ได้ยินคำถามจากมิสเตอร์แฮงแมน เดอร์ริคตอบกระอักกระอ่วน
“ยังเลยครับ… ผมถูกมอบหมายให้ลาดตระเวนอย่างต่อเนื่อง จึงไม่ว่างไปสืบสวน”
อัลเจอร์ไม่ประหลาดใจ แต่สงสัยในบางประเด็น
“ทำไมถึงไม่ขอให้กลุ่มเพื่อนช่วย? คุณไม่จำเป็นต้องบอกจุดประสงค์ที่แท้จริงหรือภาพรวม แต่แบ่งงานออกเป็นขอบเขตเล็กๆ ให้แต่ละคนแยกกันรวบรวมข้อมูล และด้วยวิธีนี้ พวกเขาจะไม่ตกเป็นเป้าสงสัย”
‘เดอะซัน’ เดอร์ริคเงียบสักพัก
“…ผมไม่มีเพื่อน”
ก่อนที่พ่อแม่จะเสียชีวิต มันมีเพื่อนเพียงส่วนหนึ่งจากชั้นเรียนและสนามฝึก เพราะท้ายที่สุดแล้ว เพื่อนรุ่นเดียวกันในเมืองเงินพิสุทธิ์นั้นมีไม่มาก ส่วนใหญ่เคยเห็นหน้ากันหมด บ้างสนิทกัน บ้างทำงานร่วมกัน แต่หลังจากสูญเสียพ่อและแม่ เดอร์ริคก็กลายเป็นคนเก็บตัวทันที ผนวกกับการต้องกุมความลับของชุมนุมทาโรต์ จึงตีตัวออกหากจากเพื่อนฝูงโดยไม่รู้ตัว กลายเป็นคนแปลกแยกและเก็บตัว แขกคนสุดท้ายที่มาเยี่ยมบ้านคือดาร์ก·รีเจนซ์ซึ่งถูกพระผู้สร้างแท้จริงกัดกร่อน
‘แฮงแมน’ อัลเจอร์พูดไม่ออกไปสักพัก ก่อนจะตอบหลังจากนึกทบทวนคำพูด
“แบบนี้ไม่ดี… คุณไม่สามารถช่วยเมืองเงินพิสุทธิ์ได้ด้วยตัวคนเดียว จำเป็นต้องพึ่งพาพวกพ้องในยามสำคัญ”
“ต…แต่ว่า พวกเขาอาจสงสัยในตัวผม” เดอะซันลังเล
อัลเจอร์ตอบเสียงขรึม
“ถูกสงสัยย่อมดีกว่าปล่อยให้ทุกสิ่งพังทลาย… เมืองเงินพิสุทธิ์กำลังเผชิญวิกฤติ สิ่งใดสำคัญกว่ากัน คุณต้องคิดให้รอบคอบ… หากหวังผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ ระหว่างทางต้องเกิดการเสียสละ หรือคุณอยากให้การเสียสละของพวกเขาสูญเปล่า?”
อัลเจอร์ไม่พูดต่อ ปล่อยให้เดอร์ริคต่อสู้กับความลังเลในใจ
มิสเตอร์แฮงแมนโน้มน้าวเก่งฉิบ… ไคลน์ถอนหายใจ บังคับให้เดอะเวิร์ลหันไปมองจัสติส
“ตอนนี้คุณรักษาอาการทางจิตที่ค่อนข้างรุนแรงได้ไหม?”
พลัง ‘นักจิตบำบัด’ ที่ไคลน์ทราบมีเพียง ‘ก่อโรคประสาท’ และ ‘มังกรข่มขวัญ’ ไม่ค่อยมีข้อมูลด้านอื่นมากนัก อาจเคยได้ยินจัสติสพูดถึงพลัง ‘ปลอบโยน’ และ ‘การชี้นำทางจิต’ อยู่บ้างอย่างคลุมเครือ แต่ก็ไม่มากพอจะตีกรอบความสามารถในการรักษา
‘จัสติส’ ออเดรย์สะดุ้งเล็กน้อย ตอบกลับอย่างกระตือรือร้น
“รักษาได้ ไม่มีปัญหา… มิสเตอร์เวิร์ล คุณมีเพื่อนที่ต้องการรักษาหรือ?”
