กรุงเบ็คลันด์ บ้านเลขที่ 160 ถนนเบิร์คลุน
เกอร์มัน·สแปร์โรว์ปรากฏตัวในห้องนอนใหญ่ของคฤหาสน์ สวมชุดกันลมสีดำ หมวกทรงกึ่งสูงยังคงตั้งตรง
ดอน·ดันเตสที่นอนอยู่บนเตียงหายไปทันที กลายเป็นกระจกเงาแผ่นเท่าฝ่ามือ
คงไม่มีใครแวะเข้ามา เพราะดูท่าแล้วอาโรเดสจะไม่ได้ทำอะไรเลย… เห็นฉากตรงหน้า เห็นบรรยากาศอันเงียบสงบภายในห้องนอน ไคลน์ถอนหายใจโล่งอก ส่วนสูงเพิ่มขึ้นเล็กน้อย จอนสีขาวผุดขึ้นข้างขมับ ดวงตากลายเป็นสีน้ำเงินลุ่มลึก เปลี่ยนกลับเป็นร่างดอน·ดันเตสโดยสมบูรณ์
พร้อมกันนั้น ผิวกระจกเงาเกิดคลื่นกระเพื่อม แสงสีเงินเรียงตัวกันเป็นข้อความ
“เรียนนายท่านผู้ยิ่งใหญ่ ข้าไม่ได้ทำอะไรเลยในคืนนี้! ไม่สิ ข้าสวมบทบาทเป็นดอน·ดันเตสที่หลับสนิทได้อย่างไร้ข้อบกพร่อง… นอกจากนั้น ข้ายังได้เผชิญกับเหตุการณ์บางอย่าง ท่านอยากจะทราบหรือไม่?”
ไคลน์มองข้ามประโยคแรกที่อาโรเดสต้องการให้ชมเชย รีบโยนหมวกไปทางเก้าอี้เอนหลังด้วยหัวใจเต้นระรัว และถามเสียงทุ้ม
“เล่ามา”
บนผิวกระจก ข้อความเดิมสลายตัว เรียงกันเป็นประโยคใหม่
“มีสตรีผู้หนึ่งมองเข้ามาในคฤหาสน์จากบนถนน”
…แล้วแปลกยังไง? แต่ละวันมีคนเดินผ่านหน้าบ้านนับไม่ถ้วน คงมีสักคนสองคนที่ชื่นชมสภาพแวดล้อม… ขณะไคลน์เตรียมถามเพิ่มเติม ผิวกระจกผุดคลื่นน้ำกระเพื่อมและกลายเป็นภาพของบุคคลผู้หนึ่ง
ในสายตาคนทั่วไป สตรีผู้นี้แต่งกายค่อนข้างแปลก สวมเสื้อคลุมสีดำของผู้สื่อวิญญาณ ใต้ตาและโหนกแก้มทาสีฟ้า แผ่กลิ่นอายความสง่างาม ลุ่มลึก และเป็นเอกลักษณ์ แน่นอน ไม่ใช่ใครนอกจากดาลีย์·ซิโมเน่
สตรีผู้นี้นั่งรถม้าไปตามถนนเบิร์คลุน ขณะผ่านหน้าบ้านเลขที่ 160 เธอมองออกนอกหน้าต่างนานกว่าสามวินาที
ให้ตายสิ… อย่าบอกนะว่า หลังจากสบตากับดอน·ดันเตสวันนั้น เธอเกิดความประทับใจจนพยายามสืบหาที่อยู่? ไคลน์ขมวดคิ้วสักพัก ก่อนจะถามกลับ
“แค่นี้?”
“ขอรับ!” อาโรเดสตอบด้วยการเน้นคำบนผิวกระจก ด้านข้างเป็นภาพสัญลักษณ์การ ‘สาบาน’
ไคลน์ผงกศีรษะรับ เมินเฉยความกระตือรือร้นของกระจกวิเศษ กล่าวคำอำลากับอีกฝ่าย
จัดการทั้งหมดเสร็จ ไคลน์นำเทียนไขออกมาเตรียมประกอบพิธีกรรมอัญเชิญตัวเอง ตัวสนองตัวเอง เพื่อนำสิ่งของที่รวบรวมมาได้เข้าไปในมิติเหนือสายหมอก รวมถึงเสื้อผ้าที่เกอร์มัน·สแปร์โรว์สวมใส่ เพราะไม่อยากให้เครื่องแต่งกายของสองตัวตนปะปนกัน
เป๊าะ!
