ราชันเร้นลับ 913 : การเตรียมตัวของไคลน์
พร้อมหรือยัง? แน่นอนว่าไม่… ไคลน์ยิ้มแห้งพลางชี้ไปทางหุ่นเชิดเอ็นโซ
“ถุงมือนั่นยังไม่ถูกผนึก”
ในขณะกล่าว เอ็นโซเจ้าของผิวหนังแดงจนเกือบลอก ใช้มือซ้ายที่กำลังสวมแหวน ‘บุปผาโลหิต’ และ ‘ดอกไม้เขียว’ เพื่อถอดถุงมือหนังมนุษย์จากมือข้างขวา
นี่คือยุบพองหิวโหย
ตามปรกติแล้ว หากไม่ได้ใช้งาน ไคลน์มักจะโยนยุบพองหิวโหยไว้บนมิติหมอกสีเทา เพราะหลังจากถุงมือชนิดนี้กลายพันธุ์ ผนึกเดิมไม่สามารถใช้การได้อีก ทุกวันต้องได้กินคนเป็น ไม่อย่างนั้นมันจะกินผู้สวม แต่เมื่อพิจารณาว่ามิสเตอร์อะซิกตอบจดหมายแล้ว คงใกล้มาหาเต็มที ไคลน์จึงตัดสินพกยุบพองหิวโหยติดตัวไว้บนโลกความจริง
เพราะมันไม่อยากให้เกิดบทสนทนาในทำนองนี้:
“คุณจะให้ผมผนึกถุงมือนั่นอีกครั้งใช่ไหม?”
“ใช่ครับ… ผมขอเข้าห้องน้ำสักครู่”
หรือ:
“คุณพร้อมหรือยัง?”
“ไม่ครับ… ผมขอเข้าห้องน้ำสักครู่”
เพียงจินตนาการฉากดังกล่าว ไคลน์พลันเขินอายอย่างอธิบายไม่ถูก แม้จะไม่กังวลเรื่องนี้มิสเตอร์อะซิกอาจค้นพบความลับของมิติเหนือสายหมอก แต่ไคลน์ก็เป็นห่วงภาพลักษณ์ของตัวเอง
ดังนั้น หลังจากได้รับหุ่นเชิดใหม่และเสร็จสิ้นการทดสอบ ‘มองตัวเอง’ ไคลน์นำยุบพองหิวโหยกลับมายังโลกความจริงและจัดการอาหารของมันให้เรียบร้อยล่วงหน้า
โดยไม่เหมือนกับทุกครั้ง ผู้สวมใส่เปลี่ยนจากตัวเองเป็นหุ่นเชิดเอ็นโซ
นอกจากที่ว่ามาข้างต้น เพื่อระงับแรงกระตุ้นในการกินคนของยุบพองหิวโหย ไคลน์พกเห็ดธรรมดาติดตัวไว้สองสามดอก และให้หุ่นเชิดรักษาระยะห่างต่ำกว่าห้าเมตรเสมอ
ได้ยินคำถามของชายหนุ่มและได้เห็นพฤติกรรมของหุ่นเชิด อะซิกพยักหน้ารับ เหยียดแขนออกไปจับถุงมือหนังมนุษย์
ไคลน์ฉวยโอกาสหยิบเห็ดออกมาจากกระเป๋าและทิ้งลงถังขยะที่ไม่ห่างออกไป
เป๊าะ!
