Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ – ราชันเร้นลับ 839 : ทายาทเทพบรรพกาล

ราชันเร้นลับ 839 : ทายาทเทพบรรพกาล
เชี่ย… ไคลน์ที่ได้ยินคำตอบชายชรา ผุดคำหยาบคายมากมายในใจ แต่ก็ไม่ทำอะไรมากกว่านี้

ซาราธ ผู้นำของลัทธิเร้นลับ ลูกหลานของตระกูลขุนนางใหญ่แห่งจักรวรรดิโซโลมอนในยุคสมัยที่สี่ อดีตเจ้าของสมุดบันทึกตระกูลอันทีโกนัส ผู้คอยชักใยเบื้องหลังจักรพรรดิโรซายล์ และยังเป็นผู้วิเศษลำดับสูงแห่งเส้นทางนักทำนาย เมื่อราวหนึ่งถึงสองร้อยปีก่อน มันอยู่ในลำดับ 2 ‘ผู้ชี้นำปาฏิหาริย์’ โดยอาโรเดสเคยระบุว่า ซาราธเกิดคลุ้มคลั่งและกลายเป็นสัตว์ประหลาดหลังจากพยายามเลื่อนเป็นลำดับ 1 ‘บริวารเร้นลับ’

ไม่ว่าจะใช้สมญานามใด ไคลน์ก็มิอาจยืนฟังได้อย่างสบายใจ ยากจะทำใจยอมรับว่าตัวละครที่โด่งดังในตำราประวัติศาสตร์จะปรากฏกายตรงหน้า บรรยากาศโดยรอบอึดอัดและบีบคั้น คล้ายกับถูกกดทับจากทุกทิศทางจนยากจะหายใจ

ไคลน์เคยจินตนาการ บางทีทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับตน รวมถึงการเดินทางข้ามโลก อาจเกิดจากการชักใยของซาราธ สงสัยว่าอีกฝ่ายคือลาสต์บอสที่ต้องปราบในตอนสุดท้าย แต่กลับกลายเป็นว่า ชายหนุ่มต้องเผชิญหน้ากับมันระหว่างทาง

เรายังเป็นแค่ผู้วิเศษลำดับ 5! ไคลน์อดตัดพ้อไม่ได้ ขณะเดียวกันก็เคลือบแคลงว่า บุคคลตรงหน้าจะใช่ซาราธแน่หรือ

ซาราธเป็นชื่อสกุล… เป็นชื่อของตระกูลขุนนางใหญ่แห่งจักรพรรดิโซโลมอนจากยุคสมัยที่สี่ ในทางทฤษฎี ตลอดระยะเวลาอันยาวนานกว่าสองพันปี คนที่ชื่อซาราธอาจมีมากกว่าหนึ่ง… ชายคนนี้อาจเป็นปู่ของผู้นำลัทธิเร้นลับในไดอารีโรซายล์ หรือไม่ก็เป็นบิดา พี่น้อง ลูกหลาน… นอกจากนั้น ชายคนนี้ระบุว่าตัวเองตายไปแล้วหลายปี แต่ ‘กระจกวิเศษ’ อาโรเดสและ ‘อสรพิษปรอท’ วิล·อัสตินต่างยืนยันตรงกันว่า ซาราธที่เป็นผู้นำลัทธิเร้นลับยังมีชีวิตอยู่ แต่เกิดคลุ้มคลั่งจนกลายเป็นสัตว์ประหลาดเสียสติ… ไคลน์พยายามมองโลกในแง่ดี ปลอบใจตัวเองว่าสถานการณ์อาจไม่เลวร้ายอย่างที่ติด เริ่มกลับมาสุขุมเยือกเย็น

พลังพิเศษที่ซาราธคนนี้แสดงให้เห็น ถึงจะมีไม่มาก แต่ทั้งหมดก็เป็นพลังที่น่าเหลือเชื่อ เกี่ยวพันกับประวัติศาสตร์และชะตากรรม… คงไม่ได้เป็นแค่ ‘จอมเวทพิสดาร’ แต่สูงถึงลำดับ 3 หรือ 2… เทวทูตบนเส้นทางนักทำนายไม่น่าจะมีจำนวนมากนัก…

