ชาฟฟ์มิได้สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงในสายตาอัลเจอร์ จึงชี้ไปทางสาวกดวงจันทร์บรรพกาลคนหนึ่งที่กำลังถูก ‘เผา’ และกล่าว
“เจ้านั่นขโมยไม้เท้าไปจากฉัน ชื่อของมันคือ ‘วาจาสมุทร’ สามารถปล่อยสายฟ้าใส่เป้าหมาย เมื่อแกว่งและฟาดจะสร้างใบมีดลมเฉือน นอกจากนั้นยังสามารถสร้างลูกบอลน้ำขนาดใหญ่และน้ำฝนที่มีฤทธิ์กัดกร่อน และยังช่วยให้ผู้ถือไม่ต้องกลัวแรงดันจากทะเลลึกอีกต่อไป รวมถึงพลังในการดึงออกซิเจนออกจากน้ำได้อย่างอิสระ ขณะเดียวกันก็สามารถใช้เป็นไม้เท้าสำหรับขึ้นขี่และเหาะ… ผลข้างเคียงด้านลบมีสามข้อ หนึ่ง มันชอบร้องเพลงมาก ในทุกหกชั่วโมงต้องร้องเพลงให้ได้ เสียงเพลงไม่จำแนกมิตรหรือศัตรู ผลลัพธ์จะแตกต่างกันไปตามประเภทของเพลงที่เลือก บางครั้งอาจทำให้เสียสมาธิ บางครั้งอาจทำให้จิตใจสั่นสะท้าน บางครั้งอาจทำให้เกิดความหงุดหงิดและบั่นทอนสติสัมปชัญญะ แน่นอน ถึงจะไม่ครบหกชั่วโมง แต่ถ้านายต้องการ ก็สามารถสั่งให้มันร้องเพลงได้… ผลข้างเคียงข้อที่สอง พวกนายคงพอจะทราบแล้วหลังจากได้ยินฉันอธิบายข้อแรก มันมีสัญญาณชีพ และเป็นประเภทที่มีบุคลิกค่อนข้างแย่ ชอบแกล้งให้ผู้ถือลื่นล้มหรือลากลงบันได บางครั้งก็ทุบตีทีเผลอ… ข้อสาม ไม้เท้าอันจะทำให้ผู้ถือถูกฟ้าผ่าได้ง่าย ดังนั้น ในสภาพอากาศที่มีพายุฝนฟ้าคะนอง ไม่ควรออกไปข้างนอกหรือพกมันไปด้วย”
นี่คือสมบัติปิดผนึกที่สร้างจากตะกอนพลัง ‘ผู้ขับขานสมุทรง’ ของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ หากเขารู้เข้าว่านายสร้างเสร็จนานแล้ว แต่ดันให้สาวกดวงจันทร์บรรพกาลเอาไปใช้ รับประกันได้เลยว่านายถูกขายให้คนที่ต้องการตัวอย่างแน่นอน… ในรูปแบบของตะกอนพลัง… อัลเจอร์มองไปทางโต๊ะอาหาร พบไม้เท้าสีดำเข้มเลี่ยมโลหะสีเงินสว่าง
เท่าที่มันทราบ ไม่สนว่าผลกระทบด้านลบจะร้ายแรงมากเพียงใด แต่สมบัติวิเศษที่มีสัญญาณชีพจะถือเป็นสมบัติปิดผนึกทั้งหมด เพราะนั่นหมายถึงอันตรายที่คาดเดาไม่ได้
เมื่อเห็นว่า ‘พลเรือเอกดวงดาว’ แคทลียาและพวกพ้องของเธอมิได้บอกให้หยุดพูด ชาฟฟ์จำต้องเล่าเกี่ยวกับสมบัติวิเศษชิ้นอื่นต่อไปด้วยสีหน้าขื่นขม