เรากำลังขาดแคลนคนไข้พอดี! หญิงสาวตื่นเต้นเล็กน้อย
ทันใดนั้น เอ็มลินยกมือขวาขึ้นมาปิดปากและจมูกตัวเอง คล้ายกับรู้คำตอบอยู่แล้ว
ไคลน์ถอนหายใจแผ่ว บังคับให้เดอะเวิร์ลหัวเราะ
“เปล่า… คนไข้คือผมเอง”
ท่ามกลางพระราชวังอันงดงาม บรรยากาศการชุมนุมเงียบสงัดในพริบตา
‘แฮงแมน’ อัลเจอร์ ‘เฮอร์มิท’ แคทลียาและ ‘เมจิกเชี่ยน’ ฟอร์สต่างก็ทราบว่ามิสเตอร์เวิร์ลเป็นนักผจญภัยเสียสติ แต่ไม่เคยคิดว่าจะมีอาการทางจิตอย่างรุนแรงจนใกล้บ้า!
นี่คือราคาของความแข็งแกร่ง? ฟอร์สยิ่งทวีความกลัวที่มีต่อเกอร์มัน·สแปร์โรว์
กับนักผจญภัยเสียสติ พวกตนยังพอสื่อสารรู้เรื่อง แต่ไม่ใช่กับคนบ้า!
‘เทียนไขจิตฝันร้าย’ ไม่ช่วยให้อาการของเขาหายขาด? โรคลุกลามจนเข้าสู่ภาวะรุนแรงแล้ว? ‘เดอะมูน’ เอ็มลินตื่นตระหนกเมื่อพบว่า ‘เดอะเวิร์ล’ พร้อมเสียสติได้ทุกเมื่อ
‘เดอะซัน’ เดอร์ริคไม่คิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทำได้แค่ห่วงใยมิสเตอร์เวิร์ลอยู่ห่างๆ จริงอยู่ มันอยากบอกว่าเมืองเงินพิสุทธิ์เองก็มีนักจิตบำบัดที่เชี่ยวชาญ แต่เมื่อลองพิจารณาอย่างถี่ถ้วน เด็กหนุ่มพบว่าจะมีปัญหาตามมามากเกินไป จึงทำได้เพียงปิดปากเงียบ ภาวนาให้มิสจัสติสสามารถรักษา
‘จัสติส’ ออเดรย์ทั้งตกตะลึงและมึนงง ซักถามหลังจากไตร่ตรอง
“มิสเตอร์เวิร์ล จากการสังเกตของดิฉัน คุณไม่น่าจะมีอาการทางจิตรุนแรงถึงขั้นนั้น… ถ้าแค่กังวลหรือรู้สึกกดดัน ลำพังการควบคุมตัวเองและผ่อนคลายจิตใจอย่างสม่ำเสมอก็เพียงพอ ไม่จำเป็นต้องรักษา”
‘เดอะเวิร์ล’ เกอร์มัน·สแปร์โรว์เผยรอยยิ้มอีกครั้ง
“ที่คุณไม่พบเพราะอาการทางจิตก่อนหน้าถูกรักษาจนหายขาดแล้ว… ผมแค่นัดแนะไว้ก่อน หากในอนาคตมีสัญญาณที่คล้ายคลึงกันเกิดขึ้นอีก ผมจะได้ถูกรักษาอย่างทันท่วงที”
อย่างนี้นี่เอง… ‘จัสติส’ ออเดรย์พยักหน้าโล่งอก
เธอรู้สึกสงสารเดอะเวิร์ลขึ้นมาจับใจ อีกฝ่ายเป็นถึงผู้วิเศษที่สามารถ ‘ล่า’ ลำดับ 5 ได้หลายรายภายในหนึ่งสัปดาห์ เป็นข้ารับใช้ของมิสเตอร์ฟูล มีพลังแข็งแกร่งจนผู้คนต่างพากันหวาดผวา มีจิตใจดีเหมือนคนปรกติ แต่กลับต้องถูกอารมณ์เชิงลบมากมายกัดกร่อนจากภายใน ค่อยๆ ก้าวไปสู่ก้นบึ้งแห่งความเจ็บปวด
ครุ่นคิดสองสามวินาที ออเดรย์กล่าวอย่างจริงใจ
“ขึ้นอยู่กับจุดนัดพบ ถ้าดิฉันเอื้อมถึง นั่นไม่มีปัญหา”