ชายหนุ่มดีดนิ้วเพื่อให้เห็ดเผาตัวเอง เปลวไฟแดงก่ำลุกโชน แต่มิได้ไม่กระทบกับสิ่งรอบข้าง
นี่คือพลัง ‘ควบคุมไฟ’ ของนักมายากล
หลังจากจัดการเสร็จ เมื่อเห็นสายตาของอะซิกมองตรงมาทางตน ไคลน์หัวเราะแห้ง
“การกลายพันธุ์ทำให้ยุบพองหิวโหยค่อนข้างหวาดกลัวเห็ด ผมจึงใช้จุดอ่อนดังกล่าวเพื่อควบคุมความกระหายของมัน”
อันที่จริง การพกเห็ดติดตัวแทบไม่มีประโยชน์ในแง่การควบคุมความกระหายของยุบพองหิวโหย จริงอยู่ สมบัติปิดผนึกรายนี้อาจสูญเสียตัวตนไปชั่วคราว แต่ทันทีที่เห็ดหายไป ถุงมือจะหันมาแว้งกัดผู้สวมทันที เว้นเสียแต่จะมี ‘อาหาร’ อื่นที่หากินได้ง่ายกว่าถูกวางอยู่ตรงหน้า
“เห็ด…” อะซิกถือถุงมือเปื้อนเลือดพลางพึมพำ จากนั้นก็เปลี่ยนให้บรรยากาศโดยรอบมืดลง ประหนึ่งแสงแดดนอกหน้าต่างถูกปฏิเสธมิให้เข้ามา
ไม่ว่าสัญลักษณ์ อักขระ หรือลวดลาย ไม่ว่าจะมีสีเทาอ่อนหรือเขียวเข้ม ความพิศวงจำนวนมากกำลังผุดขึ้นในอากาศ คล้ายกับกำลังถูก ‘เขียน’ ด้วยสิ่งมีชีวิตที่มองไม่เห็น เช่นวิญญาณอาฆาต เงาดำ และวิญญาณ
พวกมันพัวพันและรวมตัวอยู่กลางอากาศ จากนั้นก็ค่อยๆ แปรสภาพกลายเป็นบานประตูทองแดงที่ลึกลับและมายาที่ดูคล้ายจะเชื่อมต่อกับอีกโลกหนึ่ง เป็นโลกที่เปี่ยมไปด้วยความลุ่มลึก เงียบสงัด และสยองขวัญ
ประตูมายาบานดังกล่าวค่อยๆ หดตัวลง จนในที่สุดก็ถูกวางลงบนยุบพองหิวโหย ส่งผลให้เลือดที่เปื้อนบนผิวหนังจางลงอย่างรวดเร็ว เหลือทิ้งไว้เพียงความซีดเซียว
ไม่กี่วินาทีถัดมา ถุงมือหนังข้างนี้กลับเป็นปรกติอีกครั้ง ลักษณะภายนอกยังคงเป็นถุงมือหนังแผ่นบาง แต่ถึงแม้จะไม่มีเห็ดคอยข่มความกระหาย มันก็จะไม่แสดงอาการฉุนเฉียวหรือกระหายเลือด
“เป็นเหมือนเดิมแล้ว” อะซิกยื่นยุบพองหิวโหยให้ไคลน์
รู้สึกดีที่มีลูกพี่ใหญ่คอยสนับสนุน! ไคลน์ถอนหายใจพลางขอบคุณจากก้นบึ้ง จากนั้นก็สวมยุบพองหิวโหยที่มือซ้าย
ครุ่นคิดสักพัก มันตัดสินใจเป็นฝ่ายเปิดปาก
“มิสเตอร์อะซิก นับตั้งแต่ที่ผมเคลื่อนที่ผ่านทะเลคลั่งด้วยนกหวีดทองแดงที่คุณเคยมอบให้ ความฝันเดิมๆ ผุดขึ้นอย่างต่อเนื่อง… ฉากภายในความฝันทั้งมืดมนและเย็นชา เป็นภาพของสุสานกลับหัวที่จมลึกลงไปในดิน ด้านในเต็มไปด้วยโลงศพ ในโลงศพมีคนตายนอนอยู่ ด้านหลังคนตายมีขนนกสีขาว… ขนนกเหล่านั้นถูกย้อมด้วยน้ำมันสีเหลือง และในส่วนลึกสุดของสุสาน หมอกสีดำแผ่ออกมาจนดูคล้ายกับปกคลุมทุกสิ่ง… ภายในฝัน คุณและผมกำลังสำรวจสุสานดังกล่าว พวกเราเผลอไปกระตุ้นบางสิ่งที่น่ากลัวเข้า ทำให้หมอกดำส่งเสียงหอบกระเส่าพร้อมกับแผ่ท่อมายาสีดำบางๆ ออกมาหา… ผมจะตื่นทุกครั้งที่ฝันถึงตรงนี้… ทั้งหมดฟังดูเหมือนผลลัพธ์ของโครงการสร้างมรณาเทียมของนิกายวิญญาณ”
