค่มอบไม้เท้าให้เอ็นโซเป็นคนถือ ด้วยเหตุนี้ แม้สายฟ้าจะผ่าลงมายัง ‘ผู้ชนะ’ แต่ก็คงไม่แคล้วกระทบกับสายล่อฟ้าใกล้ๆ

ได้แต่หวังว่าตัวเราจะไม่ใช่สายล่อฟ้านั่น… ไคลน์หัวเราะจิกกัดตัวเอง จากนั้นก็ครุ่นคิดเกี่ยวกับสิ่งที่รบกวนจิตใจมากที่สุดจากในบรรดาผลข้างเคียงทั้งหมด:

ร้องเพลงด้วยพลังพิเศษทุกหกชั่วโมง!

ความฉิบหายที่ไม่จำแนกมิตรหรือศัตรู… ผลลัพธ์เป็นแบบสุ่ม แถมยังโจมตีเป็นวงกว้าง!

หลังจากใช้ความคิด ไคลน์ตัดสินใจว่าจะสื่อสารกับไม้เท้า ‘วาจาสมุทร’ เพื่อลดความถี่ในการร้องเพลง รวมถึงการให้อีกฝ่ายบอกกล่าวล่วงหน้าก่อนจะร้อง

จริงสิ… วันนี้เรากินข้าวเช้าเร็ว จากที่คำนวณ ‘ยุบพองหิวโหย’ ใกล้ถึงเวลาเห่าหอนแล้ว… ไคลน์ครุ่นคิดพลางถอดถุงมือหนังมนุษย์ออกจากมือซ้าย โยนลงบนที่ว่างด้านข้างกองขยะ

จากนั้น มันหยิบไม้เท้าสีดำเข้มเลี่ยมโลหะสีเงินโยนไปยังทิศทางเดียวกัน ตามด้วยการเคลื่อนย้ายพลังส่วนหนึ่งของมิติลึกลับเหนือสายหมอกเพื่อสร้างบาเรียที่สามารถกีดขวางเสียงและภาพทั้งหมด ปล่อยให้ ‘ยุบพองหิวโหย’ และ ‘วาจาสมุทร’ อยู่ด้วยกันตามลำพัง

จัดการเสร็จ ไคลน์ตวัดมือเล็กน้อย เสกกระดาษและปากกาขึ้นมาเขียนประโยคทำนาย:

“วันนี้เป็นวันอันตรายที่จะลาดตระเวนเขตรอบนอกของเมืองกัลเดรอน”

วางปากกาหมึกซึมสีแดงเข้มลง ไคลน์ปลดลูกตุ้มวิญญาณออกจากข้อมือซ้ายและถือไว้ ห้อยลงบนกระดาษในลักษณะจ่อสัมผัส

หลังจากท่องประโยคทำนายเจ็ดครั้งด้วยเสียงแผ่ว ชายหนุ่มลืมตาและพบว่าจี้บุษราคัมแน่นิ่ง ไม่มีการหมุนเกิดขึ้น

กล่าวอีกนัยหนึ่ง การทำนายล้มเหลว

“สถานการณ์เฉพาะของเมืองกัลเดรอน เป็นความลับไปทั่วทั้งโลกวิญญาณ ส่งผลให้การทำนายล้มเหลวตั้งแต่เริ่ม… นอกจากนั้น สถานที่ดังกล่าวเคยเป็นอาณาจักรเทพบรรพกาล เคยมีการจัดเตรียมแผนสำหรับคืนชีพไว้ที่นั่น อาจเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่รบกวนการทำนาย” ไคลน์เก็บลูกตุ้ม กลับมานั่งคิดอย่างรอบคอบ “มีแต่ต้องเชื่อในคำบอกเล่าของ ‘แสงแดง’ ที่กล่าวว่า เขตรอบนอกของกัลเดรอนไม่อันตรายมากนัก… นอกจากนั้นเรายังมีหุ่นเชิด สามารถปล่อยให้พวกมันเข้าไปสำรวจก่อน ตรวจสอบว่าภายในนั้นกีดขวางพลังของมิติสายหมอกหรือไม่… หากพลังของมิติหมอกเข้าไปไม่ถึง เราคงไม่มีทางเลือกนอกจากยอมแพ้ ไม่สามารถเข้าไปได้ด้วยตัวเอง”

