ผ่านไปไม่กี่วินาที ชารอนตอบคำถามไคลน์อย่างใจเย็น:
“ไม่ใช่การใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อ แต่เป็นคนล่อให้อีกฝ่ายปรากฏตัว”
ขณะไคลน์อยากถามว่าความแตกต่างอยู่ตรงไหน มาริคอธิบายโดยละเอียด:
“สมัยก่อนในตอนที่เคยถูกโรงเรียนกุหลาบไล่ล่า พวกเราพบว่าอีกฝ่ายมีสมาชิกในกรุงเบ็คลันด์เป็นจำนวนมาก แต่เนื่องจากมีพลังไม่มากพอและกลัวว่าจะเป็นกับดัก รวมถึงไม่อยากดึงดูดความสนใจของศาสนจักรใหญ่ พวกเราจึงไม่ทำอะไรกับคนเหล่านั้น… แต่ปัจจุบัน เราวางแผนจะล่อปลาตัวใหญ่ด้วยการโจมตีปลาตัวเล็กและปล่อยให้บางส่วนมีชีวิตรอด ให้พวกมันส่งข้อความไปถึงผู้นำสูงสุดของโรงเรียนโรงเรียนกุหลาบในเบ็คลันด์… ในระหว่างนั้น เหล่าครึ่งเทพตระกูลผีดูดเลือดจะแอบจับตามองพวกมัน เมื่อข้อความถูกส่งเป็นทอดๆ ปลายทางย่อมต้องเป็นสมาชิกคนสำคัญของโรงเรียนกุหลาบ… พวกฆ่ามันสำเร็จ หรือสามารถจับเป็นได้ ทางเราจะสอบปากคำเพื่อเค้นข้อมูลสำคัญ และนำข้อมูลนั้นมาวางแผนต่อ”
ฟังดูสมเหตุสมผลทีเดียว… แทนที่จะใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อ แก่นสำคัญคือการใช้ความเข้าใจในระบบของโรงเรียนกุหลาบเพื่อวางแผน วิธีนี้จะช่วยให้คุมเกมได้อย่างมีประสิทธิภาพ และไม่ทำลายกรุงเบ็คลันด์… ไคลน์พยักหน้ารับก่อนจะกล่าว
“ถ้าเป็นวิธีนี้ ผมยินดีช่วย”
มันไม่ได้บอกว่า ‘ขอคิดดูก่อน’ และกลับไปทำนายยืนยันอันตรายบนมิติหมอก เพราะคนที่ลงมือในเหตุการณ์นี้คือชารอนและผีดูดเลือด การทำนายในเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับตัว มักไม่ได้รับคำตอบที่เป็นประโยชน์
“คุณต้องการค่าตอบแทนแบบไหน?” มาริคในท่ายืน ผ่อนคลายตัวเองลงเล็กน้อย
ไคลน์ยิ้ม
“ถ้าไม่มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นเลย ผมต้องการค่าตอบแทนเป็นความช่วยเหลือหนึ่งครั้งจากมาดามไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์ แต่ถ้าผมต้องลงมือ นั่นขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ผมจะเพิ่มรางวัลและส่วนแบ่ง… คุณสามารถนำเรื่องนี้ไปปรึกษากับมาดามไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์ก่อนได้ จากนั้นค่อยเขียนจดหมายบอก”
อันที่จริง มันยังคงสับสนเล็กๆ ในเมื่อวางแผนรัดกุมขนาดนี้ ก็ไม่มีความจำเป็นต้องใช้บริการตน สามารถให้มิสผู้ส่งสารคอยซ่อนตัวอยู่ในความมืด คอยป้องกันเหตุการณ์ไม่คาดฝันต่างๆ แบบเดียวกับที่เชอร์ล็อก·โมเรียตี้ต้องทำ!
