เมื่อได้เห็นภาพดังกล่าวเต็มสองตาผ่านมุมมองของ ‘วิญญาณอาฆาต’ เซนอล หัวใจไคลน์เต้นแรงกะทันหัน เสียงโครมครามดังกังวานชัดเจน
ในฐานะ ‘นักทำนาย’ ที่เก่งด้านการตีความวิวรณ์และสัญลักษณ์ ปัจจุบันสมองกลับขาวโพลน เลือดในร่างกายไหลเวียนไปยังศีรษะอย่างบ้าคลั่งจนเกิดอาการวิงเวียน คล้ายกับพยายามปิดกั้นความคิดอ่าน
เลวร้ายถึงขั้นมีเสียงมายาของตัวเองดังก้องอยู่ในความคิด อารมณ์เต็มเปี่ยมด้วยความหวาดผวา
ศ…ศพที่กำลังถูกกลืนกิน น่าจะสื่อถึงเทพสุริยันบรรพกาล สื่อถึงพระผู้สร้างทุกสรรพสิ่งตามความเชื่อของชาวเงินพิสุทธิ์ มหาเทพผู้ปราดเปรื่องและทรงพลัง!
และบุคคลชั่วร้ายทั้งสามรอบๆ ตัวเขา… ร…เราเคยเห็น ‘พวกท่าน’ มาก่อน!
ในซากปรักหักพังใต้ดินของเบ็คลันด์… ในจุดที่วิญญาณมารอันน่าสะพรึงกลัวถูกผนึกไว้!
แต่คราวนั้น เราพบในลักษณะรูปปั้น และไม่ชั่วร้ายเหมือนกับในภาพนี้… แต่ละท่านประกอบไปด้วย…
‘เทพสุริยันเจิดจรัส’ ‘เทพวายุสลาตัน’ ‘เทพปัญญาความรู้’ !
ทันใดนั้น ไคลน์พลันนึกถึงสมญานามหนึ่งที่เคย ‘เรียนรู้’ จากการเผชิญหน้ากับ ‘สุริยันเจิดจรัส’
เทวทูตสีขาว!
นี่มัน… ไม่มีทาง… อย่าบอกนะว่า ‘สุริยันเจิดจรัส’ เคยเป็นเทวทูตรับใช้ของ ‘เทพสุริยันบรรพกาล’ มาก่อน? เดอะซันน้อยเคยกล่าวไว้ว่า ในหมู่บ้านยามบ่าย เขาได้ยินนักบวชของพระผู้สร้าง พึมพำบางสิ่งด้วยน้ำเสียงสำนึกผิด เนื้อหาค่อนไปในทางพยากรณ์ หนึ่งในนั้นประกอบด้วยประโยคนี้ : เหล่าราชามักแอบพบกันในวังแห่งสนธยาเพื่อสมคบคิดบางสิ่ง… แต่เดิม เทพสุริยันบรรพกาลคือ ‘เทวทูตสีขาว’ หนึ่งในราชาเทวทูตที่ทรยศต่อพระผู้สร้าง?
ท่านและ ‘เทพวายุสลาตัน’ กับ ‘เทพปัญญาความรู้’ รวมถึงทารกผิวเข้มที่ยังไม่ทราบว่าเป็นใคร ได้ครอบครองประโยชน์สูงสุดโดยการกินศพของพระผู้สร้างที่เมืองเงินพิสุทธิ์นับถือ… บรรดาโบสถ์หลักต่างบันทึกตรงว่า เทพทั้งสามพระองค์ถือกำเนิดจากการแบ่งดวงวิญญาณของพระผู้สร้างต้นกำเนิด… หากเปลี่ยนมุมมอง นี่คือคำบอกใบ้ของประวัติศาสตร์อันดำมืด?
