ถุงมือหนังมนุษย์แผ่นบางมีลักษณะไม่ต่างจากเมื่อก่อน แต่ไคลน์ไม่กล้าประมาท ยอมเสียเวลาทำนายเพื่อตรวจสอบเบื้องต้น
นอกจากนิ้วทั้งห้า ฝ่ามือและหลังมือยังกักเก็บดวงวิญญาณเพิ่มได้อย่างละหนึ่ง…
ปัจจุบัน ทั้งเจ็ดตำแหน่งถูกจับจองเต็มแล้ว… พลังบางชนิดมีสัญญาณของการหลอมรวมเข้าด้วยกัน…
ที่เพิ่มเข้ามาคือเวทมนตร์เลือดเนื้อ…
ความเร็วในการสลับใช้ดวงวิญญาณเพิ่มขึ้นมาก…
จำเป็นต้องกินคนทุกวัน ไม่อย่างนั้นจะกินเจ้าของ… หึหึ ยุบพองหิวโหยเอ๋ย… เจ้ากลับไปโอหังอีกแล้วหรือ? คงต้องจับไปสั่งสอนบนมิติหมอกกันอีกครั้ง…
ปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลมากกว่านี้ ไว้ออกจากหมู่บ้านสายหมอกเมื่อไร ค่อยทำนายอย่างละเอียดบนมิติลึกลับ…
อา… ถึงจะยังไม่รู้เกี่ยวกับผลข้างเคียงอื่น แต่เท่าที่ทราบในปัจจุบัน มันจะยังไม่ทำอันตรายกับเรา…
นอกจากนั้น มิสเตอร์ X ที่ถูกต้องเข้าไปก็มิได้ก่อความวุ่นวาย พลัง ‘เปิดประตู’ และ ‘ท่องเที่ยว’ ยังคงใช้งานได้ตามปรกติ…
ไคลน์ถอนหายใจโล่งอก สวมยุบพองหิวโหยไว้ที่มือซ้าย จากนั้นก็เดินเข้าไปในวิหาร หาทางออกจากที่นี่โดยเร็ว
และในขณะที่กำลังเล่นซ่อนแอบอยู่กับ ‘เห็ดยักษ์’ ชายหนุ่มไม่ลืมใช้ ‘กลลวงตา’ เพื่อสร้างเสื้อกันลมและหมวกทรงสูง
ในส่วนของตะกอนพลัง ‘พลเรือเอกโลหิต’ เซนอล ไคลน์เชื่อว่าคงอยู่ในมือ ‘แม่มดสิ้นหวัง’ พานาเทีย และครึ่งเทพรายนี้กำลังถูกแขวนอยู่ในวังโบราณด้านหลังประตู ท่ามกลางสายตาจดจ้องของกลุ่มหนอนแมลงสีใส
เฮ่อ… ถึงเนื้อของเซนอลจะยังไม่ถูกพานาเทียกินจนหมด และน่าจะเก็บไว้ในฐานะอาหารสำรอง แต่ตะกอนพลังต้องควบแน่นกลายเป็นก้อนอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง… ตอนนี้ผ่านมานานมาก ตะกอนพลังเซนอลน่าจะตกผลึกเสร็จแล้ว ถึงแม่มดสิ้นหวังจะไม่แยแสและโยนทิ้งไว้ที่ใดสักแห่งในหมู่บ้านสายหมอก แต่ที่นี่เชื่อมต่อกับโลกวิญญาณไม่ได้ ยากจะใช้พลังทำนายค้นหา… การเดินหาไปเรื่อยๆ ก็ไม่ใช่วิธีที่ฉลาดนัก ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดเหตุการณ์พิสดารแบบไหนอีก แผ่นหินออบซิเดียนอาจระเหยหายไปเองก็ได้… เราต้องแข่งกับเวลา รีบหนีออกไปโดยเร็ว… ไคลน์เดินผ่านประตูที่เปิดแง้ม กลับเข้าไปในวิหารด้วยแผนการชัดเจน
แม้จะเคยสัญญากับชารอนว่า ตนจะขายตะกอนพลัง ‘วิญญาณอาฆาต’ ของเซนอลให้มาริค แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันถูกปนเปื้อนไปมากแล้ว ยากจะนำมาปรุงเป็นโอสถ นอกจากนั้น ความปลอดภัยของตัวไคลน์เองก็สำคัญกว่า