“ไม่จำเป็น” ชารอนเจ้าของรูปลักษณ์อันเลอโฉม ผิวพรรณซีดเซียวเล็กน้อยราวกับตุ๊กตา ส่ายศีรษะแผ่วเบาและกล่าว “ฉันให้สัญญาได้ทันที”
คุยกับมิสผู้ส่งสารแล้ว? ไคลน์ไตร่ตรองสักพัก ตัดสินใจถามตรงๆ
“แล้วทำไมคุณถึงไม่ลองขอความช่วยเหลือจากมาดามไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์แทนผม?”
ชารอนที่เกล้ามวยผมไว้ภายในหมวกอ่อนใบเล็ก ตอบด้วยน้ำเสียงล่องลอยและราบเรียบ:
“ท่านไม่ต้องการให้ผีดูดเลือดรู้ถึงการมีอยู่ของท่าน”
อย่างนี้นี่เอง… ไคลน์พิจารณาสักพัก ผุดคำถามใหม่
“ในเมื่อพวกคุณฝักใฝ่การระงับแรงปรารถนา แล้วทำไมถึงพยายามจัดการกับสมาชิกระดับสูงของโรงเรียนกุหลาบ? การแก้แค้นอยู่ในขอบเขตของการระงับแรงปรารถนาด้วยหรือ?”
ชารอนจ้องชายหนุ่มด้วยดวงตาสีฟ้าและกล่าว:
“ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา โรงเรียนกุหลาบพยายามอย่างหนักเพื่อนำมารดาพฤกษาแห่งแรงกระหาย มายังโลกแห่งจริง นั่นจะเกิดเป็นภัยพิบัติร้ายแรงที่มิอาจจินตนาการออก… นอกจากนั้น ท่านอาจารย์ยังปรารถนาร่างกายที่สมบูรณ์”
หากมารดาพฤกษาแห่งแรงกระหายปรากฏตัวบนโลกความจริง สำหรับเรา โลกจะกลายเป็นนรกบนดินทันที… แต่ว่า… เกี่ยวอะไรกับความสมบูรณ์ของร่างกายมิสผู้ส่งสาร? ร่างกายของเธอ… ของท่านถูกฉีกออกจากกันด้วยฝีมือสมาชิกคนสำคัญของโรงเรียนกุหลาบ? หรือว่าจะอาศัยพิธีกรรมบางประเภทเพื่อฟื้นฟูร่างกายตัวเอง โดยใช้ร่างกายของผู้วิเศษลำดับสูงในเส้นทางเดียวกันเป็นวัตถุดิบ? ไคลน์พึมพำในใจ ถามหยั่งเชิงกลับไป
“เทพหายนะคือลำดับ 1 ของเส้นทาง ‘มนุษย์กลายพันธุ์’ ใช่ไหม? แล้วลำดับ 2 กับ 3 มีชื่อว่าอะไร?”
สำหรับคำถามแรก มันเคยถามชารอนเมื่อนานมาแล้ว แต่ตอนนั้นได้รับคำตอบที่คลุมเครือ
ชารอนตอบโดยไม่ลังเล ด้วยเสียงเนิบนาบและล่องลอย
“เมื่อก่อนฉันเองก็ไม่มีข้อมูลมากนัก แต่ปัจจุบันทราบแล้วว่า ลำดับ 1 คือเทพหายนะ ส่วนลำดับ 2 คือ ‘มารบรรพกาล’ และลำดับ 3 แต่เดิมถูกเรียกว่า ‘สมบัติต้องสาป’ แต่ปัจจุบันมีชื่อว่า ‘บริวารใบ้’ ”
กำลังจะบอกว่า เมื่อคราวก่อนที่ถามไป คุณเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน? หรือกล่าวได้ว่า หลังจากคุณได้พบกับมิสผู้ส่งสารอีกครั้ง ท่านทำการถ่ายทอดความรู้เพิ่มเติม? ไคลน์พยักหน้ารับทันที
“หมดคำถามแล้ว เขียนจดหมายถึงผมเมื่อได้วันเวลาที่แน่นอน”