ไคลน์ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว ไม่ลังเลอีกต่อไป โบกมือเพื่อสลายม่านพลังที่สร้างขึ้นเมื่อครู่

จากนั้น มันเห็นยุบพองหิวโหยที่ล่าถอยไปจนถึงขอบกองขยะ กำลังพยุงตัวยืนด้วยนิ้วสามนิ้ว โดยมีนิ้วโป้งและนิ้วก้อยกำลังเอนไปด้านหลังเพื่อพิงกับ ‘การเดินทางของกรอซาย’ ท่าทางคล้ายกับกำลังอ่อนเพลียจนยากจะยืนให้ตรง

ขณะเดียวกัน กึ่งกลางฝ่ามือเผยรอยแยกคล้ายปาก เผยให้เห็นฟันมายาสีขาวสองแถว ปากขยับหายใจหอบต่อเนื่อง

อีกด้านหนึ่งของม่านพลัง ไม้เท้าสีดำเข้มเลี่ยมด้วยโลหะเงินที่ถูกวางอยู่บนพื้น ดีดเด้งตัวเองเป็นระยะโดยมีฟองน้ำสีฟ้าลอยขึ้นมาจากด้านบน

“ดี… เงียบสักที” เห็นฉากดังกล่าว ไคลน์พึมพำโล่งใจ

กล่าวจบ ทันใดนั้นไม้เท้าวาจาสมุทรพลันลุกขึ้น ‘ยืน’ คล้ายกับมีคนถือ จากนั้นก็ค่อยๆ ‘เขย่ง’ มาหาไคลน์ทีละก้าวจนกระทั่งถึงเก้าอี้เดอะฟูลและเข้าไปหลบที่ใดสักแห่ง ในทางกลับกัน ‘ยุบพองหิวโหย’ เริ่มออกวิ่งโดยใช้นิ้วทั้งห้าต่างเท้า แต่ก็ยากที่จะตามทัน ผ่านไปได้ครึ่งทาง สุดท้ายก็สะดุดล้ม

ไคลน์เฝ้ามองโดยไม่กล่าวคำใด เพียงถอนหายใจยาว

“หลังจากหลอมรวมมิสเตอร์ A ดูเหมือนยุบพองหิวโหยจะมีสัญญาณชีพที่แข็งแกร่งขึ้น แต่สติปัญญากลับยังต่ำติดดิน เห็นได้ชัดจากการที่ แม้จะต้อนแกะ ‘ผู้รับใช้วายุ’ จนตัวเองสามารถบินได้ในระยะทางสั้นๆ แต่กลับยังเคลื่อนที่ด้วยการใช้นิ้วทั้งห้าวิ่งแทนเท้า”

กล่าวจบ มันหันไปมองไม้เท้าวาจาสมุทรที่ซ่อนอยู่ข้างๆ

“แกเป็นลำดับ 5 ของเส้นทาง ‘ลูกเรือ’ ไม่ใช่รึไง? แล้วทำไมถึงยังเขย่งขาเดียวอยู่อีก? เฮ่อ… สัญญาณชีพของพวกมันมีสติปัญญาไม่ต่างจากทารกรึไง? ไม่สิ… มีทารกในครรภ์บางคนฉลาดกว่าพวกแกทั้งหมดรวมกัน!”

ไคลน์หลังจากบ่นสองสามประโยค มันถอนหายใจกับตัวเองพลางพึมพำด้วยอารมณ์ขัน

“ฉันก็ไม่ได้อยากจะใจร้ายกับพวกหรอกนะ แต่…”

ยังไม่ทันสิ้นเสียง ถุงมือและไม้เท้าที่ยังคงพยายามเล่นไล่จับต่างพากันชะงัก ไม่กล้าที่จะทำเสียง

ไคลน์กลืนคำพูดที่เหลือลงคอ ตามด้วยการหยิบไม้เท้าวาจาสมุทรขึ้นมาถือ พยายามสื่อสารกับอีกฝ่ายด้วยความจริงใจและเมตตา