อันที่จริง ปัญหานี้ยังมีทางออก แค่เราล่า ‘วิญญาณอาฆาต’ อีกสักคนก็สิ้นเรื่อง หรือไม่ก็ขอความช่วยเหลือจากวิล·อัสตินให้ทำลายตะกอนพลังในมือมาริค จากนั้นก็รอให้มันกลับมารวมตัวในสภาพบริสุทธิ์… แต่คงต้องรอให้ทารกในครรภ์คลอดออกมาก่อน… ไคลน์พึมพำเงียบ เดินลอดใต้ฝ่าเท้าของศพที่ถูกแขวนกลางอากาศ ตรงมายังด้านข้างรูปปั้นหิน
ระหว่างทาง ชายหนุ่มพบกล่องบุหรี่เหล็กที่ใช้สำหรับเก็บหุ่นเชิด สภาพยังค่อนข้างสมบูรณ์ บ่งบอกว่ามิได้ถูก ‘เห็ด’ กลืนเข้าไป และนกหวีดทองแดงอะซิกกับเหรียญทองโลเอ็นด้านในก็ไม่เสียหาย
ขณะเก็บสิ่งของเหล่านี้กลับ ไคลน์ควบคุมด้ายวิญญาณของตนมิให้ลอยขึ้นไปหา ‘แม่เหล็ก’ บนยอดวิหาร พลางเดินไปก้มเก็บหินออบซิเดียนขึ้นมาจากพื้น
หลังจากยืนยันว่าวัตถุแสนสำคัญชิ้นนี้มิได้ชำรุด ไคลน์เบาใจลงหลายส่วน ตรวจสอบโกศดีบุกสีขาวของซาราธอย่างใจเย็น
เมื่อเปิดฝาและมองเข้าไป รูม่านตาไคลน์หดลีบกะทันหัน
ขี้เถ้าด้านในหายไป!
ไม่มีสิ่งใดหลงเหลืออยู่เลย!
ซาราธบรรลุเป้าหมาย? ไม่สิ ต้องบอกว่า เป็นอย่างที่คิด… ไคลน์โยนโกศดีบุกสีขาวทิ้ง เหยียดตัวยืนตรง นำแผ่นหินออบซิเดียนไปสอดไว้ในช่องว่างบนกำแพงด้านหลัง
กำแพงส่องแสงอีกครั้ง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีโปร่งใส ช่วยให้มองเห็นทางเดินโบราณที่ปูด้วยอิฐ กำแพงที่มีรูโหว่ และเมฆที่ลอยอยู่ด้านนอก
เมื่อจินตนาการถึงหนอนแมลงโปร่งใสอันน่าสะพรึง ไคลน์ไม่รีบร้อนวาดสัญลักษณ์ของตระกูลอันทีโกนัส เพียงยกมือขวาขึ้นและดีดนิ้วอย่างใจเย็น
ชายหนุ่มจุดไฟบนต้นไม้ด้านนอกวิหาร เตรียมทางหนีในกรณีที่เกิดเหตุไม่คาดฝัน
หลังจากเตรียมตัวเสร็จ ไคลน์ลงมือวาดดวงตาแนวตั้งซึ่งประกอบด้วยสัญลักษณ์ลึกลับมากมาย เมื่อเทียบกับคราวก่อน ภาพของจันทร์เสี้ยวและเส้นประถูกสลับตำแหน่งกัน
เมื่อตวัดเส้นสุดท้ายจบ แสงอันบริสุทธิ์ผุดผ่องสว่างขึ้น ค่อยๆ ไหลไปตามเส้นสัญลักษณ์อันซับซ้อน จนกระทั่งบรรจบกันและระเบิดความเจิดจ้าออกมา
ทันใดนั้น วิหารทั้งหลังเริ่มขาดความคมชัด กลายเป็นภาพมายาอันพร่ามัวพร้อมกับสั่นสะเทือนตัวเอง
ไคลน์สัมผัสความคุ้นเคยได้จากบานประตูตรงหน้า ด้านหลังประตูมายาเป็นพระราชวังโบราณที่ตนเคยเห็น กลางอากาศมีศพมากมายถูกแขวนเรียงราย หนึ่งในนั้นคือ ‘แม่มดสิ้นหวัง’ พานาเทีย กำลังโยกเอนแผ่วเบาตามสายลม
หนวดรยางค์โปร่งใสที่ผิวเต็มไปด้วยลวดลายพิสดารและลึกลับ กำลังจับตัวเป็นกลุ่มก้อน พยายามพังประตูมายาตรงหน้า แต่ก็มิอาจเปิดออก อย่างไรก็ตาม เศษเสี้ยวพลังบางส่วนเล็ดลอดออกมาและพยายาม ‘ยึดครอง’ ด้ายวิญญาณของไคลน์!