“ขอบคุณ” ชารอนลอยขึ้นอีกครั้งในสภาพไร้น้ำหนัก คำนับอย่างสุภาพ
มาริคนำมือทาบอก ก้มศีรษะลงเล็กน้อย
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร” ไคลน์ลุกขึ้นจากเก้าอี้สูง ยิ้มและสวมหมวกทรงสูงบนศีรษะ
ทันใดนั้น โดยไม่มีเสียงดีดนิ้ว เปลวไฟสีแดงเข้มพลันลุกท่วมร่างชายหนุ่ม
กรุงเบ็คลันด์ยามค่ำคืน ดวงไฟนับไม่ถ้วนกำลังส่องแสงอย่างเงียบเชียบ ดูราวกับท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาราพร่างพราว
เพียง ‘ดาว’ สองสามดวงส่องแสงกะพริบ ไคลน์ก็กลับถึงบ้านเช่าริมเขตตะวันออก
มันเปลี่ยนเสื้อผ้า เตรียมกลับไปยังถนนเบิร์คลุนในเขตเหนือ แต่เสียงคำสวดวิงวอนมายาพลันดังกังวานอยู่ในหู
เป็นเสียงผู้ชาย
พยักหน้าครุ่นคิดสักพัก ไคลน์ถอยหลังสี่ก้าว ส่งตัวเองมายังสายหมอกสีเทา แผ่พลังวิญญาณเข้าสู่ดาวสีแดงเข้มที่ยุบพองตัวอย่างต่อเนื่อง
เป็นไปตามคาด นั่นคือดาวแดงของ ‘เดอะมูน’ เอ็มลิน
แวมไพร์ไวเคาต์กำลังสวดวิงวอนใจความว่า:
“เรียนมิสเตอร์ฟูลที่เคารพ ข้าต้องการจัดประชุมย่อย ผู้เข้าร่วมประกอบด้วยตัวข้า มิสเตอร์แฮงแมน มาดามเฮอร์มิท มิสจัสติส และมิสเตอร์เวิร์ล”
สำหรับเอ็มลิน นี่คือกลุ่มสมาชิกชุมนุมทาโรต์ที่เป็นตัวแทนของสติปัญญา ประสบการณ์ และความรอบคอบ… เลียวนาร์ดผู้น่าสงสาร… ไคลน์หัวเราะในใจ เอนหลังพิงเก้าอี้ ตอบสนองคำขอของเอ็มลิน
…
เหนือสายหมอกสีเทา ภายในพระราชวังโบราณ
แสงสีแดงเข้มจำนวนห้าดวงสว่างขึ้นริมสองฝั่งโต๊ะทองแดงยาว ควบแน่นกลายเป็นร่างคน
“มิสเตอร์มูน แผนของผีดูดเลือดได้ข้อสรุปแล้วหรือ?” ‘จัสติส’ ออเดรย์ทักทายทุกคนในตอนแรก ก่อนจะหันมาถามด้วยความสนใจ
‘เดอะมูน’ เอ็มลินมองไปรอบๆ กล่าวเถรตรง:
“ใช่… แผนการก็คือ… เริ่มด้วยสมาชิกสองคนของฝ่ายฝักใฝ่ระงับการแรงปรารถนาที่หลบหนีออกจากโรงเรียนกุหลาบ…”
มันเล่าแผนการที่ชารอนเพิ่งอธิบายต่อหน้าเชอร์ล็อก·โมเรียตี้แก่เกอร์มัน·สแปร์โรว์และคนที่เหลือ แต่คราวนี้เป็นในมุมของผีดูดเลือด และปิดท้ายด้วย
“ถ้าพวกเราได้รับข้อมูลที่มีประโยชน์ ตระกูลผีดูดเลือดเลือดยังตั้งใจที่จะคว้าโอกาสนี้เพื่อบุกโจมตีสำนักงานใหญ่ของโรงเรียนกุหลาบและชิงสิ่งสำคัญมา”
“สิ่งสำคัญ… คืออะไร?” แคทลียาถามด้วยความสงสัย
สิ่งที่ทำให้เผ่าพันธุ์โบราณยอมเสี่ยงบุกโจมตีสำนักงานใหญ่องค์กรลับ ย่อมต้องไม่ธรรมดา!