สถานที่แห่งนี้เกี่ยวข้องกับ ‘ประเทศรัตติกาล’ บนยอดเขาสูงสุดของเทือกเขาโฮนาซิส… เป็นแหล่งกำเนิดเสียงเพรียกที่จะส่งไปถึงหูผู้วิเศษลำดับต่ำของเส้นทางนักทำนายทุกคน… หลังจากซาราธ ผู้นำลัทธิเร้นลับ ได้ครอบครองสมุดบันทึกตระกูลอันทีโกนัส โรซายล์ระบุว่าชายคนนั้นโผล่หน้าน้อยลงเรื่อยๆ และไม่ทราบว่ากำลังวางแผนใด… อาจเป็นไปได้ว่า เมื่อมีสมุดบันทึกในมือ ซาราธเดินทางไปยังยอดเขาหลักของโฮนาซิสเพื่อตามสมบัติของตระกูลอันทีโกนัส จนได้พบกับสูตรโอสถและวัตถุดิบหลักของลำดับ 1 ‘บริวารลึกลับ’ ?

ในโลกของศาสตร์เร้นลับ ความบังเอิญอย่างต่อเนื่องมักหมายถึงปัญหา และหมายถึงความไม่ชอบมาพากล…

หากนี่เป็นซาราธตัวจริง ‘อัตตา’ ที่แบ่งทิ้งไว้ในหมู่บ้านสายหมอก คือสาเหตุที่ทำให้ร่างต้นคลุ้มคลั่งและเสียสติ?

ส่วนประโยคที่อีกฝ่ายพูดว่า ‘ตายมานานแล้ว’ เรื่องนี้ก็มีเหตุผลรองรับ เพราะผู้นำของลัทธิเร้นลับเคยกล่าวไว้ว่า

ปาฏิหาริย์คือสิ่งใด? ปาฏิหาริย์คือการฟื้นคืนชีพจากความตาย!

และมันลำดับล่าสุดของมันคือ ‘ผู้ชี้นำปาฏิหาริย์’ !

ขณะสมองไคลน์ประมวลผลหนักหน่วง ชายชราเคราดกที่อ้างตัวว่าเป็นซาราธ หัวเราะในลำคอ

“ดูจากปฏิกิริยาของเจ้า… รู้จักข้าหรือ?”

หลังจากไตร่ตรองสักพัก ไคลน์หยั่งเชิง

“เคยได้ยินนามสกุลนี้… ผมเคยเจอกับราชินีเงื่อนงำและได้ฟังข้อมูลของลัทธิเร้นลับจากเธอ จึงทราบชื่อของผู้นำ”

ชายชราพยักหน้าแผ่วเบา ไม่ยืนยันหรือปฏิเสธ เพียงยิ้มและถามเข้าประเด็น

“ยังมีเรื่องใดอยากให้ช่วยอีกไหม?”

เรื่องที่จะให้ช่วย… ไคลน์นึกทบทวนพลังพิเศษของอีกฝ่าย ลังเลสักพักก่อนจะตอบ

“จากประวัติศาสตร์ของโลกที่ถูกปกปิดแห่งนี้ คุณเรียกปลาจากข้างนอกเข้ามาได้ไหม? จะถูกแปรรูปเป็นอาหารแล้วก็ได้”

ตามความคิดของชายหนุ่ม คำขอนี้สามารถเกิดขึ้นได้ เพราะต้องไม่ลืมว่า คนที่หลงเข้ามาส่วนใหญ่ถูกนำตัวมาจาก ‘ซากสมรภูมิแห่งเทพ’ ทางสุดเขตตะวันออกของทะเลโซเนีย บางคนอาจพกปลาติดตัวเป็นอาหารสำรองหรือไม่ก็เพื่อสำรวจความเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศ บางคนกินปลาจนอิ่มหนำและหลับไม่ทันในตอนกลางคืน ด้วยปัจจัยเหล่านี้ การจะมีเนื้อปลาหลงเหลือในประวัติศาสตร์หมู่บ้านสายหมอก ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

ซาราธเงยหน้า จ้องไคลน์ในร่างเกอร์มัน·สแปร์โรว์ เงียบงันอยู่นานโดยไม่มอบคำตอบ

ผ่านไปอีกสองสามวินาที มันถอนสายตากลับ กล่าวด้วยเสียงล่องลอย

“ได้”

กล่าวจบ บนฝ่ามือของพลเรือเอกโลหิตปรากฏเนื้อปลาบดละเอียด

“คงสภาพได้นานสี่สิบห้านาที หากครบกำหนด มันจะหายไปราวกับไม่เคยกินมาก่อน” ซาราธเสริม

ได้จริงๆ ด้วย… ไคลน์ยิ่งพบว่า พลังพิเศษลำดับสูงของเส้นทางนักทำนาย เต็มไปด้วยความพิสดารและน่ากลัว