ขณะเพ่งสมาธิควบคุมด้ายวิญญาณ ไคลน์ดีดนิ้วโดยไม่ลังเล หายตัวไปโผล่ท่ามกลางเปลวไฟบนต้นไม้ด้านนอกวิหาร
ถัดมา ชายหนุ่มยังคงดีดนิ้วอย่างต่อเนื่อง หนีไปยังจุดที่ไกลที่สุดของหมู่บ้านสายหมอก
หลังจากสถานะ ‘มายา’ ของวิหารกลับเป็นปรกติ ไคลน์หยุดพฤติกรรมพลางขมวดคิ้ว
ยังคงนำไปสู่พระราชวังที่มีเทวทูตคลุ้มคลั่ง…
สัญลักษณ์จากบันทึกตระกูลอันทีโกนัสก็ไม่ต่างจากซาราธ พวกมันเป็นกับดัก!
ดูเหมือนสัญลักษณ์นี้จะทำได้เพียงกระตุ้นให้ ‘ประตู’ ปรากฏตัว แต่ไม่สามารถเปิดได้ ไม่อย่างนั้นเราคงไม่รอด…
เป็นสัญลักษณ์สำหรับทางเข้า? ส่วนของซาราธสำหรับใช้หลบหนี?
เราควรทำยังไง… ต้องหนีออกไปด้วยวิธีไหน?
ตามความเคยชิน ไคลน์มองไปรอบๆ หมู่บ้านที่เต็มไปด้วยสายหมอก ข่มสติให้เยือกเย็น ครุ่นคิดหาทางออก
มีโอกาสที่ประตูบานดังกล่าวจะไม่ใช่ทางออกเดียว… แต่ก็เป็นไปได้น้อยมาก… เพราะตลอดหลายปีที่ผ่านมา ผู้คนมากมายถูกนำตัวเข้ามายังหมู่บ้านสายหมอก หากด้านนอกวิหารมีทางออกจริง ต้องมีใครสักคนหาพบนานแล้ว…
ลองสัญลักษณ์อื่น?
แล้วต้องเปลี่ยนเป็นอะไร…
ไคลน์ดำดิ่งลงในห้วงความคิด วิเคราะห์หาความเชื่อมโยงกับสิ่งต่างๆ ในความทรงจำ เผื่อจะพบสัญลักษณ์ที่น่าสนใจ
สถานที่แห่งนี้เกี่ยวข้องกับ ‘ประเทศรัตติกาล’ เกี่ยวข้องกับตระกูลอันทีโกนัส และไม่ว่าสัตว์ประหลาดคลุ้มคลั่งบนบัลลังก์ยักษ์ในวังจะเป็นใคร แต่ก็ต้องเป็นเทวทูตจากเส้นทางนักทำนายแน่นอน…
ซาราธที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยตรง เป็นเทวทูตของเส้นทางนักทำนาย… สมุดบันทึกตระกูลอันทีโกนัสที่เคยมอบสัญลักษณ์ให้เราก็มีความเกี่ยวข้องกับเส้นทางนี้…
เป็นไปได้ไหมว่า… สัญลักษณ์สำหรับเปิดประตูที่ถูกต้อง จะเกี่ยวข้องกับเส้นทางนักทำนาย?