หลังจากผ่านพ้นพิธีฉลองการบรรลุนิติภาวะ ออเดรย์ได้รับอิสระในระดับหนึ่ง สามารถไปพักร้อนในปราสาทที่ตระกูลครอบครอง หรือจะไปพักร้อนในเมืองสโตนซึ่งเป็นเมืองหลวงของแคว้นเชสเตอร์ตะวันออกก็ได้ ทว่า เสรีภาพยังคงถูกตีกรอบไว้เล็กน้อย เธอไม่สามารถไปได้ทุกหนแห่งตามใจต้องการ เว้นเสียแต่ในอนาคตจะเข้าร่วมกับองค์กรการกุศลของโบสถ์เทพธิดารัตติกาล
“ตกลง” ไคลน์ที่ครอบครองพลัง ‘นักท่องเที่ยว’ ในถุงมือ ถอนหายใจผ่อนคลาย บังคับให้เดอะเวิร์ลตอบ “ถึงตอนนั้น คุณเป็นฝ่ายกำหนดสถานที่และเตรียมวิธีนัดพบซึ่งจะไม่เปิดเผยตัวเอง”
‘จัสติส’ ออเดรย์ ‘อืม’ ในลำคอ ผุดฉากหนึ่งในใจ
เธอและมิสเตอร์เวิร์ลกำลังนั่งอยู่ในกล่องสองใบสักแห่ง สนทนากันระหว่างแผ่นไม้เพื่อรักษาอาการทางจิต
ในสถานการณ์ดังกล่าว มิสเตอร์เวิร์ลไม่มีทางรู้ตัวจริงของเรา… แต่เขาคงไม่สนใจ ขอเพียงได้รับการรักษาที่มีประสิทธิภาพก็พอ… กล่าวอีกนัยหนึ่ง แม้ว่าเราจะออกไปเองไม่ได้ ก็ยังสั่งให้ซูซี่ไปแทนได้! มิสเตอร์เวิร์ลต้องไม่เชื่อแน่ว่าเขาถูกรักษาด้วยหมา~ ไม่สิ… ซูซี่ไม่รู้ถึงการมีอยู่ของชุมนุมทาโรต์ คงให้เธอช่วยรักษาแทนไม่ได้… ขณะครุ่นคิด ออเดรย์กำลังมีความสุขจากการกลั่นแกล้งที่ตนคิดขึ้น พยายามอย่างหนักในการยับยั้งมุมปาก
เมื่อได้ข้อสรุป ไคลน์นึกถึงคำถามอื่น บังคับให้เดอะเวิร์ลมองหน้า ‘เฮอร์มิท’ แคทลียาและถาม
“คุณเตรียมลังระเบิดให้ผมได้ไหม?”
มันเชื่อว่าอีกฝ่ายที่เป็นพลเรือโจรสลัด ย่อมต้องมีช่องทางจัดเตรียมวัสดุประเภทนี้!
“ได้สิ… เอาเมื่อไร?” แคทลียามิได้ถามถึงเหตุผล
เกอร์มัน·สแปร์โรว์ฆ่าผู้วิเศษลำดับ 5 ไปมากมาย กับแค่ลังระเบิดถือเป็นเรื่องเล็กน้อย
“ส่งมาพร้อม ‘นิ้วขาด’ ได้เลย” ไคลน์บังคับให้หุ่นเชิดเดอะเวิร์ลถาม “เท่าไร?”
แคทลียาตอบเสียงเรียบ
“คิดว่าเป็นของแถมจาก ‘นิ้วขาด’ ก็แล้วกัน”
ลังระเบิดมีราคาไม่แพงในทะเล ค่อนข้างถูกด้วยซ้ำ
เยี่ยม… ไคลน์พึมพำเงียบ บังคับเดอะเวิร์ลผงกศีรษะและเตือนความจำทุกคน
“ภาพที่เห็นไปเมื่อครู่ อย่าพยายามนึกถึงบนโลกความจริง ไม่ต้องพูดถึงการวาดซ้ำ”
‘จัสติส’ ออเดรย์และคนที่เหลือ ชำเลืองสายตาไปยังสุดขอบโต๊ะทองแดงยาวตามจิตใต้สำนึก เมื่อพบว่ามิสเตอร์ฟูลมิได้คัดค้าน บรรยากาศพลันตึงเครียดทันที ไม่มีใครกล้าเพิกเฉย
นั่นทำให้แคทลียาที่กำลังจะเขียนปรึกษาราชินีเงื่อนงำเกี่ยวกับภาพวาด ต้องหยุดความคิดเอาไว้ก่อน ค่อยหาวิธีที่มีผลกระทบต่ำในการติดต่อภายหลัง
ผ่านไปไม่นาน ช่วงเวลาแลกเปลี่ยนข้อมูลอิสระจบลง มิติเหนือสายหมอกสีเทากลับมาเงียบสงัดอีกครั้ง
…