“มีดสั้นเล่มนี้มีชื่อว่า ‘มีดหมื่นพิษ’ แค่ฟังชื่อก็คงพอจะเดาได้แล้วกระมัง ฉันคงไม่ต้องอธิบายเพิ่มเติม… อา… มันจะสร้างพิษแบบสุ่มให้เป้าหมายทุกครั้งที่สร้างความเสียหาย ส่วนจะเป็นพิษแบบใด นั่นขึ้นอยู่กับดวง… ผลข้างเคียงมีน้อยมาก การปฐมพยาบาลที่เกิดขึ้นกับผู้ถือจะล้มเหลว รวมถึงการสั่งสมความรู้สึกมึนเมา”
ชาฟฟ์นำเสนอสมบัติวิเศษหลายชิ้นอย่างต่อเนื่อง จนในที่สุดก็ได้ยินแคทลียาพูด
“ทำดีมาก… ที่เหลือเป็นของนาย”
ฟู่ว… ไม่เลว อย่างน้อยก็ยังเหลือสามชิ้น… ไม่เพียงชาฟฟ์จะไม่ขุ่นเคือง ตรงกันข้าม มันรู้สึกจากก้นบึ้งว่า ‘พลเรือเอกดวงดาว’ เป็นคนดีมาก
แคทลียาหันไปมอง ‘แฮงแมน’ ทันที
“คุณเลือกก่อน”
เธอรู้ว่า ‘เดอะเวิร์ล’ เกอร์มัน·สแปร์โรว์ได้จ้างช่างฝีมือสร้างสมบัติวิเศษ จึงตัดสินใจอนุญาตให้แฮงแมนเลือกชิ้นที่เป็นของนักผจญภัยเสียสติไปก่อน
อัลเจอร์พยักหน้า นำไม้เท้า ‘วาจาสมุทร’ และ ‘แว่นตาการ์กอยล์’ ออกไป บอกเป็นนัยว่า ส่วนที่เหลือเป็นของเธอ
แคทลียาคิดสักพักก่อนจะพูด
“คุณเลือกอีกหนึ่ง ที่เหลือเป็นของฉัน”
เธอไม่สนใจสมบัติวิเศษที่เหลืออยู่มากนัก เพราะตนมีสมบัติสองชิ้นที่ค่อนข้างทรงพลังและสอดคล้องกับธรรมชาติของตัวเธอ โดยในภายหลัง เธอได้รับ ‘กระดุมผู้พิพากษา’ และ ‘ตาชั่งโชคชะตา’ ส่งผลให้ปกปิดจุดอ่อนจนมิดชิด ในสถานการณ์ปัจจุบัน เมื่อพิจารณาถึงผลข้างเคียงที่ซ้อนทับกันหลายชั้น หากไม่ใช่สมบัติวิเศษที่ยอดเยี่ยมจนเตะตา เธอก็แทบไม่ชายตามอง
แน่นอน ในฐานะนายพลโจรสลัด แคทลียาไม่เคยคิดว่าการมีสมบัติวิเศษมากเกินไปเป็นสิ่งที่ไม่ดี เพราะท้ายที่สุดแล้ว สมบัติวิเศษเหล่านั้นสามารถส่งมอบให้กับนิกายมอสส์เพื่อแลกเป็นคะแนนผลงาน ส่วนหนึ่งก็ยังมอบให้ลูกเรือ
อัลเจอร์เงียบงันสักพัก พิจารณาจากสิ่งของที่มีอยู่และพลังพิเศษของตัวเอง มันเลือก ‘มีดหมื่นพิษ’
‘พลเรือเอกดวงดาว’ แคทลียาออกคำสั่งกับฮีธ·ดอยล์ทันที บอกให้มันเก็บสมบัติวิเศษบนพื้นที่ ‘ช่างฝีมือ’ ชาฟฟ์เป็นคนวาง รวมถึงสิ่งของจากสาวกดวงจันทร์บรรพกาล เพื่อนำออกไปจากบ้าน
ถัดมา เธอมองหน้าช่างฝีมืออีกครั้ง กระจกตาสีม่วงเข้มสะท้อนภาพร่างกายของอีกฝ่าย
“ทำไมสาวกดวงจันทร์บรรพกาลถึงต้องควบคุมตัวนาย?”