ลำดับ 0 ของเส้นทางนักทำนาย มีโอกาสมากที่จะชื่อ ‘เดอะฟูล’ … เรื่องนี้เราค่อนข้างมั่นใจ ไม่อย่างนั้น เจ้าของไพ่เย้ยเทพคนเก่าคงไม่ถูกล่อลวงมายังเทือกเขาโฮนาซิสและถูกจับแขวน…
เดอะฟูล… เดอะฟูล…
เมื่อนึกถึงคำว่าเดอะฟูล ไคลน์พลันนึกถึงตัวเอง นึกถึงสัญลักษณ์ลึกลับบนหลังเก้าอี้พนักสูง – เก้าอี้ประจำตำแหน่งเดอะฟูลแห่งมิติลึกลับเหนือสายหมอกสีเทา!
ลองดูสักตั้งดีไหม… ครุ่นคิดสักพัก ไคลน์ตัดสินใจลองเสี่ยง เพราะไม่มีทางเลือกอื่นอยู่แล้ว
ชายหนุ่มเดินกลับไปยังวิหารที่มียอดแหลม เดินลอดใต้ขาศพที่ถูกแขวนกลางอากาศ ตรงไปยังผนังด้านหลังรูปปั้น มองเห็นหินแผ่นหินออบซิเดียนที่ตกลงมาจากช่องว่าง
หลังจากสอดหินเข้าไป ประตูกลายเป็นสีโปร่งใสอย่างรวดเร็ว ไคลน์ดีดนิ้วเพื่อจุดไฟต้นไม้ด้านนอกต้นใหม่ สูดลมหายใจยาวก่อนจะวาดสัญลักษณ์ ‘เดอะฟูล’ ซึ่งประกอบด้วย ‘เนตรไร้รูม่านตา’ และ ‘เส้นเกลียว’
เพียงไม่นาน ชายหนุ่มตวัดเส้นสุดท้ายพร้อมกับความประหม่า
แต่คราวนี้ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับบานประตูโปร่งใส
ไม่สำเร็จ… สีหน้าไคลน์เผยความขื่นขม เริ่มคิดจริงจังว่าตนอาจถูกขังอยู่ที่นี่ตลอดกาล ต้องคอยห้ำหั่นกับผู้วิเศษที่จะเข้ามาเพิ่มในอนาคต กินมนุษย์ด้วยกันเองหรือไม่ก็อดตาย
ชายหนุ่มส่ายหน้าแผ่วเบา ปลงกับชะตากรรมพลางจัดระเบียบความคิด ตัดสินใจมองหาเบาะแสใหม่
สถานที่แห่งนี้เกี่ยวข้องกับ ‘ประเทศรัตติกาล’ เกี่ยวข้องกับตระกูลอันทีโกนัส และทั้งสองถูกทำลายโดยโบสถ์รัตติกาล…
เทวทูต ‘นักลบ’ ที่ส่งเราเข้ามาน่าจะเป็น ‘มารดาแห่งผืนนภา’ ซึ่งอาศัยอยู่ในชั้นใต้ดินหลังประตูยานิสของโบสถ์รัตติกาล…
สาเหตุที่ทำให้คน ‘ไม่หลับ’ ในตอนกลางคืน หายตัวไปท่ามกลางซากสมรภูมิแห่งเทพ กล่าวกันว่าเกิดจากออร่าที่ยังตกค้างของเทพธิดารัตติกาล…
ถ้ามองจากมุมนี้ หมู่บ้านสายหมอกเกี่ยวพันโดยตรงกับ ‘อำนาจ’ ของรัตติกาล… ไม่สิ อำนาจของท่าน… หมายความว่าที่นี่เกี่ยวข้องกับพระองค์โดยตรง?
ขณะความคิดมากมายแล่นผ่าน ไคลน์รู้สึกผิดเล็กน้อย เนื่องจากตอนแรกมัวหมกมุ่นอยู่กับการวิเคราะห์ จึงเผลอเรียกเทพธิดารัตติกาลด้วยความเสียมารยาทโดยไม่รู้ตัว
และนั่นช่วยให้ชายหนุ่มมองในมุมใหม่
เราควรลองวาดสัญลักษณ์จากตราศักดิ์สิทธิ์แห่งความมืด? หรือไม่ก็สัญลักษณ์ตัวแทนเทพธิดาในเชิงศาสตร์เร้นลับ?