ชายหนุ่มดีดนิ้ว จุดไฟสีแดงบนเทียนไข
ไฟ
ไฟ…
รูม่านตาไคลน์หดเกร็งนานสองสามวินาที ก่อนจะรีบเบือนหน้าหนีจากเทียนไข
จากนั้น มันบังคับ ‘วิญญาณอาฆาต’ เซนอลค่อยๆ เข้าใกล้โต๊ะอ่านหนังสือ
ระหว่างดำเนินการ ฝ่ามือเซนอลสั่นระริกอย่างมิอาจหักห้าม แต่ในท้ายที่สุด มันดับไฟเทียนไขสำเร็จ
นอนก่อนก็แล้วกัน พรุ่งนี้ค่อยมาจัดการ… ไม่สิ ไม่ได้… ไพ่ทรราชถูกกระตุ้นการทำงานแล้ว ถึงจะผนึกไว้ด้วยกำแพงวิญญาณ แต่ก็อาจปิดกั้นอำนาจการดึงดูดในเส้นทางเดียวกันไม่หมด… บางทีอาจทำได้แค่บรรเทาอิทธิพล… ตอนที่เข้าไปในบายัม เรารีบกลับออกมาทันทีโดยไม่มัวรีรอ… ไคลน์ที่ใจเย็นลง ครุ่นคิดเกี่ยวกับปัญหาตรงหน้า
ผ่านไปสักพัก ชายหนุ่มยกมือขึ้นอีกครั้งและดีดนิ้วจุดไฟบนเทียน
วินาทีถัดมา มันพยายามข่มความกลัวในใจ บังคับเซนอลให้หยิบเทียนไขออกมาอีกสองเล่ม ประกอบพิธีกรรมสังเวยซึ่งไม่ต้องรอการตอบสนอง ไม่ต้องนำร่างวิญญาณผ่านแสงเทียนไขออกมายังโลกความจริง
จัดการเสร็จ ไคลน์ก้มศีรษะลงอย่างยากลำบาก เอ่ยพระนามเต็มของเดอะฟูลโดยไม่กล้าจ้องเทียนไขตรงๆ
ชายหนุ่มกล้ำกลืนฝืนทนจนกระทั่งพิธีกรรมจบลง สังเวยรางวัลทุกชิ้นเข้าไปในมิติเหนือสายหมอก
ฟู่ว… ไคลน์ถอนหายใจโล่งอก ถอยหลังสี่ก้าว ส่งตัวเองเข้าไปในมิติเหนือสายหมอก บนที่นั่งของเดอะฟูล มันหยิบไพ่ทรราชออกมาสำรวจเป็นอันดับแรก
ทันใดนั้น ไพ่เย้ยเทพแปรสภาพกลายเป็นวัตถุสามมิติ คล้ายหนังสือขนาดเท่าฝ่ามือ
แผ่นแล้วหน้าเล่า ไคลน์พบโรซายล์·กุสตาฟในทุกหน้า บ้างสวมชุดกะลาสี บ้างสวมหมวกกัปตัน บ้างถือเครื่องวัดมุมดวงดาว และบ้างกำลังร้องเพลงโดยมีฉากหลังเป็นทะเล
ไคลน์หมดคำจะกล่าวไปพักหนึ่ง เชื่อว่าแล้วชายคนนี้เป็นพวกหลงตัวเองขั้นสุด
ถ้าไพ่ของเส้นทางแม่มดยังใช้หน้าตัวเอง คงไม่มีอะไรต้องพูดกันอีก… ไคลน์จิกกัดพลางพลิกอ่านแต่ละหน้า จดจำชื่อของโอสถและวัตถุดิบของเส้นทางวายุสลาตันทั้งหมด
ลำดับ 9 ลูกเรือ… ลำดับ 8 ผู้บันดาลโทสะ… ลำดับ 7 นักเดินเรือ… ลำดับ 6 ข้ารับใช้วายุ… ลำดับ 5 ผู้ขับขานสมุทร… ลำดับ 4 ผู้สังเวยภัยพิบัติ… ลำดับ 3 เจ้าสมุทร… ลำดับ 2 ภัยธรรมชาติ… ลำดับ 1 เทพอสนี… ลำดับ 0 ทรราช…