ไคลน์อ้างว่าเป็นความฝัน แต่ความจริงแล้วเป็นภาพที่ตนเห็นจากการทำนายฝันผ่านนกหวีดทองแดง รายละเอียดถูกเล่าอย่างลงลึกเพื่อเตือนสติมิสเตอร์อะซิก ไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายประมาทเลินเล่อ และเหนืออื่นใด ‘การทำนายฝัน’ ก็เทียบเท่ากับความฝันประเภทหนึ่ง และอะซิกก็ทราบว่าไคลน์เป็นผู้วิเศษของเส้นทางนักทำนาย ไม่แปลกที่จะเผชิญเหตุการณ์ในทำนองนี้
วิวรณ์จากความฝันปรกติและวิวรณ์จาก ‘การทำนายฝัน’ มีความแตกต่างเพียงเรื่องเดียว นั่นคือ แบบหนึ่งเป็นประเภทเรียกใช้งาน และอีกแบบหนึ่งจะเกิดขึ้นตามธรรมชาติ
อะซิกฟังอย่างเงียบงัน มิได้พูดขัดจังหวะไคลน์ จนท้ายที่สุดก็พยักหน้าและตอบ
“น่าจะเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เทพมรณาทิ้งไว้ในทะเลคลั่ง… โครงการสร้างมรณาเทียมของนิกายวิญญาณดูเหมือนจะมีความคืบหน้าไปมากทีเดียว”
แม้ว่ามิสเตอร์อะซิกจะเป็นถึง ‘กงสุลมรณะ’ แห่งยุคสมัยที่สี่ แต่เขาก็มิได้ดูแคลนความฝันของเรา… ไคลน์ยกมือขวาลูบหน้าและแปลงโฉมให้เป็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์
จากนั้นก็กล่าว
“เหลืออีกหนึ่งเรื่องที่ผมต้องเตรียมตัว นั่นคือการยืนยันให้แน่ใจว่า ‘พลเรือเอกขุมนรก’ ลูเธอร์ไวล์มิได้อยู่ในสถานที่อันตราย และไม่มีครึ่งเทพของนิกายวิญญาณอยู่ใกล้ๆ”
สำหรับคำถามที่ว่า กระดุมข้อมือเมอร์ล็อคยังอยู่บนเรือของอีกฝ่ายหรือไม่ ไคลน์มิได้คาใจ เพราะมันคอยทำการตรวจสอบในทุกสองสามวันเสมอและยืนยันได้ว่า ‘พลเรือเอกขุมนรก’ ลูเธอร์ไวล์ยังมิได้ค้นพบสมบัติวิเศษดังกล่าว หรืออาจหาพบแล้วแต่จงใจไม่ขยับ เขยื้อน รอให้ ‘นักผจญภัยเสียสติ’ เกอร์มัน·สแปร์โรว์แวะมา ‘เยี่ยมเยียน’ กับดักด้วยตัวเอง
อะซิกตอบอย่างใจเย็น
“ไว้พวกเราเข้าไปใกล้ๆ ก็จะรู้เอง”
“ตกลง” ไคลน์บังคับให้เอ็นโซเดินไปที่ชั้นวางเสื้อนอกและหยิบไม้ค้ำเลี่ยมทองออกมา
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเตรียมตัวเสร็จแล้ว อะซิกยกมือขวาขึ้นมาจับไหล่ไคลน์
