ราชันเร้นลับ 863 : งานเลี้ยงการกุศล
“พ่อบ้านของคุณแอบศึกษามนต์ดำ”
“บุรุษรับใช้ของคุณแอบนับถือเทพมรณา”
“ใครบางคนในเพื่อนบ้านคุณมีพลังพิเศษ”
“ในละแวกที่คุณอาศัยอยู่ มีพลังลึกลับบางอย่างทำให้คนฝันแปลกๆ”
“คุณน่าจะเข้าใจความหมายที่พวกเราต้องการสื่อ จะไม่มีการอธิบายมากกว่านี้ ขอให้เทพธิดาอวยพรคุณ”
“…” ไคลน์ก้มมองจดหมายในมือ หัวเราะไม่ได้ร่ำไห้ไม่ออก
ผ่านไปสองสามวินาที มันยิ้มจิกกัดตัวเอง
พิจารณาจากเนื้อหาของจดหมาย… เราคือคนที่น่าสงสารพิลึก…
สิ่งที่พวกเธอเล่า ไม่มีอะไรผิดปรกติไปจากที่เราทราบ…
หลังจากยิ้มและส่ายหน้า ไคลน์ใช้มือหนึ่งถือจดหมาย มองไปด้านข้าง
เปลวไฟสีแดงลุกท่วมกระดาษในมือทันที
อย่างไรก็ดี มิสซิลและมิสเมจิกเชี่ยนมีน้ำใจกว่าที่คิด ถึงสิ่งที่พวกเธอบอก จะเป็นข้อมูลที่เรารู้อยู่แล้วก็เถอะ… แถมยังรู้ลึกกว่าหลายเท่า… ไคลน์รำพันพลางหยิบเห็ดที่ซ่อนไว้ออกมา
เห็ดมีทั้งสิ้นสี่ชนิด ชนิดแรกมีสามดอก เป็นเห็ดอบแห้งของเก่าที่สามารถทำปฏิกิริยากับน้ำและปลา ชนิดที่สองมีหมวกสีทอง ส่งกลิ่นแป้งเจือจาง ชนิดที่สามมีพื้นหลังสีขาว มีจุดสีดำประปราย ลักษณะอ้วนฟู คล้ายกับมีของเหลวอยู่ด้านใน ส่งกลิ่นนมเจือจาง ชนิดที่สี่มีอวัยวะคล้ายเหงือกแนบลำตัวทั้งสองฝั่ง ผิวปกคลุมด้วยเกล็ดละเอียด แต่อ่อนนุ่ม
ไคลน์ชำเลืองมองเห็น หยิบเหรียญทองออกมาดีดขึ้นไปในอากาศ
เมื่อยืนยันผลลัพธ์ ชายหนุ่มถอดถุงมือออก ใช้มือเปล่าหยิบเห็ดสามชนิดใหม่ พยายามทดลองในสิ่งที่แฟรงค์มิได้กล่าวถึง
หลังจากลองสัมผัสและไม่พบความผิดปรกติหรือการเปลี่ยนแปลง ไคลน์ถอนหายใจโล่งอก ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับอันตรายพื้นฐานในอนาคต
ชายหนุ่มกังวลว่า เห็ดเหล่านี้จะแผ่รากทันทีที่สัมผัสกับเลือดเนื้อ ขยายพันธุ์และแพร่สปอร์
บางที อาจเป็นเพราะโคมไฟผนังกำลังสว่างอยู่ ทำให้ที่นี่ไม่ใช่สภาพแวดล้อมมืด หรือไม่ก็เป็นเพราะหลังจากเห็ดถูกเก็บเกี่ยว สัญญาณชีพส่วนใหญ่จะหายไป การจะกลับมามีชีวิตอีกครั้งต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขพิเศษ เช่นในท้องของสิ่งมีชีวิต… ไคลน์ต้องการพิสูจน์ให้ชัดเจน จึงปิดม่านทั้งหมดในห้องนอนใหญ่ ดับโคมไฟผนัง
จากนั้น ชายหนุ่มหยิบเห็ดชนิดใหม่ขึ้นมาถือด้วยมือเปล่า พบว่าพวกมันมิได้สูบเลือดเนื้อของตนเข้าไป ไม่แสดงอาการผิดปรกติ
จัดการเสร็จ ไคลน์จุดโคมไฟผนังอีกครั้ง ประกอบพิธีกรรมสังเวยเห็ดเข้าไปในมิติเหนือสายหมอก