ระดับความสำคัญอาจเหนือกว่าเทวทูตธรรมดาด้วยซ้ำ เทียบเท่าสมบัติปิดผนึกระดับ ‘0’ บางชิ้น!
‘เดอะมูน’ เอ็มลินไม่ปิดบัง
“สมบัติศักดิ์สิทธิ์ที่ท่านบรรพบุรุษผีดูดเลือดเหลือทิ้งไว้ โรงเรียนกุหลาบได้รับมันมาโดยบังเอิญ ส่วนจะเป็นสิ่งใดนั้น ข้าเองก็ไม่แน่ใจ”
มรดกจากลิลิธ… อยู่ในมือโรงเรียนกุหลาบ… ผีดูดเลือดให้ความสำคัญกับมันมาก… ไคลน์ซึ่งกำลังสวมบทบาทเป็น ‘เดอะเวิร์ล’ เกอร์มัน·สแปร์โรว์ เริ่มผุดแนวคิดขึ้นมากมาย และเมื่อผสมผสานกับความลับต่างๆ ที่ตนมีโอกาสได้ล่วงรู้ จึงเริ่มทำการคาดเดาอย่างคลุมเครือ
สิ่งนี้อาจเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้มารดาพฤกษาแห่งแรงกระหาย สามารถกัดกร่อนและยึดครอง ‘อำนาจ’ ส่วนหนึ่งของขอบเขต ‘จันทรา’ มาครอบครอง!
ชารอนไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้ฟัง… ผีดูดเลือดเองก็มีเป้าหมายและความทะเยอทะยาน… อา… เรียกว่าความทะเยอทะยานก็คงไม่ถูกนัก ต้นตระกูลแวมไพร์อย่างลิลิธซึ่งยังไม่มีใครทราบตัวจริง คล้ายกับท่านมองเห็นอนาคตล่วงหน้า มองเห็นความโกลาหลและการมาเยือนของหายนะ จึงสั่งให้เผ่าพันธุ์ผีดูดเลือดปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ เริ่มก้าวร้าวมากขึ้น เพื่อให้มีทางรอดในวันสิ้นโลกเพิ่มขึ้น? กล่าวได้ว่า นี่คือแผนการปล้นไม้กระดานช่วยชีวิตในวันโลกาวินาศ… ไคลน์ไม่กล่าวสิ่งใด ทำเพียงตั้งใจฟังอย่างเงียบงัน
ขณะคนอื่นกำลังไตร่ตรองข้อมูลสำคัญที่ ‘เดอะมูน’ เอ็มลินเปิดเผย ‘แฮงแมน’ อัลเจอร์เองก็ไม่ต่างกัน มันครุ่นคิดนานหลายวินาทีก่อนจะกล่าว:
“สรุปได้ว่า… ในแผนการนี้ ผีดูดเลือดอย่างพวกคุณจะคอยซ่อนตัวอยู่ในความมืด ไม่ต้องตกเป็นเป้าหมายของโรงเรียนกุหลาบ?”
“ใช่” ‘เดอะมูน’ เอ็มลินตอบทันที
แผนการของฝ่ายผีดูดเลือดถูกตัดสินใจโดยดยุคโอลเมอร์และมาร์ควิสนีบาส รวมไปถึงเอิร์ลอีกหลายตนในกรุงเบ็คลันด์ แน่นอนว่าในหลายประเด็นมีการระดมสมองอย่างหนัก ถึงแม้จะเป็นหมู แต่ถ้าใช้ชีวิตอยู่มานานนับพันปี ระดับสติปัญญาและประสบการณ์ย่อมไม่ธรรมดา
‘แฮงแมน’ อัลเจอร์พยักหน้าเล็กน้อย
“อีกหนึ่งคำถาม… คุณจะทราบได้ยังไงว่าผู้นำของโรงเรียนโรงเรียนกุหลาบในเบ็คลันด์เป็นเพียงระดับนักบุญ โดยไม่มีครึ่งเทพหรือเทวทูตตนอื่นซ่อนอยู่ในเงามืด?”