ถ้าทฤษฎีนี้เป็นจริง แปลว่า ‘วายุสลาตัน’ กับ ‘เทพปัญญาความรู้’ ก็น่าจะเป็นราชาเทวทูตที่คอยรับใช้พระผู้สร้างที่เมืองเงินพิสุทธิ์นับถือเช่นกัน… บางที พวกท่านอาจเคยถูกเรียกว่า ‘เทวทูตวายุ’ และ ‘เทวทูตปัญญา’
ถ้าเป็นแบบนี้ ราชาเทวทูตทั้งแปดจะประกอบด้วย เทวทูตมืด เทวทูตสีขาว เทวทูตวายุ เทวทูตปัญญา เทวทูตจินตภาพ เทวทูตกาลเวลา เทวทูตโชคชะตา และเทวทูตสีชาด… จากคำบอกเล่าของเดอะซันน้อย ในภายหลัง ดูเหมือนว่านอกจากบุตรชายทั้งสองของพระผู้สร้างอย่างอามุนด์และอาดัม ราชาเทวทูตที่เหลือได้ทรยศต่อพระผู้สร้าง… ถ้าเป็นแบบนี้จริง จุดจบของเทพสุริยันบรรพกาลไม่น่าสมเพชไปหน่อยหรือ? แต่ว่า ภาพนี้อาจเป็นแค่การใส่ร้าย เรายังไม่มีข้อมูลยืนยัน…
ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าทารกผิวเข้มที่นั่งอยู่ในท้องของเทพสุริยันบรรพกาลหมายถึงใคร… แต่คนที่น่าสงสัยที่สุดคงหนีไม่พ้น ‘พระผู้สร้างแท้จริง’ … ไคลน์คิดหลายสิ่งภายในเวลาอันสั้น ยิ่งไตร่ตรองมากเท่าไหร่ ก็อยากปล่อยวางและหันหลังหนี หลอกตัวเองว่าไม่เคยเห็นภาพนี้มาก่อน
ณ ตอนนี้ ภายในใจชายหนุ่มผุดความหวาดกลัวที่มิอาจควบคุม รู้สึกราวกับ ‘สุริยันเจิดจรัส’ ‘วายุสลาตัน’ และ ‘เทพปัญญาความรู้’ กำลังทอดสายตาลงมาจากดินแดนดารา
ใครเป็นคนวาดภาพนี้? คนที่รู้ความลับมากมาย และยังอยู่ฝ่ายเดียวกับเทพสุริยันบรรพกาล… หนึ่งในราชาเทวทูตที่คอยรับใช้พระผู้สร้างด้วยศรัทธาแรงกล้า? เหงื่อเย็นๆ ผุดขึ้นเต็มแผ่นหลังไคลน์ ร่างกายสั่นเทาเล็กน้อย
แม้ว่าทักษะการสังเกตของอัลเจอร์จะไม่ดีเท่า ‘จัสติส’ แต่ก็เป็นคนที่ผ่านอะไรมามาก ท่ามกลางสภาพแวดล้อมซึ่งต้องใช้ความระมัดระวัง ไม่ใช่เรื่องยากที่จะพบว่ามีบางสิ่งผิดปรกติเกิดขึ้นกับเกอร์มัน·สแปร์โรว์
“เกิดอะไรขึ้น?” มันถามเสียงแผ่ว
ไคลน์พลันสะดุ้ง รีบบังคับให้ ‘วิญญาณอาฆาต’ เซนอลถอนสายตากลับ พลางใช้ร่างต้นชี้ไปทางที่ว่างวงกลมใจกลางห้อง
“เห็นแล้วจะเข้าใจเอง”
ภาพที่ทำให้เกอร์มัน·สแปร์โรว์สั่นสะท้าน… เราจะไม่คลุ้มคลั่งทันทีหลังจากได้เห็นหรือ? แต่ในเมื่อเขาไม่ได้ห้าม แถมยังเชื้อเชิญให้ดูด้วยตัวเอง ปัญหาก็คงไม่ร้ายแรง… แต่ยังไม่ควรตัดความเป็นไปได้ที่ชายคนนี้จะเสียสติไปแล้ว และกำลังแสร้งทำเป็นปรกติ… อัลเจอร์ครุ่นคิดหลายสิ่งในพริบตา ก่อนจะตัดสินใจก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับตะเกียง ตรงไปยังเขตส่วนกลาง
ผ่านไปเจ็ดแปดก้าว มันได้เห็นเนื้อหาของภาพโทนหม่นอย่างชัดเจน
เพียงสามถึงสี่วินาที มือของอัลเจอร์ที่ถือมีดสั้นและตะเกียง สั่นระริกอย่างมิอาจควบคุม คล้ายกับกำลังเจ็บป่วยทางจิต
ตัวมันซึ่งเป็นสมาชิกชุมนุมทาโรต์ ย่อมเคยเห็นรูปปั้นร่างมนุษย์ของหกเทพจารีตที่ ‘เดอะเวิร์ล’ เกอร์มัน·สแปร์โรว์แสดง นั่นจึงหมายความว่า บุคคลทั้งสามที่กำลังกัดแขน กินหัวใจ และดูดสมอง ไม่ใช่ใครนอกจาก ‘วายุสลาตัน’ ‘สุริยันเจิดจรัส’ และ ‘เทพปัญญาความรู้’ !