การขึ้นเป็น ‘ทรราช’ หรือที่เรียกว่าพิธีกรรมสู่การเป็น ‘เทพวายุสลาตัน’ แตกต่างจาก ‘จักรพรรดิมืด’ พอสมควร อันดับแรก ต้องผู้ประกอบพิธีต้องทำให้สาวกนับแสนคนยอมศิโรราบด้วยความหวาดกลัว อันดับที่สอง ต้องท้าทายกับเทพแท้จริงสักตน เช่นลำดับ 0 ของเส้นทางอื่น และเอาชีวิตรอดมาได้ จากนั้นก็ดื่มโอสถและเลื่อนลำดับท่ามกลางความหวาดกลัวและการยอมจำนน
ไม่ยากเกินไปหน่อยหรือ? ให้ลำดับ 1 ซึ่งยังครอบครองพลังเทพไม่สมบูรณ์ ไปต่อกรกับเทพแท้จริงโดยตรง… แปดในสิบคงจบลงด้วยความตาย… แล้วถ้าในยุคสมัยดังกล่าวไม่มีลำดับ 0 ตนอื่นอยู่เลย? ต้องปลุกปั้นให้ใครสักคนไปถึงจุดนั้น? หรือไม่ก็ย้ายตัวเองไปยังเส้นทางใกล้เคียง? แน่นอนว่า พิธีกรรมไม่ใช่สิ่งจำเป็นเสมอไป หากมีโชคมากพอ การดื่มโอสถเปล่าๆ ก็สามารถประสบความสำเร็จได้เช่นกัน ดูจาก ‘คาเวทูว่า’ เป็นตัวอย่าง… แถมนั่นยังไม่ใช่โอสถ แต่เป็นตะกอนพลังที่ถูกแบ่งออกมา…
แก่นสารสำคัญของพิธีกรรมก็คือ ท้าทายเทพแท้จริง เผชิญกับความหวาดกลัวและยอมจำนน?
อา… ดูเหมือนว่าทรราชจะไม่มีพลังในการแหกกฎธรรมชาติเหมือนกับจักรพรรดิมืด ไม่สามารถคืนชีพได้ใหม่จากความว่างเปล่า แต่แลกมากับพลังในการเปลี่ยนตัวเองให้เป็นสายฟ้าช่วงเวลาสั้นๆ และยังอาจสร้างภัยพิบัติระดับทำลายโลกได้ด้วยตัวคนเดียว… เนื้อหาที่จักรพรรดิโรซายล์เขียนไว้ส่วนใหญ่ เป็นการอธิบายพิธีกรรมและสูตรโอสถ แทบไม่เล่าถึงลักษณะของพลังและอำนาจในขอบเขตของทรราช…
ไคลน์เสกกระดาษเปล่าด้วยท่าทีผ่อนคลาย ใช้ปากกาหมึกซึมเขียนสูตรโอสถลำดับ 4 ‘ผู้สังเวยภัยพิบัติ’ และกำกับท้ายด้วยประโยคสไตล์เกอร์มัน·สแปร์โรว์
“อย่าพยายามนึกถึงภาพวาดนั้น”
ประโยคนี้มีไว้เพื่อตักเตือนแฮงแมนว่า ในโลกเหนือธรรมชาติ ห้ามประมาทสิ่งที่เกี่ยวข้องกับลำดับ 0 โดยเด็ดขาด ไม่ว่าจะน่าเหลือเชื่อมากแค่ไหนก็ตาม