ชาฟฟ์กะพริบตาและตอบ
“ของมันแน่อยู่แล้วไม่ใช่หรือ? บีบบังคับให้ฉันสร้างสมบัติวิเศษให้พวกมัน…”
ยังไม่ทันสิ้นเสียงหัวใจของชาฟฟ์พลันหยุดเต้นเมื่อต้องเผชิญหน้ากับดวงตาสีม่วงเข้มที่จ้องมาอย่างเย็นชา รีบเสริมอย่างลนลาน
“นอกจากนั้น ดูเหมือนว่าพวกมันจะมีแผนการบางอย่างที่ต้องการความช่วยเหลือจากช่างฝีมือ ส่วนจะเป็นอะไรนั้น ฉันไม่แน่ใจ เพราะยังไม่ได้เริ่มงาน”
แคทลียาถอนสายตาด้วยท่าทางครุ่นคิด มองหน้าแฮงแมนพลางผงกศีรษะ
พวกมันตัดสินใจที่จะไม่นำตัวช่างฝีมือออกไปทันที ปล่อยมันไว้อย่างเดิม ดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
กล่าวอีกนัยหนึ่ง พวกมันหวังจะสะกดรอยช่างฝีมือเพื่อสืบหาว่า สาวกดวงจันทร์บรรพกาลมีแผนการอย่างไร
อันที่จริง สำหรับเฮอร์มิทและแฮงแมน สิ่งที่สาวกดวงจันทร์บรรพกาลกำลังทำอยู่ ไม่ใช่สิ่งที่พวกมันสนใจสักเท่าไร แต่แคทลียาต้องการใช้ข้อมูลเหล่านี้เป็นข้ออ้างสำหรับติดต่อกับราชินีเงื่อนงำ ส่วนอัลเจอร์ต้องการข้อมูลไปแลกกับคะแนนผลงานของโบสถ์วายุสลาตัน ดังนั้น ทั้งสองจึงบรรลุข้อตกลงว่าสอบสวนเพิ่มเติม
แน่นอน ‘แฮงแมน’ อัลเจอร์เชื่อในหลักการหนึ่งมาตลอด:
ยิ่งคุณมีข้อมูลข่าวสารมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งถือไพ่เหนือกว่าผู้อื่นในทุกสถานการณ์!
หลังจากเงียบงันสักพัก แคทลียาพูดกับ ‘ช่างฝีมือ’ ชาฟฟ์ด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“เนื่องจากนายเป็นสาวกดวงจันทร์บรรพกาลแล้ว การพาตัวกลับไปคงไม่เกิดประโยชน์”
ชาฟฟ์พยักหน้าหงึกหงัก เป็นนัยว่าเธอพูดถูก
แคทลียาเว้นวรรคเล็กน้อย หันไปด้านหน้าและกล่าว
“แต่ฉันก็ยังหวังจะสานสัมพันธ์ระยะยาวกับนาย เพื่อการนั้น ฉันต้องการเลือดของนายสักสองสามหยด นั่นจะช่วยให้ฉันตามตัวนายได้ง่ายขึ้น”
เพียงพริบตา ใบหน้าชาฟฟ์เต็มไปด้วยความขมขื่น ริมฝีปากของมันขยับสองสามหน แต่สุดท้ายก็มิอาจกล่าวคำปฏิเสธ
ฟู่ว… มันพ่นลมหายใจและตอบ
“ตกลง”
กล่าวจบ ชาฟฟ์หยิบมีดตัดกระดาษข้างๆ ขึ้นมา เฉือนเข้าที่ปลายแขนจนเลือดไหลออกมาสองสามหยด
แคทลียายกแขนขวาทันที ตวัดฝ่ามืออย่างนุ่มนวล บังคับให้หยดเลือดเหล่านั้นลอยขึ้นและบินไปหาเธอ
หลังจากสังเกตเลือดบนฝ่ามือสักพัก นายพลโจรสลัดกล่าวอีกครั้ง
“นายนามสกุลอะไร?”