หลังจากเปิดอกคุยกันเสร็จ ไม้เท้าสีดำเข้มเลี่ยมเงินแสดงอาการสั่นเพื่อบอกเป็นนัยว่า มันจะพยายามร้องเพลงให้น้อยลงในอนาคต หากเมื่อใดที่ไม่สามารถอดกลั้น มันจะแจ้งให้เจ้านายทราบล่วงหน้า สัญญาณที่ใช้แจ้งเหตุประกอบด้วย การสั่นสะเทือนตัวเองเบาๆ หรือไม่ก็ลอยขึ้นไปในอากาศสองสามเซนติเมตร หรืออีกหลายวิธีที่มิได้กล่าวถึง

ขณะเดียวกัน มันเองก็ทำการต่อรอง:

ไคลน์ต้องไม่ถือไม้เท้าด้วยมือข้างที่สวมยุบพองหิวโหย!

แน่นอน หากเจ้าของยืนกรานจะทำ มันคงต่อต้านไม่ได้ และจำต้องก้มหน้ายอมรับชะตากรรม

ดีกว่ายุบพองหิวโหยอีก… ไม่ดื้อเท่าไร… ไคลน์กวักมือเรียกยุบพองหิวโหยและนำมาสวมไว้ที่มือซ้าย

ขณะเฝ้ามอง ‘ประตูอัญเชิญ’ ที่เกิดจากพิธีกรรม ไคลน์เริ่มพิจารณาว่าตนควรนำสิ่งใดไปสำรวจเมืองกัลเดรอนบ้าง

หุ่นเชิดทั้งสองต้องไปด้วยแน่นอน ไม่ต้องอธิบายให้สรรพคุณยืดยาว พวกมันสามารถใช้เป็นเหยื่อล่อ สามารถสำรวจเส้นทางข้างหน้า สามารถใช้เป็นหนูทดลอง ตรวจสอบว่ามีกับดักหรือไม่ ช่วยให้ ‘นักเชิดหุ่น’ ไม่ต้องเสี่ยงอันตรายมากเกินไป

เอ็นโซจะสวมแหวนบุปผาโลหิต ส่วนลูเธอร์ไวล์จะพก ‘แฮร์ริสเรเพีย’ นี่คืออุปกรณ์การรบมาตรฐาน นอกจากนั้น ไคลน์ยังวางแผนจะให้เอ็นโซใช้ไม้เท้า ‘วาจาสมุทร’

สำหรับตัวเอง ไคลน์จะเข้าไปในฐานะร่างวิญญาณ หากพบสิ่งผิดปกติแม้เพียงเล็กน้อย การอัญเชิญจะสิ้นสุดลงทันที ส่งตัวเองกลับมายังหมอกสีเทา ดังนั้น สิ่งที่พิจารณาคือ ‘เสื้อผ้า’ ที่จะสวมไปลุยศึก

นกหวีดทองแดงอะซิก? คงไม่ได้ เรื่องนี้อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับเทพมรณา และเมืองกัลเดรอนก็เคยเป็นอาณาจักรของเทพมรณาบรรพกาล… มีความเป็นไปได้สูงที่จะสร้างความผิดปรกติรุนแรง ดึงดูดอันตรายมาจากพื้นที่แกนกลาง

ไพ่จักรพรรดิมืด หรือทรราช? หืม… คราวนี้เป็นการสำรวจส่วนลึกของโลกวิญญาณ หุ่นเชิดทั้งสองมีค่าเทียบเท่าคนตายอยู่แล้ว ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกสูบเลือด… หึหึ… ลูเธอร์ไวล์เองก็เป็นครึ่งมนุษย์ครึ่งคนตาย ไม่มีเลือดสักหยด ส่วนเลือดของเอ็นโซก็มีประโยชน์แค่การทำให้ดูเหมือนคนในยามปกติ แถมยังสามารถฟื้นฟูได้ด้วยพลังของแหวนบุปผาโลหิต…กล่าวอีกนัยหนึ่ง เราสามารถนำ ‘คทาเทพสมุทร’ ไปที่กัลเดรอนได้!