ขณะเตรียมตอบว่าไม่มีอะไรแล้ว แต่ชายหนุ่มฉุกคิดได้ว่า ซาราธเจ้าเล่ห์เพทุบาย ทุกคำพูดอาจต้องนำไปหารก่อน จึงรู้สึกว่าตนควรเตรียมการให้รัดกุมยิ่งขึ้น

ท่ามกลางกระแสความคิด ไคลน์ตัดสินใจทำตัวละโมบ ซาราธจะได้ลดการประเมินคุณค่าของตนลง ให้อีกฝ่ายเชื่อว่าตนเป็นเพียงไอ้งั่งที่ถูกชักนำได้ง่าย

หลังจากบังคับหุ่นเชิดเก็บเนื้อปลาเข้าไป ชายหนุ่มกลอกตาสองหน หายใจเข้าออก

“นอกจากนั้น… ผมอยากได้สูตรโอสถจอมเวทพิสดาร”

ซาราธไม่เปลี่ยนสีหน้า เงียบงันไปสักพักก่อนจะหัวเราะ

“ไม่มีปัญหา ตราบใดที่เจ้าเชื่อว่าข้ามอบสูตรโอสถที่ถูกต้อง… หลังจากเจ้ากลับมาพร้อมหินออบซิเดียนก้อนนั้น ข้าจะมอบสูตรโอสถจอมเวทพิสดารพร้อมกับสัญลักษณ์สำหรับเปิดประตู… เฮ่อ… ข้าไม่สนใจเรื่องเล็กน้อยพวกนี้ ปรารถนาแค่ให้เจ้านำโกศเก็บเถ้ากระดูกไปโปรยลงแม่น้ำเซอเรนโซ่ในบ้านเกิด”

หลังจากฟังอย่างเงียบงัน ไคลน์อดถามไม่ได้

“ระดับตัวตนของคุณสูงมาก หากโปรยเถ้ากระดูกลงไป เกรงว่าแม่น้ำทั้งสายจะปนเปื้อนมลพิษร้ายแรง ก่อให้เกิดการกลายพันธุ์และสัตว์ประหลาดจำนวนมาก”

ซาราธยิ้มเล็กๆ

“รอบคอบดีมาก… แต่เถ้ากระดูกของข้าไม่มีสิ่งใดพิเศษ มันสูญเสียคุณสมบัติไปนานแล้ว”

ขณะกล่าว มันแหงนหน้าอีกครั้ง มองไปยังยอดสูงสุดของวิหาร

เขากำลังบอกใบ้ว่า ตะกอนพลังและความพิเศษของร่างกาย ถูก ‘แม่เหล็ก’ ด้านบนดูดกลืนไปหมดแล้ว? ไคลน์ลองแปลความนัยแฝงของอีกฝ่าย ก่อนจะถามเกี่ยวกับพลังพิเศษบนเส้นทาง

“โอสถลำดับ 3 หลังจากจอมเวทพิสดารมีชื่อว่าอะไร?”

ใบหน้าที่เต็มไปด้วยเคราดกของซาราธขยับเล็กน้อย

“ปราชญ์โบราณ”

ปราชญ์โบราณ… แม้จะฟังดูเหมือนโบราณวัตถุที่ต้องขุดขึ้นจากหลุมศพ แต่น่าสนใจว่าซาราธเอ่ยถึง ‘ประวัติศาสตร์’ บ่อยครั้งมากในการสนทนา และพลังพิเศษในขอบเขตดังกล่าวก็น่าทึ่งมาก… ไคลน์ถามอีกครั้งอย่างตื่นเต้น

“เช่นนั้นแล้ว ลำดับ 0 มีชื่อว่าอะไร?”

ซาราธเงยหน้าขึ้น จ้องชายหนุ่มสักพักก่อนจะยิ้ม

“เจ้าจะได้ทราบในตอนที่ ‘เปิดประตู’ เพื่อออกไป”

เราเกลียดคนแบบนี้ที่สุด… ตอบครึ่งๆ กลางๆ และหัวเราะโดยไม่ยอมเล่าให้จบ… ในวินาทีนี้ ไคลน์เริ่มเข้าใจหัวอกของจักรพรรดิโรซายล์ เว้นวรรคสักพัก ชายหนุ่มมองไปยังรูปปั้นหินด้านข้างและถาม

“นี่คือใคร?”