“จูนน์” ชาฟฟ์ตอบทันควัน
แคทลียาไม่กล่าวสิ่งใดต่อ เพียงหมุนตัวและเดินออกจากประตูโดยมี ‘แฮงแมน’ อัลเจอร์เดินตามหลัง
บ้านหลังดังกล่าวถูกความเงียบปกคลุมอย่างรวดเร็ว ‘ช่างฝีมือ’ ชาฟฟ์เดินไปนั่งที่โซฟาตัวหนึ่ง ไม่ขยับเขยื้อนร่างกายเป็นเวลานาน ประหนึ่งยังคงหมกมุ่นอยู่กับเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านไป ยากจะกลับสู่ความรู้สึกเดิม
ผ่านไปเกือบสิบนาที ทันใดนั้น ในท่านั่งตัวตรง ชาฟฟ์หยิบรูปปั้นมนุษย์ขนาดเล็กออกจากกระเป๋าเสื้อด้านใน
รูปปั้นดังกล่าวทำจากทองเหลืองล้วน บริเวณใบหน้าว่างเปล่า มีเลือดค่อยๆ ซึมออกจากด้านในทีละนิดจนแข็งตัวเป็นคราบ
ชาฟฟ์รีบเช็ดหน้ารูปปั้นด้วยผ้า ก่อนจะถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก ยกมุมปากพลางพึมพำกับตัวเอง:
โชคดีที่เรามี ‘ตุ๊กตาโชคชะตา’ ตัวนี้…
ฮึ… เธอคิดว่าจะใช้หยดเลือดนั่นหาเราพบจริงหรือ? ไม่ต้องไปพูดถึงเรื่องคำสาปแช่ง!
ในย่านสลัมของบายัม บนถนนที่ปราศจากโคมไฟ
อัลเจอร์ซึ่งสวมหน้ากากและผ้าคลุมศีรษะ ชำเลืองไปทางเฮอร์มิทด้านข้าง ซักถามเสียงทุ้มลึก
“หลังจากที่ชาฟฟ์หนีออกจากโบสถ์จักรกลไอน้ำ เขามีชีวิตอย่างสุขสบายได้จวบจนปัจจุบัน แสดงให้เห็นว่าเจ้านั่นไม่ใช่คนโง่เขลา การยอมมอบหยดเลือดให้คุณโดยไม่แสดงท่าทีขัดขืน แปลว่าคงมีวิธีหลีกเลี่ยงการติดตาม… อีกทั้ง เขายังไม่ได้เล่าถึงสาเหตุที่ถูกสาวกดวงจันทร์บรรพกาลพบตัว”
ในทางทฤษฎี สาวกน่าจะสืบย้อนถึงที่มาของตะกอนพลังพิเศษมนุษย์หมาป่า แต่ ‘ช่างฝีมือ’ ชาฟฟ์ก็ไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้อัลเจอร์ฟัง
แคทลียาดึงแว่นตาหนาเตอะออกมาสวมบนสันจมูก กล่าวเสียงเรียบ
“เลือดนั่น… ไม่ได้ใช้เพื่อสะกดรอย”
อัลเจอร์พยักหน้าครุ่นคิด ก่อนจะกล่าวคำอำลาและเดินเข้าไปในซอยเปลี่ยวที่มืดมิด
มันเดินวกวนไปตามถนนหลายเส้น จนกระทั่งสบโอกาสเลิกปลอมตัวและออกจากบายัม เมื่อกลับถึงท่าเรือส่วนตัวของกองกำลังต่อต้าน อัลเจอร์ตรงขึ้นเรือ ‘โทสะสีคราม’ ทันที
ตลอดหลายวันที่ผ่านมา ลูกเรือของมันผลาญพลังงานและเงินทองที่สะสมมาจนเกือบเกลี้ยง ปัจจุบันจึงกำลังหมกตัวอยู่บนเรือ รอออกทะเลอีกครั้ง
เมื่อเห็นอัลเจอร์กลับมา ลูกเรือคนหนึ่งลุกพรวดขึ้นพลางยิ้มและถาม
“กัปตัน กินมื้อเย็นรึยัง?”