อยู่ในส่วนลึกของโลกวิญญาณ… อยู่ห่างจากน่านน้ำของหมู่เกาะรอสต์ ไม่ต้องกังวลว่าจะได้รับผลกระทบจากคำสวดวิงวอนของสาวก…ปัญหาเดียวก็คือ เราจะกลายเป็นคนฉุนเฉียวและโกรธง่าย อาจทำให้ตัดสินใจหุนหัน… เรื่องนี้นับว่าอันตรายมากในภารกิจสำรวจ หืม… ยังมีวิธีแก้อยู่ แค่เราพกไพ่ทรราชที่มีระดับตัวตนสูง เพียงเท่านี้ก็สามารถระงับฤทธิ์เดชของคทาเทพสมุทรได้ในระดับหนึ่ง ช่วยให้เราไม่ฉุนเฉียวและระเบิดโทสะได้ง่ายนัก…

เมื่อผนึกกำลังระหว่างไพ่ทรราชและคทาเทพสมุทร ความแข็งแกร่งของเราจะเทียบเท่ากับลำดับ 4.5 ถือเป็นการลดความเสี่ยงลงหลายระดับ และถ้าร่วมมือกับมิสชารอนในอนาคต เราก็ยังสามารถไปได้ด้วยสภาพเดิม เพียงแค่บอกให้เธออยู่ในร่างวิญญาณอาฆาตไว้ตลอดเวลา ไม่สิ… วิญญาณมาร เท่านี้ก็ไม่มีปัญหา!

เราไม่จำเป็นต้องกังวลมากเกี่ยวกับ ‘กฎการดึงดูดระหว่างพลังพิเศษ’ เพราะในกรณีที่กัลเดรอนสามารถกีดขวางพลังของมิติหมอก เราจะส่งตัวเองกลับทันทีหลังจากตรวจสอบยืนยันจากข้างนอก ย่อมไม่มีใครสามารถล็อกเป้าและตามมาได้ทัน เพราะท้ายที่สุดแล้ว โลกวิญญาณไม่ใช่ ‘ถิ่น’ ของเส้นทางลูกเรือ… แต่ถ้ากัลเดรอนไม่สามารถกีดขวางพลังจากมิติหมอก จนยอดฝีมือลำดับสูงของโบสถ์วายุสลาตันดึงดูดเข้าหา เราสามารถใช้ประโยชน์จาก ‘ความฉุนเฉียว’ ของอีกฝ่ายได้… ทันใดนั้น ไคลน์เหยียดแขนพร้อมกับเสกให้ไพ่ทรราชบนโต๊ะทองแดงยาวลอยมาตกลงบนฝ่ามือ

ถัดมา มันสอด ‘ไพ่เย้ยเทพ’ แผ่นดังกล่าวเข้าไปในร่างวิญญาณของตัวเอง

เพียงพริบตา ออร่าของความยิ่งใหญ่และความน่าสะพรึงกลัวจากก้นบึ้งพลันแผ่ออกจากที่นั่งของเดอะฟูล มงกุฎสันตะปาปาปรากฏขึ้นบนศีรษะไคลน์อย่างเงียบเชียบ เสื้อผ้าแปรเปลี่ยนเป็นชุดคลุมทางศาสนาที่หรูหรา

ชุดคลุมยาวดูคล้ายกับเครื่องแต่งกายของสันตะปาปาในการ์ตูน ‘เซนต์เซย์ย่า’ จากโลกเก่า เพียงแต่เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเข้มจนเกือบดำ

เสียงลมโหยหวนพลันดังกังวาน ชุดคลุมของสันตะปาปาสะบัดพลิ้วในทันที ไคลน์ยกมือขวาขึ้นและค้างไว้ในอากาศ ก่อนจะคว้าคทากระดูกที่ลอยเข้ามาหา

ด้านบนของคทาถูกตกแต่งด้วยอัญมณีเปล่งแสงสีน้ำเงินหรือฟ้าอ่อนระยิบระยับ สายฟ้าที่รายล้อมกำลังหมุนเป็นเกลียวรอบตัว ‘ทรราช’ บนบัลลังก์