เมื่อไม่มีทางเลือกอื่น ไคลน์ถอนหายใจเล็กน้อยพลางยกมือขวา วาดเส้นขีดที่เรียบง่ายซึ่งหมายถึงตราศักดิ์สิทธิ์แห่งความมืด
เพียงพริบตา ฉากด้านหลังประตูโปร่งใสเริ่มกระเพื่อมเหมือนผิวน้ำ เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน
แม้จะยังเห็นพระราชวังโบราณ ทางเดินหินเก่าแก่ และกำแพงมีรูโหว่ แต่คราวนี้ ฉากดังกล่าวอยู่ห่างออกไปไกลมาก มองเห็นได้เพียงเลือนรางเท่านั้น!
ด้านหลังประตูเป็นผาหินที่มองไม่เห็นก้น มีก้อนหินขรุขระเล็กใหญ่ มีเมฆลอยกลางอากาศ มีดวงดาวและดวงจันทร์สีแดงที่มิได้ถูกแสงอาทิตย์กลบ คล้ายกับเป็นส่วนหนึ่งของยอดเขา!
สำเร็จ… ไคลน์จ้องมองฉากหลังกำแพงใสด้วยสีหน้าตกตะลึง ก่อนจะเหยียดฝ่ามือออกไปผลักเปิด
สายลมเอื่อยด้านนอกพัดผ่านเข้ามาพร้อมกับเสียงลมหวีด
ขณะเตรียมก้าวออกไป ไคลน์ชะงักและครุ่นคิดอีกครั้ง
ถัดมา ชายหนุ่มโยนเหรียญทองเพื่อทำนายผล ได้รับคำตอบว่าด้านนอกไม่มีอันตราย
มันรีบวาดสัญลักษณ์ ‘พระจันทร์สีแดง’ กลางหน้าอกทันที สวมบทบาทเป็นสาวกเคร่งศาสนา!
จัดการเสร็จ ไคลน์ก้าวเท้าขวาออกไปก่อน เดินผ่านประตูมายาด้วยท่าทีประหม่าเล็กๆ
ทัศนวิสัยของชายหนุ่มดำมืดกะทันหัน มองเห็นเพียงค่ำคืนที่ไร้ขอบเขตและดวงดาวพร่างพราย แต่หลังจากผ่านไปสักพัก ไคลน์ได้รับการมองเห็นกลับมาและพบว่าตนกำลังยืนอยู่บนยอดเขา รอบตัวมีหิมะที่ไม่ละลาย มีก้อนหินขรุขระน้อยใหญ่ มีแสงแดดยามเช้า แต่นอกจากนี้ก็ไม่พบอะไรอีก
ออกมาได้แล้ว… เราปลอดภัยแล้ว? ไคลน์ไม่มัวเสียเวลาสำรวจรอบตัว รีบเปลี่ยนให้ยุบพองหิวโหยในมือซ้ายโปร่งใสพร้อมกับกระตุ้นพลัง ‘ท่องเที่ยว’
หากกระตุ้นพลังสำเร็จ สิ่งนี้จะเป็นเครื่องยืนยันว่าตนออกจากหมู่บ้านสายหมอกมาแล้ว และกำลังอยู่บนโลกความจริง จากนั้นก็จะรีบใช้พลังท่องเที่ยวหนีไปยังตำแหน่งปลอดภัย แต่ถ้ากระตุ้นพลังไม่สำเร็จ ไคลน์คิดจะตรวจสอบสภาพแวดล้อมรอบตัวอย่างละเอียด เตรียมพร้อมรับมือการโจมตีที่ไม่คาดฝัน
ผ่านไปไม่กี่อึดใจ ไคลน์หายตัวไปจากจุดเดิมที่เคยยืน โดยในเวลาเดียวกัน การมองเห็นเต็มไปด้วยริ้วแสงสีสันฉูดฉาดซ้อนทับหลายชั้น ร่างอันเลือนรางนับไม่ถ้วนเวียนว่ายไปมา
มันส่งตัวเองเข้าสู่โลกวิญญาณสำเร็จ!
…………………………………………………