แม้ว่ามันจะเคยถูกคีลิงเกอร์บีบบังคับให้ทำในสิ่งที่ถือเป็นการทรยศต่อศาสนจักร แม้ว่าจะเข้าร่วมชุมนุมทาโรต์ ตีตัวออกหากจาก ‘ห้วงลึกแห่งพายุ’ และศรัทธาในตัวมิสเตอร์ฟูล แสวงหาพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม แม้ว่าจะทรยศศาสนจักรโดยการนำข้อมูลภายในออกมาเผยแพร่หลายครั้ง แต่อัลเจอร์ยังมองว่าตัวเองเป็นสาวกของ ‘วายุสลาตัน’ เพียงแต่ไม่เคร่งมากเท่ากับคนอื่น หลังจากได้เห็นภาพเมื่อครู่ มันจึงเชื่อจากก้นบึ้งว่าตนได้ก่อบาปร้ายแรงที่ถือเป็นการดูหมิ่นพระองค์ อยากจะควักลูกตาตัวเองออกมาด้วยความกลัว
การที่ยังไม่ฆ่าตัวตายในทันที แสดงให้เห็นแล้วว่าเราเป็นแค่สาวกจอมปลอม… อัลเจอร์ไม่กล้าดูนาน รีบหันกลับมามองเกอร์มัน·สแปร์โรว์และถามเสียงสั่น
“ราชาเทวทูตทั้งสาม?”
“ยังยืนยันไม่ได้ บอกได้เพียงว่า ‘สุริยันเจิดจรัส’ มีความเกี่ยวข้องกับ ‘เทวทูตสีขาว’ ” ไคลน์ตอบคลุมเครือ
อย่างที่คิด… อัลเจอร์พบว่า ‘วายุสลาตัน’ ‘สุริยันเจิดจรัส’ และ ‘เทพปัญญาความรู้’ ครั้งหนึ่งเคยเป็นราชาเทวทูต
การที่เกอร์มัน·สแปร์โรว์ไม่สามารถยืนยันเรื่องนี้ อัลเจอร์ไม่แปลกใจนัก เพราะท้ายที่สุดแล้ว อีกฝ่ายเป็นเพียงข้ารับใช้ ไม่ใช่ตัวมิสเตอร์ฟูลเอง
อัลเจอร์เตรียมกล่าวบางสิ่ง ทันใดนั้นพลันได้ยินเสียงหวีดแหลม
เสียงคล้ายกับใครบางคนในโลงศพ กำลังใช้เล็บข่วนฝาโลงหิน!
นี่ไม่ใช่การอุปมา แต่เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้น!
ครืด! กึก! ครืด!
สามโลงศพทางซ้ายและขวากำลังส่งเสียงแหลมเสียดแทง จากนั้น ฝาโลงสีเทาอ่อนที่ดูเหมือนจะมีน้ำหนักมาก บ้างถูกยกขึ้น บ้างระเบิดออก สามบุคคลที่บิดเบี้ยวพยุงตัวลุกขึ้นมา
หนึ่งในนั้นสวมเสื้อคลุมแปลกตา สีขาวเกือบเทา ใบหน้าเน่าและเป็นหลุม ตรงคอ หน้าผาก หลังมือ เต็มไปด้วยดวงตาจมลึก ข้างๆ กันเป็นชายฝ่ามือใหญ่ นิ้วอ้วนป้อม คล้ายแกะสลักจากไม้ ผิวปกคลุมด้วยหนองสีเขียวเหลือง แถมรอบๆ ยังเต็มไปด้วยหมอกสีเดียวกัน มีอำนาจกัดกร่อนโลงศพหิน
อีกด้านหนึ่ง ชายสวมแจ็คเก็ตสีน้ำตาลขาดวิ่น สวมหมวกสามมุมมีรูปหัวกะโหลกสีขาว ผิวหนังหลายส่วนผุกร่อนจนเผยให้เห็นกระดูก
ภายใต้เสื้อผ้ามีหนวดยาวและหนา ผิวหนวดเป็นเกล็ดปลา มอบความรู้สึกน่าเกรงขาม บ้าคลั่ง และทรราช ขณะเดียวกันก็แผ่ออร่าที่น่าหวาดกลัว ทำให้ไคลน์รู้สึกคล้ายกับกำลังเผชิญหน้าผู้วิเศษลำดับสูงของเส้นทางพายุ แต่ในความเป็นจริง ดูเหมือนว่า ‘ระดับตัวตน’ จะยังไม่ถึงขั้นนั้น
ศพทั้งสามคลานออกจากโลง พลางมองไปยังทิศทางที่เกอร์มัน·สแปร์โรว์และอัลเจอร์ยืนอยู่ ศพหนึ่งสร้างสายฟ้าสีเงินรายล้อมร่างกาย อีกศพฉายภาพพวกพ้องทั้งสองบนกระจกตาที่มีอยู่เต็มลำตัว และศพสุดท้ายแพร่หมอกสีเขียวเหลืองพร้อมกับสร้างเถาวัลย์สีน้ำตาล