ซาราธตอบโดยไม่มองหน้า เสียงค่อนข้างพร่า

“ท่านคือทายาทของเทพบรรพกาล”

ทายาทเทพบรรพกาล… ลูกหลานของ ‘หมาป่าแห่งการทำลายล้าง’ เฟรเกีย? หากเข้าใจไม่ผิด เทพบรรพกาลตนนี้ถือครองอำนาจในขอบเขต ‘รัตติกาล’ … ลูกหลานของท่านคือผู้ก่อตั้งประเทศรัตติกาล? ยังไม่ทันที่ไคลน์จะถามเพิ่ม ซาราธหัวเราะ

“นอกจากนั้น ท่านยังมีน้องชายที่เจ้าคุ้นเคย”

“ใคร?” ไคลน์พยายามนึก แต่นึกเท่าไรก็ไม่พบคำตอบ

ซาราธหัวเราะในลำคอ

“ชายคนนั้นเปลี่ยนนามสกุลใหม่ เขาเรียกตัวเองว่า… อันทีโกนัส”

อันทีโกนัส… ประเทศรัตติกาล… โฮนาซิส… เฟรเกีย… ดวงตาไคลน์พลันลุกวาว ข้อมูลมากมายเริ่มปะติดปะต่อ

เป็นเรื่องเข้าใจได้ไม่ยากที่โบสถ์รัตติกาลจะกวาดล้าง ‘ประเทศรัตติกาล’ นั่นเป็นการต่อสู้เพื่อแย่งชิง ‘อำนาจ’ แต่ไคลน์ไม่เข้าใจเหตุผลที่เทพธิดาพยายามกวาดล้างตระกูลอันทีโกนัสผู้ถือครองเส้นทางนักทำนาย ไม่มีความจำเป็นถึงระดับนั้นเลย เพราะเส้นทางนักทำนายมิได้ใกล้ชิดกับ ‘รัตติกาล’ เหมือน ‘มรณา’ และ ‘คนยักษ์’

นอกจากนั้น ไคลน์เคยไม่เข้าใจว่าทำไมตระกูลอันทีโกนัสถึงต้องซ่อนสมบัติไว้บนยอดเขาหลักของเทือกเขาโฮนาซิส ทำไมถึงได้เชื่อใจชาวรัตติกาลขนาดนั้น

แต่ปัจจุบัน มันเริ่มเข้าใจในหลายสิ่ง

ขณะเตรียมถามอีกครั้ง ไคลน์พลันสังเกตเห็นแสงจันทร์สีแดงเข้มที่ส่องผ่านหน้าต่างวิหาร เริ่มสว่างขึ้นจากเดิม เงาดำซึ่งทอดยาวจากศพที่ถูกแขวนกลางอากาศ มีการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด

จันทร์แดงกระจ่าง! หัวใจไคลน์เริ่มเต้นแรง ไม่มัวคิดให้มากความ รีบทำตามแผนฉุกเฉินที่วางไว้ในหัว ยกมือขวาขึ้นมาดีดนิ้ว จุดไฟเทียนไขริมกำแพงที่ห่างออกไป

ขณะเดียวกัน ชายหนุ่มบังคับให้เซนอลสิ่งร่าง กระโดดม้วนตัวหนึ่งตลบ เข้าประชิดกำแพงที่ใกล้ที่สุด

ทันใดนั้น วิหารทั้งหลังพลันเงียบสงัด ปราศจากเสียงเพรียกจากศพที่ถูกแขวนคอ

สัมผัสวิญญาณไคลน์มิได้แจ้งเตือนสิ่งใด แต่ชายหนุ่มสังเกตได้จากเงาบนพื้น ศพที่ถูกแขวนคอกลางอากาศกำลังหันหน้ามาทางแสงเทียนไขอย่างพร้อมเพรียง!

โดยปราศจากความลังเล ไคลน์ทาบฝ่ามือซ้ายลงบนกำแพงและทะลุออกไป เมื่อถึงด้านนอกวิหาร ชายหนุ่มไม่แม้แต่จะเงยหน้ากวาดสายตาสำรวจ อาศัยพลังจากวิญญาณอาฆาตช่วยม้วนตัวและกระโดดไปทางบ้านหลังที่ใกล้ที่สุด ระยะห่างเหลือไม่ถึงสิบเมตร

ระหว่างลงมือ ชายหนุ่มไม่ได้ยินเสียงคำรามต่ำของสัตว์ร้าย ไม่เห็นร่างอันเลือนรางที่เดินไปมาบนถนน แต่ตระหนักได้อย่างชัดเจนและรุนแรงว่า มีสายตาจำนวนมหาศาลกำลังจ้องมายังแผ่นหลังของตน!