ตุ้บ! ไม้เท้า ‘วาจาสมุทร’ ทิ้งตัวลงกับพื้นทันที พยายามคืบคลานเข้าหาไคลน์ที่กำลังแต่งตัวเป็นสันตะปาปาและถือคทากระดูก

…………………………………………

Lord of the Mysteries

Lord of the Mysteries

ป็นเรื่องราวการข้ามโลกของหนุ่มชาวจีนนามว่า โจวหมิงรุ่ย โลกใบที่ชายคนนี้ต้องเผชิญมีลักษณะคล้ายคลึงกับยุควิกตอเรียของยุโรป ยุคสมัยแห่งจักรกลไอน้ำเฟื่องฟู สุภาพบุรุษขุนนางเดินขวักไขว่ด้วยสูทและเสื้อกั๊กมาดเท่ แน่นอน เป็นโลกที่มีพลังพิเศษ ผู้วิเศษ และ สัตว์วิเศษ แต่พลังของมนุษย์บนโลกจะไม่เหมือนกับนิยายเรื่องใด ไม่มีจอมยุทธ์ ไม่มีการบังเอิญพบคำภีลับและได้ครอบครองยอดเคล็ดวิชา ไม่ได้เกิดใหม่พร้อมกับพลังสุดโกง ไม่เลย ไม่น่าเบื่อและจืดชืดขนาดนั้น ในอดีตกาล เผ่าพันธุ์มนุษย์อันต่ำต้อยมิอาจต่อสู้กับเหล่าสัตว์วิเศษในตำนานไหว หนึ่งในหนทางครอบครอง ‘พลังพิเศษ’ ก็คือการดื่ม ‘โอสถ’ หลังจากมนุษย์ดื่มโอสถและกลายเป็น ‘ผู้วิเศษ’ พวกเขาจะข้ามขีดจำกัดเดิมตามแต่ชนิดโอสถที่ดื่ม ผู้วิเศษในโลกแบ่งออกเป็น 9 ลำดับ โดยลำดับ 9 จะอ่อนแอที่สุด หนทางอัพเกรดลำดับก็แสนพิลึก ไม่ใช่การพัฒนาพลังเหมือนนิยายเรื่องใด แต่เป็นการดื่ม ‘โอสถ’ ที่ ‘ถูกต้อง’ ตามสูตรของลำดับถัดไป พลังพิเศษไม่สามารถข้ามสายได้ โอสถแต่ละชนิดจะมีสูตรการปรุงที่แตกต่าง แถมการฝึกฝนพลังของผู้วิเศษก็ยังพิสดารเหนือคำบรรยาย เรื่องราวจะยิ่งเข้มข้นขึ้นเมื่อตัวเอกเริ่มทราบว่า อดีตมหาจักรพรรดิของโลกเมื่อร้อยปีก่อนเป็น ‘ผู้เดินทางข้ามโลก’ เหมือนกับเขา แถมยัง… เหลือทิ้งไดอารี่สุดสำคัญไว้ให้ชนรุ่นหลัง แต่ไดอารีถูกเขียนด้วยภาษาจีนที่ไม่มีใครอ่านออกแม้แต่คนเดียว… ยกเว้นโจวหมิงรุ่ย With the rising tide of steam power and machinery, who can come close to being a Beyonder? Shrouded in the fog of history and darkness, who or what is the lurking evil that murmurs into our ears? Waking up to be faced with a string of mysteries, Zhou Mingrui finds himself reincarnated as Klein Moretti in an alternate Victorian era world where he sees a world filled with machinery, cannons, dreadnoughts, airships, difference machines, as well as Potions, Divination, Hexes, Tarot Cards, Sealed Artifacts… The Light continues to shine but mystery has never gone far. Follow Klein as he finds himself entangled with the Churches of the world—both orthodox and unorthodox—while he slowly develops newfound powers thanks to the Beyonder potions. Like the corresponding tarot card, The Fool, which is numbered 0—a number of unlimited potential—this is the legend of “The Fool”.

Comment

Options

not work with dark mode
Reset