“คุณเองก็คงทราบดี สถานการณ์ปัจจุบันของกรุงเบ็คลันด์ค่อนข้างซับซ้อน ไม่ใช่เรื่องแปลกที่โรงเรียนกุหลาบจะแอบเพิ่มระดับความแข็งแกร่ง และถ้าเป็นเช่นนั้น คุณก็ไม่ต่างอะไรกับโจรที่บุกเข้าไปในซิลวารัสยาร์ดเพื่อขโมยของ”
ซิลวารัสยาร์ดเป็นชื่อเล่นของกรมตำรวจเบ็คลันด์
‘เดอะมูน’ เอ็มลินรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น:
“ในแผนการคราวนี้ ลอร์ดโอลเมอร์จะคอยจับตามองกระบวนการทั้งหมดด้วยตัวเอง แม้โรงเรียนกุหลาบจะมีเทวทูตมาเสริม แต่พวกเราก็สามารถหลบหนีอย่างง่ายดาย… และเหนือสิ่งอื่นใด ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหนในเบ็คลันด์ ไม่มีใครอยากสร้างความวุ่นวายขึ้น หากไม่สามารถเอาชนะอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด การดับลมหายใจอีกฝ่ายก็แทบไม่มีทางเกิดขึ้น เว้นเสียแต่จะมีวิธีปกปิดให้เป็นความลับ ส่วนใหญ่จึงเลือกที่จะสงบศึกและรักษาความปลอดภัยทั้งสองฝ่าย”
ได้ยินคำตอบดังกล่าว มุมปากแคทลียายกขึ้นเล็กๆ จนเกือบมองไม่เห็น ตามด้วยกล่าวตักเตือน:
“สำหรับผู้วิเศษลำดับต่ำกว่าครึ่งเทพ เพียงเทวทูตปะทะกันแผ่วเบาหนึ่งหน ผลกระทบที่เกิดขึ้นนั้นยิ่งใหญ่พอที่จะคร่าชีวิตพวกเขาง่ายดาย”
เอ็มลินได้สติตื่นจากความภาคภูมิใจในเผ่าพันธุ์ผีดูดเลือด หมดคำจะโต้แย้งมาสักพักแล้ว
ทันใดนั้น ‘จัสติส’ ออเดรย์หรี่ตาลงเล็กน้อย ครุ่นคิดสักพักและกล่าว:
“มิสเตอร์มูน ในแผนนี้ คุณต้องทำอะไรบ้าง?”
เราต้องทำอะไร? ก็ต้องเฝ้าจับตามองสมาชิกลับๆ ของโรงเรียนกุหลาบและรายงานเป้าหมายที่แท้จริงของเอิร์ลมิสทราล… คนที่ต้องลงมือจริงๆ มีเพียงมาร์ควิสนีบาส เอิร์ลมิสทราล และครึ่งเทพของโรงเรียนกุหลาบฝ่ายระงับแรงปรารถนา… ลอร์ดโอลเมอร์คอยเฝ้ามองทุกสิ่งอย่างลับๆ เพื่อป้องกันเหตุการณ์ไม่คาดฝัน… ด…ดูเหมือนว่างานหลักของเราจะเป็นการติดต่อกับวิญญาณอาฆาตที่ชื่อมาริค รวมถึงการคอยสื่อสารระหว่างทั้งสองฝั่ง… อา… ยิ่ง ‘เดอะมูน’ เอ็มลินครุ่นคิด สีหน้าของมันก็ยิ่งบิดเบี้ยว
ดูเหมือนว่า มันจะไม่มีงานจริงๆ จังๆ ให้ต้องทำ หรืออย่างน้อยก็ไม่ได้จับงานสำคัญ
……………………….