จริงอยู่ การพูดคุยบนเกาะหลังจากได้เห็นภาพอาจยังไม่ทำให้เกิดอันตราย แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าจะปลอดภัยได้ตลอดรอดฝั่งหากทำข้างนอก เกรงว่าถ้าย้อนกลับไปคิดถึงบ่อยนัก สักวันอาจโชคร้ายถูกสายฟ้าผ่าตาย หรือไม่ก็เผชิญกับปัญหาที่ไม่มีทางแก้ หรือไม่ก็เส้นเลือดในสมองแตก หรือไม่ก็เดินออกไปตากแดดแล้วร้อนตายโดยที่ช่วยเหลือไม่ทัน
พิธีกรรมการเลื่อนเป็น ‘ผู้สังเวยภัยพิบัติ’ นับว่าอันตรายมาก… ต้องทำให้เกิดแผ่นดินไหวและคลื่นยักษ์ จากนั้นก็ดื่มโอสถท่ามกลางสถานการณ์ดังกล่าวจนจบ ห้ามหนีไปไหน… ไคลน์พับกระดาษและวางลง เก็บไพ่ทรราช
หลังจากใช้เทคนิคการทำนายช่วยให้ทราบว่า ตะกอนพลังทั้งสามชนิดที่ตนได้มาเมื่อคืนประกอบด้วย ลำดับ 5 จากเส้นทางจักรพรรดิมืด ‘ผู้ชี้นำความสับสน’ ลำดับ 5 จากเส้นทางวายุสลาตัน ‘ผู้ขับขานสมุทร’ และลำดับ 5 จากเส้นทางนักเพาะปลูก ‘ดรูอิด’ ไคลน์มีเวลาทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างการสำรวจ มองหาข้อมูลที่ซ่อนอยู่
‘สุริยันเจิดจรัส’ อยู่บนเส้นทาง ‘สุริยัน’ ไม่ผิดแน่… ขณะเดียวกัน พระผู้สร้างที่เมืองเงินพิสุทธิ์นับถือ มีอีกชื่อหนึ่งว่าเทพสุริยันบรรพกาล เรื่องนี้มีหลักฐานยืนยันมากมาย โดยเฉพาะบันทึกจากยุคสมัยที่สี่และภาพจิตรกรรมของเอลฟ์… จากกฎความถาวรของพลังพิเศษ การมีลำดับ 0 หมายถึงการไม่มีลำดับ 1 เทวทูตสีขาวในเวลานั้นจึงยังไม่น่าจะใช่ราชาเทวทูต… แต่ถ้าไม่ใช่ราชาเทวทูต ก็ไม่ควรมีสิทธิ์เข้าร่วม ‘งานเลี้ยง’ กัดกินศพเทพสุริยันบรรพกาล เพราะการกระโดดจากลำดับ 2 ไป 0 ในทันที มีโอกาสสูงมากที่จะทำให้เกิดภาวะคลุ้มคลั่ง!
บางที เทพสุริยันเจิดจรัสอาจเปลี่ยนมาจากเส้นทางอื่น จึงค่อยมาเป็นเทพแท้จริงบนเส้นทางสุริยัน… หรือบางที เส้นทางหลักของเทพสุริยันบรรพกาลจากไม่ใช่ ‘สุริยัน’ แต่ท่านถือครอง ‘อำนาจ’ ในขอบเขตดวงอาทิตย์… หลังจากไล่ทวงคืน ‘อำนาจ’ กลับจากเทพบรรพกาลทั้งแปด พระองค์ได้แจกจ่าย ‘อำนาจ’ ไปยังเหล่าเทวทูตที่คอยรับใช้ เปลี่ยนให้ทุกคนกลายเป็นราชาเทวทูต? นี่คือสาเหตุที่ภาพจิตรกรรมฝาผนังของเอลฟ์ซึ่งส่งต่อกันมารุ่นสู่รุ่นระบุเพียงว่า เทพสุริยันบรรพกาล ‘เคย’ ครอบครองพระราชอำนาจในขอบเขตดวงอาทิตย์ ไม่มีหลักฐานยืนยันว่าเป็นของพระองค์แต่แรก?