ภายในเสี้ยววินาที ไคลน์มาถึงกำแพงบ้าน รีบกดฝ่ามือลงไปและส่งตัวเองเข้ามาข้างใน

จากนั้น ชายหนุ่มดีดนิ้วเพื่อใช้พลังควบคุมไฟ ดับเทียนไขภายในวิหาร

หลังจากความเงียบสงัดปกคลุมสักพัก ไคลน์พบว่าความรู้สึกคล้ายกับถูกสายตาหลายคู่จดจ้องเริ่มเลือนหาย ท่ามกลางม่านแสงจันทร์สีแดงสว่าง ด้านนอกมีเสียงของผู้คนเดินผ่านไปผ่านมาอีกครั้ง

Lord of the Mysteries

Lord of the Mysteries

ป็นเรื่องราวการข้ามโลกของหนุ่มชาวจีนนามว่า โจวหมิงรุ่ย โลกใบที่ชายคนนี้ต้องเผชิญมีลักษณะคล้ายคลึงกับยุควิกตอเรียของยุโรป ยุคสมัยแห่งจักรกลไอน้ำเฟื่องฟู สุภาพบุรุษขุนนางเดินขวักไขว่ด้วยสูทและเสื้อกั๊กมาดเท่ แน่นอน เป็นโลกที่มีพลังพิเศษ ผู้วิเศษ และ สัตว์วิเศษ แต่พลังของมนุษย์บนโลกจะไม่เหมือนกับนิยายเรื่องใด ไม่มีจอมยุทธ์ ไม่มีการบังเอิญพบคำภีลับและได้ครอบครองยอดเคล็ดวิชา ไม่ได้เกิดใหม่พร้อมกับพลังสุดโกง ไม่เลย ไม่น่าเบื่อและจืดชืดขนาดนั้น ในอดีตกาล เผ่าพันธุ์มนุษย์อันต่ำต้อยมิอาจต่อสู้กับเหล่าสัตว์วิเศษในตำนานไหว หนึ่งในหนทางครอบครอง ‘พลังพิเศษ’ ก็คือการดื่ม ‘โอสถ’ หลังจากมนุษย์ดื่มโอสถและกลายเป็น ‘ผู้วิเศษ’ พวกเขาจะข้ามขีดจำกัดเดิมตามแต่ชนิดโอสถที่ดื่ม ผู้วิเศษในโลกแบ่งออกเป็น 9 ลำดับ โดยลำดับ 9 จะอ่อนแอที่สุด หนทางอัพเกรดลำดับก็แสนพิลึก ไม่ใช่การพัฒนาพลังเหมือนนิยายเรื่องใด แต่เป็นการดื่ม ‘โอสถ’ ที่ ‘ถูกต้อง’ ตามสูตรของลำดับถัดไป พลังพิเศษไม่สามารถข้ามสายได้ โอสถแต่ละชนิดจะมีสูตรการปรุงที่แตกต่าง แถมการฝึกฝนพลังของผู้วิเศษก็ยังพิสดารเหนือคำบรรยาย เรื่องราวจะยิ่งเข้มข้นขึ้นเมื่อตัวเอกเริ่มทราบว่า อดีตมหาจักรพรรดิของโลกเมื่อร้อยปีก่อนเป็น ‘ผู้เดินทางข้ามโลก’ เหมือนกับเขา แถมยัง… เหลือทิ้งไดอารี่สุดสำคัญไว้ให้ชนรุ่นหลัง แต่ไดอารีถูกเขียนด้วยภาษาจีนที่ไม่มีใครอ่านออกแม้แต่คนเดียว… ยกเว้นโจวหมิงรุ่ย With the rising tide of steam power and machinery, who can come close to being a Beyonder? Shrouded in the fog of history and darkness, who or what is the lurking evil that murmurs into our ears? Waking up to be faced with a string of mysteries, Zhou Mingrui finds himself reincarnated as Klein Moretti in an alternate Victorian era world where he sees a world filled with machinery, cannons, dreadnoughts, airships, difference machines, as well as Potions, Divination, Hexes, Tarot Cards, Sealed Artifacts… The Light continues to shine but mystery has never gone far. Follow Klein as he finds himself entangled with the Churches of the world—both orthodox and unorthodox—while he slowly develops newfound powers thanks to the Beyonder potions. Like the corresponding tarot card, The Fool, which is numbered 0—a number of unlimited potential—this is the legend of “The Fool”.

Comment

Options

not work with dark mode
Reset