ขณะเดียวกัน เสียงฝีเท้า ‘ตึงตึงตึง’ พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วและหนักหน่วง ดูเหมือนว่าการ์กอยล์หกปีกกำลังวิ่งมาที่นี่
ฉากตรงหน้าไม่ทำให้ไคลน์ลนลาน มือซ้ายในกระเป๋าจับบันทึกการเดินทางของเลมาโน่อย่างใจเย็น มือขวาทำลายกำแพงวิญญาณด้วยสองนิ้ว ปลดปล่อยนกหวีดทองแดงของอะซิกให้เป็นอิสระ
จากนั้น ชายหนุ่มสะบัดข้อมือ โยนนกหวีดทองแดงไปยังอีกด้านหนึ่งของห้องเก็บศพ และไม่ผิดคาด ศพที่น่ากลัวทั้งสามทำตัวเหมือนกับสุนัขล่าเนื้อ หักเหทิศทางและวิ่งตามไป
เห็นภาพดังกล่าว ดวงตาอัลเจอร์แข็งทื่อในช่วงแรก ก่อนจะคิดไวทำไว ทิ้งตะเกียงและรีบวิ่งไปที่ประตู
ประสบการณ์ได้บอกมันว่า เกอร์มัน·สแปร์โรว์สามารถรับมือกับศพทั้งสามได้พร้อมกัน และสิ่งที่มันต้องทำคือการหยุดการ์กอยล์หกปีก ไม่ปล่อยให้เข้าไปยุ่งกับการต่อสู้ของนักผจญภัยเสียสติ
โครม!
ยังไม่ทันจะถึงประตู อัลเจอร์เห็นประตูหินสูงใหญ่ขาดสะบั้นออกจากกัน การ์กอยล์หกปีกที่ถือง้าวหินยาวเจ็ดแปดเมตรกำลังพุ่งเข้ามาด้านใน
มันสูดลมหายใจเข้า โทสะลุกโชนในดวงตา มัดกล้ามเนื้อขยายตัว จากนั้นก็พุ่งไปข้างหน้าด้วยความช่วยเหลือของสายลมกระโชก ฟันกวาดด้วยมีดสั้นที่มีสายฟ้าห่อหุ้ม
โครม!
อัลเจอร์หลบง้างหินที่ทุบลงพื้นพร้อมกับใช้มีดสั้นฟันใส่ท้อง
ประกายสายฟ้าปะทุออก ร่างอัลเจอร์กระเด็นถอยหลัง ส่วนการโหมบุกของการ์กอยล์หกปีกมีอันต้องชะงักไป
โครม! อัลเจอร์กระแทกพื้นอย่างแรง แต่ ‘เบาะลม’ ที่สร้างขึ้นช่วยให้ไม่บาดเจ็บ
ขณะเดียวกัน ศพทั้งสามกำลังมารวมตัวรอบนกหวีดทองแดง
ไคลน์จ้องพวกมันอย่างเยือกเย็น มือซ้ายเปิดสมุดเวทมนตร์ไปยังหน้ากระดาษสีเหลืองไหม้ที่มีลวดลายซับซ้อน
นี่คือพลังพิเศษระดับครึ่งเทพที่ถูกบันทึกไว้ล่วงหน้า : พายุสายฟ้า!
จากนั้น ไคลน์ใช้นิ้วมือขวาข้างที่ถือลางมรณะ ลูบไล้ไปบนหน้ากระดาษ
สายตาจดจ้องศพทั้งสามที่พยายามแย่งชิงนกหวีดทองแดงอะซิก ปากขยับทักทายเสียงต่ำ
“ลาก่อน”
ท่ามกลางเสียง ‘เปรี้ยะ’ สายฟ้าสีเงินหลายเส้นผุดจากความว่างเปล่า ถักสานกันเป็นพายุในตำแหน่งของนกหวีดทองแดงอะซิกและศพทั้งสาม
ห้องเก็บศพถูกย้อมด้วยแสงสว่างสีขาวราวกับช่วงเวลากลางวัน แม้แต่อัลเจอร์ก็ยังต้องหรี่ตาลง ร่างกายของมันสั่นระริกจากออร่าอันทรงพลังที่กำลังแผ่ซ่านไปทุกทิศ
ในวินาทีที่พายุสายฟ้าก่อตัว อัลเจอร์อาศัยแรงลม ส่งร่างกายให้กระโจนไปในอากาศ พุ่งเข้าหาการ์กอยล์หกปีกที่พยายามทำร้ายเกอร์มัน·สแปร์โรว์
…………………………………………………….