ไคลน์เองก็เหยียดมือขวาออกไปจับไหล่เอ็นโซ
สีสันของทัศนียภาพรอบตัวพลันแปรเปลี่ยนอย่างกะทันหัน แดงยิ่งแดงฉาน ดำยิ่งดำสนิท ฟ้ายิ่งฟ้าฉูดฉาด เส้นแสงมากมายซ้อนทับหลายชั้น มอบความสว่างแต่คมชัด
คนทั้งสองเริ่มเดินทางผ่านโลกวิญญาณ ไม้ค้ำสีดำเลี่ยมทองกำลังบิน ‘ตรงไปข้างหน้า’ พร้อมกับชี้ตำแหน่งและทิศทางของกระดุมข้อมือเมอร์ล็อคที่หายไป
ผ่านไปสักพัก ไม้เท้าหยุดชะงักกลาง ‘อากาศ’ อะซิกก็เองก็หยุดการเคลื่อนไหว แต่ยังไม่ออกจากโลกวิญญาณ
คล้ายกับกำลังพิจารณาบางสิ่ง คล้ายกับกำลังฟังบางอย่าง ผ่านไปราวสองสามวินาที มันเปิดปากพูด
“ไม่มีปัญหา”
กล่าวจบ มันพาไคลน์ที่กำลังจับหุ่นเชิด ‘เดิน’ ออกจากโลกวิญญาณ
ขณะเดียวกัน ไคลน์หวนนึกถึงประสบการณ์ในอดีต เมื่อครั้งที่ตนและมิสเตอร์อะซิกพยายามฟื้นฟูความทรงจำด้วยการตามล่าเอกสารโบราณที่อยู่ในมือของ ‘พลเรือโทโรคภัย’ เทรซี่
ณ ตอนนั้น อะซิกบอกว่า ‘ปัญหาไม่ร้ายแรง’ แต่ผลลัพธ์กลับออกมาเป็น ที่นั่นมี ‘แม่มดยุพนิรันดร์’ คาร์เทอริน่ารออยู่
ไม่มีปัญหา… ก็ได้… ไม่มีปัญหาก็ไม่มี… ไคลน์มองไปรอบตัวพลางพึมพำ
นี่คือสภาพแวดล้อมที่มันค่อนข้างคุ้นเคย เรือใบลำใหญ่ที่กำลังส่องแสงท่ามกลางความมืดอมเขียว ธงเรือเป็นดอกทิวลิปสีดำสนิท รวมไปถึงซอมบี้ โครงกระดูก วิญญาณ เงาดำ และสิ่งมีชีวิตอันเดดชนิดอื่นที่คอยควบคุมใบเรือ บ้างก็ลาดตระเวน บ้างก็เฝ้าปืนใหญ่ ปัจจัยทั้งหมดช่วยยืนยันว่าที่นี่คือ ‘ทิวลิปดำ’ เรือธงของ ‘พลเรือเอกขุมนรก’
ความแตกต่างที่ไคลน์เห็นจากครั้งก่อนก็คือ ณ ปัจจุบัน ‘ทิวลิปดำ’ เต็มไปด้วยผู้วิเศษที่ยังมีชีวิต
ในสภาพเหน็บดาบเล่มบางไว้ข้างเอว สวมเสื้อเชิ้ตโจรสลัดรุ่มร่าม สวมเสื้อนอกหรูหรา สวมหมวกสามมุมที่มีสัญลักษณ์กะโหลกสีขาว และสวมหน้ากากสีเงิน กัปตันเรือทิวลิปดำ ‘พลเรือเอกขุมนรก’ ลูเธอร์ไวล์กำลังยืนอยู่หน้าทางเข้าเขตห้องโดยสาร จ้องมองมาทางไคลน์
ทันใดนั้น แหวนสี่เหลี่ยมสีดำที่ลูเธอร์ไวล์สวมบนมือขวาพลันสั่นระริกพร้อมกับส่องแสงสว่างวาบ
เปลวไฟสีซีดในดวงตานายพลโจรสลัดผู้เย่อหยิ่งพลันไหววูบพร้อมกับหดขนาดลง
ถัดมา ลูเธอร์ไวล์รีบเดินไปหาอะซิก·อายเกสพลางหมอบกราบและจุมพิตลงบนดาดฟ้าเรือ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นต่อหน้าลูกเรือจำนวนมากที่กำลังยืนทึ่งหรือไม่ก็ประหลาดใจ
…………………………………………