นั่งบนเก้าอี้เดอะฟูล ไคลน์ไม่รีบร้อนเสกยุบพองหิวโหยจากกองขยะ อันดับแรก มันเสกขวดโลหะที่บรรจุเลือดของตัวเองขึ้นมาวางบนโต๊ะทองแดงยาว
ถัดมา ชายหนุ่มเทเลือดลงบนโต๊ะ นำเห็ดใหม่ทั้งสามชนิดมาวาง
ภายในหนึ่งวินาที ส่วนที่สัมผัสเลือดของเห็ดเริ่มนุ่มลง ยุบพองตัวเองเล็กน้อยก่อนจะมีบางสิ่งที่คล้ายเข็มงอกออกมา
“…” มุมปากไคลน์กระตุกเล็กน้อย ตามด้วยการเคลื่อนพลังของมิติหมอกเพื่อผนึกเห็ดให้แน่นิ่ง ก่อนจะเสกให้เลือดลอยกลับเข้าไปในขวดและปิดผาสนิท
เมื่อเข้าใจลักษณะพิเศษของเห็ด ชายหนุ่มไม่มัวเสียเวลา รีบเสกยุบพองหิวโหยออกจากกองขยะ
ไคลน์นำถุงมือหนังมนุษย์แผ่นบางในมือวางลงบนเห็ดและคลายผนึก
จากนั้น ชายหนุ่มเห็นยุบพองหิวโหยค่อยๆ พยุงตัวยืนด้วยนิ้วทั้งห้าและวิ่งหนีเห็ด ดูคล้ายกับกำลังบรรเลงเปียโน
กลัวเป็นกับเขาด้วยหรือ? ไคลน์ยิ้มอย่างพึงพอใจ ถือถุงมือหนังมนุษย์ไว้ข้างหนึ่ง ตามด้วยการเคลื่อนพลังของมิติหมอกมาสยบถุงมือ
จากนั้น ชายหนุ่มใช้มืออีกข้างหยิบเห็ดมาวางใกล้ๆ กับยุบพองหิวโหย
ถุงมือหนังมนุษย์พยายามดิ้นรนสุดชีวิต แต่ก็มิอาจหยุดพ้น จึงเริ่มออกอาการสั่นเทา
ไคลน์หยุดขยับมือข้างที่ถือเห็ด หัวเราะในลำคอ
“ยังจะเอาแต่สรรเสริญพระผู้สร้างแท้จริงอยู่อีกไหม?”
ยุบพองหิวโหยยังคงดิ้นรน ไม่มีการตอบสนอง
ไคลน์ครุ่นคิดสักพัก ตัดสินใจประนีประนอม
“ข้าอนุญาตให้เจ้าสรรเสริญได้วันละหนึ่งครั้ง ช่วงเช้าตรู่หรือไม่ก็ช่วงเย็น”
การดิ้นรนของยุบพองหิวโหยลดลงเล็กน้อย แต่ยังไม่หยุดโดยสมบูรณ์
ชิ… ไคลน์ยังคงพยายามต่อรอง
“วันละสามครั้ง ช่วงมื้อเช้า กลางวัน และเย็น แต่เจ้าต้องเตือนล่วงหน้า”
ยุบพองหิวโหยดิ้นรนต่อไปอีกสองสามครั้ง ก่อนจะทิ้งตัวนอนแผ่บนโต๊ะ แน่นิ่งราวกับไร้วิญญาณ
หลังจากต่อรองอีกเล็กน้อย ไคลน์บรรลุการเจรจากับยุบพองหิวโหยในการประเด็นสรรเสริญพระผู้สร้างแท้จริง แต่การต้องกินมนุษย์ทุกวันนั้นเป็นสัญชาตญาณจากก้นบึ้ง ลำพังการต่อรองไม่ช่วยอะไร ไคลน์ไม่มีทางเลือกนอกจากรอวิธีผนึกของมิสเตอร์อะซิก หากต้องการใช้งานยุบพองหิวโหย ต้องหาอะไรให้มันกินภายในยี่สิบสี่ชั่วโมง
น่ารำคาญฉิบ… โชคดีที่ยุบพองหิวโหยผสานเข้ากับมิสเตอร์ A และเห็ด สัญญาณชีพจึงแข็งแรงขึ้น ไม่อยากนั้นคงมิอาจเจรจาต่อรองกันได้… ไคลน์ถอนหายใจ ตามด้วยการทำนายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในระยะหลัง พบว่าตนยังไม่เผชิญกับอันตราย และการฆ่าตัวตายของคารอนเกิดจากฝีมือพลังพิเศษ
หลังจากจัดการทั้งหมดเสร็จ ไคลน์ออกจากมิติเหนือสายหมอก กลับมายังโลกความจริง รอคำตอบจากมิสเตอร์อะซิก