“ยัง… ช่วยเตรียมอะไรง่ายๆ ให้หน่อย” อัลเจอร์มัวแต่ยุ่งอยู่กับภารกิจจนไม่มีเวลาเติมเต็มความหิว
ลูกเรือที่มีงานรองเป็นพ่อครัว ขานตอบทันที
“ไม่มีปัญหา… วันนี้พวกเรามีเห็ดสดๆ จากป่า กัปตันจะลองเห็ดทอดเนยสักหน่อยไหม?”
ใบหน้าอัลเจอร์กระตุกเล็กน้อย ก่อนจะส่ายหัวด้วยมาดนิ่ง
“ไม่เอา… ขอเป็นสเต๊กเนื้อธรรมดา… ความสุขระดับห้า… ไม่สิ สุกระดับเจ็ด”
…
ไบลัมตะวันออก ชายขอบของผืนป่า
ไคลน์กับหุ่นเชิดทั้งสองไม่รีบร้อนที่จะออกจากป่าเพื่อเข้าไปในเมือง แต่วางแผนเตรียมทำสีย้อมหน้ากากให้พลเรือเอกขุมนรก
และก่อนหน้านั้น มันมีสิ่งอื่นที่ต้องทำ
นั่นคือการตามหาผู้ช่วยในภารกิจสำรวจเขตรอบนอกของเมืองกัลเดรอน!
ไคลน์ไม่เคยเป็นหมาป่าเดียวดาย โดยเฉพาะเมื่อต้องเผชิญหน้ากับอันตรายที่ยิ่งใหญ่ ดังนั้น หากไม่มีทางเลือกอื่นแล้วจริงๆ ไคลน์คิดจะเชื้อเชิญผู้วิเศษทรงพลังมาคอยช่วยเหลือโดยแลกกับค่าตอบแทนที่เหมาะสม ไม่มีวันเข้าไปสำรวจตามลำพังอย่างประมาท
สำหรับไคลน์ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการรวบรวมวัตถุดิบโอสถที่ต้องการและรอดชีวิตกลับมา!
ถ้าเลือกได้ เราก็อยากรออีกสักสองสัปดาห์ จากนั้นก็อุ้มทารกหรือไม่ก็เข็นรถเข็นเด็กเพื่อเข้าไปสำรวจบริเวณรอบนอกของเมืองกัลเดรอน… แต่นั่นคงเป็นไปไม่ได้… ไคลน์ถอนหายใจเงียบ นำฮาร์โมนิก้านักผจญภัยออกมาเป่า
ผู้ส่งสาร ไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์ เดินถือสี่หัวออกจากความว่างเปล่าอย่างเงียบงัน
ไคลน์ครุ่นคิดสักพักก่อนจะเปิดปากพูด
“ผมอยากสำรวจเมืองกัลเดรอนในอนาคตอันใกล้ ตอนนี้มีพิกัดของโลกวิญญาณแล้ว ผมสงสัยว่า สามารถจ้างคุณไปช่วยคุ้มกันได้ไหม? ราคาเท่าไร?”
ศีรษะผมทองตาแดงทั้งสี่ของไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์อ้าปากและกล่าวเรียงกัน
“ไม่ได้…” “ข้า…” “เข้าไป…” “ไม่ได้…”
,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,