ยังมีอีกหนึ่งความเป็นไปได้ หลังจากพระผู้สร้างทวงคืน ‘อำนาจ’ มาจากเหล่าเทพบรรพกาล ท่านสามารถเลื่อนลำดับให้เหล่าเทวทูตรับใช้ จากลำดับ 2 เป็นลำดับ 1 ในเส้นทางเดียวกัน…
ไคลน์หันกลับมาสนใจในประเด็นที่ว่า ใครเป็นคนสร้างวิหาร ใครเป็นคนวาดภาพดังกล่าว เพราะเมื่อนำข้อมูลทั้งหมดมาประกอบเข้าด้วยกัน เป็นการยากที่จะหาข้อสรุปได้ทันที จึงตัดสินใจค่อยๆ เขียนเบาะแสลงบนกระดาษหนังและหาความเชื่อมโยง
เกาะโบราณถูกพบโดยคีลิงเกอร์และมิสเตอร์แฮงแมน…
คีลิงเกอร์รับทำภารกิจให้สภานักสิทธิ์สนธยาเพื่อแลกกับสมบัติล้ำค่า เดินทางมายังกรุงเบ็คลันด์และพยายามลอบสังหารดยุคนีแกน แต่ถูกฆ่าตายด้วยฝีมือมิสเตอร์อะซิก…
คีลิงเกอร์บอกกับมิสเตอร์แฮงแมนว่า ภายในซากวิหารมีสมบัติในระดับทัดเทียมไพ่เย้ยเทพของโรซายล์อยู่ แต่ต้องมีลำดับ 5 เป็นอย่างน้อยในการสำรวจ…
ภายหลัง มันได้ครอบครองยุบพองหิวโหย กลายเป็นพลเรือโจรสลัดซึ่งมีฝีมือเทียบเท่าลำดับ 5…
แต่ไพ่ทรราชใบนี้ยังคงถูกเก็บอยู่ในส่วนลึกของซากวิหาร…
หลังจากนั้นคีลิงเกอร์ไม่ได้เข้ามาสำรวจอีกเลย? หรือลองแล้วแต่ล้มเหลว?
วิหารดังกล่าวถูกสร้างโดยมีความศรัทธาเอียนเอียงไปทางเทพสุริยันบรรพกาล ภาพจิตรกรรมด้านในเขียนเกี่ยวกับประวัติศาสตร์อันดำมืดของเทพจารีตในปัจจุบัน และเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อน ‘มหาภัยพิบัติ’ … ค่อนข้างชัดเจนว่าผู้วาดอยู่ฝ่ายเดียวกับเทพสุริยันบรรพกาล…
เป็นที่น่าสงสัยว่า สภานักสิทธิ์สนธยาถูกก่อตั้งโดยบุตรแห่งเทพ อาดัม เป้าหมายคือการคืนชีพให้กับเทพสุริยันบรรพกาล พระผู้สร้างที่เมืองเงินพิสุทธิ์นับถือ…
เกาะโบราณดังกล่าวหายไป ราวกับไม่เคยมีตัวตนมาก่อน…
อาดัมคือเทวทูตจินตภาพ… จากบรรดาสมาชิกแกนหลักของสภานักสิทธิ์สนธยา มีเทวทูตอย่างน้อยหนึ่งคน นั่นคือเฮอร์มิส…
สภานักสิทธิ์สนธยามีแนวโน้มที่จะเลือกสมาชิกจากเส้นทาง ‘นักเดินเรือ’ ‘นักอ่าน’ และ ‘สุริยัน’ … มีความเป็นไปได้ว่า พวกเขาอาจถือครองวัตถุดิบลำดับสูงของเส้นทางวายุสลาตัน รวมถึงวัตถุที่เกี่ยวข้อง… อาจถึงขั้นมีเทวทูตจากเส้นทางนี้เป็นสมาชิก…
ไคลน์วางปากกาลง ตรวจทานรายละเอียดที่เขียนลงบนกระดาษอย่างถี่ถ้วน สร้างสมมติฐานขึ้นในใจข้อหนึ่ง
……………………………………………………..