…
คืนวันเสาร์ ไคลน์ในชุดสูททางการ เดินทางไปยังวิหารนักบุญแซมมวลพร้อมกับบุรุษรับใช้ริชาร์ดสัน เข้าร่วมงานเลี้ยงการกุศลที่ทางโบสถ์รัตติกาลเป็นเจ้าภาพ
หลังจากผ่านทางเข้าวิหาร นักบวชเดินนำทางมายังห้องโถงด้านข้าง
ด้านในมีซุ้มขนาดใหญ่ประดับตราศักดิ์สิทธิ์ของเทพธิดารัตติกาล เหนือขึ้นไปมีโคมไฟระย้าขนาดเล็กเรียงราย ด้านหน้าซุ้มมีแทงเทียนไขเรียวยาว ตรงโคนมีถาดโค้งรองรับขี้ผึ้งละลาย
ในเวลานี้ เทียนไขทุกเล่มถูกจุด มอบความบริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์ให้แก่ห้องโถง
ไคลน์มองเข้าไปและเห็นที่นั่งถูกจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบ เห็นแขกที่แต่งกายเรียบร้อยดูดี
ในหมู่แขก การแต่งกายของสตรีแบ่งออกได้เป็นสองประเภท แบบแรกคือกลุ่มที่แต่งกายด้วยเดรสสีสว่างหรือไม่ก็ฉูดฉาด ค่อนข้างเผยเนื้อหนังและเรือนร่าง บางรายสามารถมองเห็นเนินอกหรือหัวไหล่ชัดเจน แบบที่สองคือกลุ่มที่ค่อนข้างหัวเก่า แต่งกายด้วยสีสุภาพและมิดชิด แทบไม่เผยให้เห็นไหปลาร้า บางรายปิดทับไปเลย
เท่าที่ไคลน์ทราบ พิจารณาจากวัฒนธรรมของชาวโลเอ็น การแต่งกายสองประเภทนี้คือจุดแบ่งระหว่างสตรีที่สมรสแล้วกับสตรีที่ยังโสด ในกรณีของหญิงม่ายและหญิงที่หย่าร้าง พวกเธอสามารถเลือกใส่แบบไหนก็ได้ แต่หญิงม่ายมักแต่งกายด้วยสีโทนมืด
นอกจากนั้น ไคลน์ยังเห็นสร้อยคอแวววาว ต่างหูหรูหรา รวมถึงเครื่องประดับล้ำค่าอีกหลายชนิด เมื่อเทียบกับงานเต้นรำและงานเลี้ยงที่จัดโดยส.ส. มัคท์และตน แขกของที่นี่มีระดับสูงกว่าอย่างเห็นได้ชัด
หลังจากก้าวเข้าไปในห้อง ไคลน์ทักทายบิชอป ส.ส. มัคท์ และคนรู้จักตามมารยาท
ทันใดนั้น มีเสียงหนึ่งดังมาจากประตู แขกทุกคนที่หันไปมองต่างพากันเผยรอยยิ้ม
เมื่อไคลน์หันไปมอง ดวงตาของมันเบิกกว้างก่อนจะแข็งทื่อ
ณ ทางเข้าห้องโถง สิ่งที่สะดุดตาที่สุดคือหญิงสาวผมสีทองสว่าง นุ่มสลวยประป่า ดวงตาของเธอมีสีเขียวระยิบระยับราวกับอัญมณี กึ่งกลางดวงตาคล้ายกับวังวนวารีในทะเล ใครก็ตามที่ได้เห็นยากจะละสายตาไปไหน
สตรีคนดังกล่าวบรรยากาศรอบตัวสดใส ใบหน้างดงามจนแทบจะไร้ที่ติ คนรอบข้างทุกเพศทุกวัยล้วนถูกสะกดจนแทบจะไม่มีใครสนใจเครื่องประดับหรือเสื้อผ้า แต่ไคลน์ฝืนใจเบือนสายตาลงมายังบริเวณลำคอ มองเห็นสร้อยไข่มุกเลอค่าเม็ดกลมที่ ‘ฝัง’ อยู่ในจุดกึ่งกลางตรงที่กระดูกไหปลาร้าบรรจบ ช่วยให้เส้นใต้ลำคอกลมกลืนและนุ่มนวล มอบเสน่หาอันเหนือคำบรรยาย
ไคลน์เคยพบเธอมาก่อน เป็นคนรู้จัก!