กลับถึงอนาคตกาล ‘พลเรือเอกดวงดาว’ แคทลียายืนริมหน้าต่างห้องกัปตัน เห็นได้ชัดว่าเกิดความลังเลอยู่พักใหญ่
จนกระทั่งเธอสูดลมหายใจเข้าออก เปิดประตูห้องกัปตันพลางดันกรอบแว่นขึ้น เดินลงไปยังห้องแฟรงค์·ลี
เมื่อไม่นานมานี้ รองกัปตันอนาคตกาลได้รับการลงมติให้ถูก ‘อัปเปหิ’ ไปอาศัยด้านล่างสุดของเขตห้องโดยสาร เพื่อที่ผลผลิตในการทดลองจะได้ไม่แพร่กระจายเป็นวงกว้างในยามเกิดอุบัติเหตุ
แฟรงค์·ลีค่อนข้างพึงพอใจ เนื่องจากมีพื้นที่เพิ่มขึ้นมาก และสภาพแวดล้อมเข้าเงื่อนไข ‘มืดสนิท’
ก๊อก ก๊อก ก๊อก! แคทลียาเดินลงมาถึงชั้นล่าง ใช้นิ้วเคาะประตู
“เดี๋ยว!” แฟรงค์·ลีโพล่งเสียงดัง ไม่มีใครทราบว่ากำลังทำอะไร
ราวหนึ่งนาทีถัดมา มันเปิดประตูห้องในสภาพพับแขนเสื้อขึ้น ถามด้วยความสงสัย
“กัปตัน มีอะไรหรือ?”
แคทลียาไม่ตอบทันที อาศัยเนตรมองกลางคืนจ้องเข้าไปในความมืด พบปลาตัวใหญ่สีน้ำเงินนอนบนโต๊ะในสภาพดวงตาเบิกโพลง ถั่วงอกสีเขียวงอกตามช่องว่างเกล็ด บ้างเติบโตเป็นรวงข้าวสาลี
“สำเร็จแล้วหรือ?” แคทลียาถามพลางยับยั้งชั่งใจไม่ให้ถอยหลัง
แฟรงค์พยักหน้าอย่างมีความสุข ก่อนจะส่ายศีรษะแผ่วเบา
“ยัง… แต่ก็มีความคืบหน้ามากแล้ว! ผมผสมข้าวสาลีกับเซลล์ของนักบวชกุหลาบเข้าด้วยกันจนได้ผลผลิตขั้นต้น เมื่อนำสิ่งนี้ไปใส่ในท้องปลาซึ่งปลอดแสง พวกมันสามารถเจริญเติบโตได้ด้วยการกินเลือดเนื้อของปลา… แต่ปัญหาในปัจจุบันก็คือ ผมอยากให้พืชชนิดใหม่เติบโตด้วยการกินซากศพสัตว์ประหลาด จำเป็นต้องขจัดความบ้าคลั่งและสารพิษออกเสียก่อน… นอกจากนั้น การขยายพันธุ์ยังเป็นปัญหา ไม่มีทางที่นักบวชกุหลาบจำนวนมากจะอาสาช่วยผลิตพืช ดังนั้น นอกจากต้องดูดซับสารอาหารจากซากศพได้ดี ยังต้องมีความสามารถในการแบ่งตัว”
หลังจากฟังคำอธิบายจบ ‘พลเรือเอกดวงดาว’ แคทลียาดันกรอบแว่นขึ้น
“ถ้ามนุษย์กินเข้าไป พืชชนิดนี้จะเติบโตด้วยการดูดซึมเลือดเนื้อไหม? รวมถึงการแบ่งตัว?”
แฟรงค์·ลีครุ่นคิดสักพัก
“ในทางทฤษฎีคงไม่ เพราะไม่มีใครกินพวกมันดิบๆ … อา ผมต้องทดลองในสภาพแวดล้อมอุณหภูมิสูงด้วยสินะ… ไม่สิ ตราบใดที่ยังแบ่งตัวไม่ได้ ทดลองไปก็เปล่าประโยชน์…”
ได้เห็นแฟรงค์·ลีสับสนในตัวเอง แคทลียาเกินความลังเลอีกครั้ง
ผ่านไปสักพัก หญิงสาวกล่าวอย่างเชื่องช้า
“ฉันสามารถซื้อตะกอนพลังของดรูอิดได้ คุณสนใจไหม?”
“แน่นอน!” แฟรงค์ออกท่าทางตื่นเต้น “ในหลายๆ ครั้ง แนวคิดของผมถูกตีกรอบไว้ด้วยความสามารถ!”
นี่มัน… ยังเปลี่ยนใจทันไหม… แคทลียาอดไม่ได้ที่จะคิดแบบนี้
……………………………………..