ไม่ใช่ใครนอกจาก ‘มิสจัสติส’ แห่งชุมนุมทาโรต์!
ย้อนกลับไปตอนที่อีกฝ่ายเคยใช้ ‘กระจกวิเศษทำนาย’ ไคลน์เคยเห็นใบหน้านี้มาแล้ว!
ทันใดนั้น ชายหนุ่มรีบเบือนสายตาหนี ไม่กล้าจ้องอยู่นาน
นี่คือท่าทีตอบสนองโดยอัตโนมัติ เพราะไคลน์ตระหนักดีว่า อีกฝ่ายคือผู้วิเศษเส้นทางผู้ชม หากตนตกเป็นเป้าสนใจของมิสจัสติส เธอสามารถอ่านความคิดและเจตนาได้จากภาษากาย รวมไปถึงความลับที่ซ่อนอยู่
แต่หลังจากไตร่ตรองสักพัก ไคลน์ตัดสินใจหันกลับไปมองหน้ามิสจัสติสอีกครั้ง
มันเชื่อว่า หากตนหลบหน้า นั่นจะเป็นพฤติกรรมที่แปลกประหลาดยิ่งกว่า
สำหรับสุภาพบุรุษที่หลงใหลสตรีทุกวัย เป็นไปได้ด้วยหรือที่จะไม่จ้องหญิงงามเช่นนี้ตาค้าง?
ขณะเดียวกัน ออเดรย์สัมผัสถึงความผิดปรกติจากสุภาพบุรุษบางคนเป็นพิเศษ
ขมับมีขนสีขาวแซม หน้าตาและบุคลิกค่อนข้างดี บรรยากาศรอบตัวลุ่มลึก… คงเป็นชายผู้บริษัทเงินหลักหมื่นปอนด์เพื่อก่อตั้งกองทุนการศึกษาเพื่อคนยากไร้ มิสเตอร์ดอน·ดันเตส…
ท่าทีตอบสนองแปลกมาก ราวกับกำลังเก็บซ่อนบางสิ่ง…
สำหรับออเดรย์ การเบือนสายตาหนีในตอนแรกของดอน·ดันเตสถือเป็นเรื่องปรกติ เพราะเธอเคยพบท่าทีตอบสนองเช่นนี้บ่อยครั้ง – สุภาพบุรุษจำนวนไม่น้อย หลังจากเผลอจ้องเธอจะรีบเบือนหน้าหนีตามจิตใต้สำนึก กังวลว่าจะถูกเธอรู้ตัว กังวลว่าจะเผลอสบตากัน กังวลว่าจะเผลอเผยสีหน้าหลงใหล
ดังนั้น สิ่งที่ผิดปรกติไม่ใช่การเบือนหน้าหนีของดอน·ดันเตส แต่เป็นการหันกลับมามอง นอกจากนั้น สิ่งที่ออเดรย์พบว่าไม่ปรกติมากที่สุดคืออารมณ์ของอีกฝ่าย คล้ายกับทางนั้นกำลังตกตะลึงมากกว่าประทับใจ
เขาตกตะลึงในเรื่องใด? พยายามปกปิดสิ่งใด? ออเดรย์ผุดคำถามในใจพลางฉีกยิ้มทักทายผู้คนขณะเดินตามพ่อแม่และพี่ชาย
เมื่อเห็นว่ามิสจัสติสเลิกสนใจตน ไคลน์ถอนหายใจโล่งอก ครุ่นคิดเล็กน้อย
หลังจากนี้ต้องสวมบทบาทเป็นดอน·ดันเตสให้ดี เพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น อย่าให้ ‘ผู้ชม’ จับสังเกตได้เด็ดขาด…
อา ไม่ว่ามิสจัสติสจะพบความผิดปรกติหรือไม่ แต่เราต้องคิดหาข้ออ้างรองรับพฤติกรรมตัวเองไว้ล่วงหน้า…
มิสจัสติสเป็นคุณหนูของตระกูลใหญ่จริงๆ ด้วย… นามสกุลอะไรกันนะ… ไว้ค่อยถามมัคท์หรืออีเล็คตร้าทีหลัง…
ท่ามกลางความคิดมากมายที่แล่นผ่าน ไคลน์ขมวดคิ้วเล็กน้อย สัมผัสได้ว่ามีใครบางคนกำลังจ้องมอง จึงรีบหันไปทางประตูตามสัมผัสวิญญาณ
ในเงามืดด้านนอกประตู สุนัขโกลเดนรีทรีเวอร์ตัวใหญ่กำลังนั่งอย่างเงียบงัน