Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ – ราชันเร้นลับ 806 : เข้าเกาะยามเที่ยงคืน

ราชันเร้นลับ 806 : เข้าเกาะยามเที่ยงคืน

อย่างที่คิด มาด้วยพลัง ‘ท่องเที่ยว’ … หรูหราอะไรเช่นนี้… อัลเจอร์หัวใจเต้นแรงสักพักก่อนจะผ่อนคลาย แต่ขณะเดียวกันก็ยังไม่ประมาท

หลังจากเพ่งมองเกอร์มัน·สแปร์โรว์อย่างตั้งใจ มันพบว่ารูปลักษณ์ของอีกฝ่ายมิได้เปลี่ยนไปมากนัก แต่ทุกท่วงท่าของชายคนนี้กลับเปี่ยมด้วยความน่าเกรงขามของผู้แข็งแกร่ง มอบความรู้สึกสั่นสะท้านให้แก่ผู้พบเห็น

สมแล้วที่เป็นนักผจญภัยเสียสติ ผู้สามารถชักนำให้ครึ่งเทพปะทะกันและหลบหนีออกมาได้อย่างไร้รอยขีดข่วน… อัลเจอร์ที่เคยภาคภูมิใจในลำดับ 5 ของตน รีบสลัดความโอหังออกจากแววตา

มันเดินถือตะเกียงเข้าไปหาช้าๆ มองหน้าเกอร์มัน·สแปร์โรว์และกล่าว

“ร่องรอยที่คุณทิ้งไว้ที่นี่ อาจไม่เลือนหายแม้จะผ่านไปนานนับพันปี”

มันต้องการยืนยันว่า การพังถล่มของยอดเขาเกี่ยวข้องกับอีกฝ่าย

ไคลน์ชำเลืองภูมิประเทศที่เปลี่ยนไป ปล่อยมือขวาจากหมวกเหนือศีรษะ หัวเราะด้วยเสียงนุ่มนวล

“ความเสียหายส่วนใหญ่เกิดจากฝีมือเจ้าสมุทร”

นั่นไง… ชายคนนี้สามารถชักนำให้ครึ่งเทพมาสู้กันจนบายัมเกือบถูกทำลาย ถึงขั้นทำให้เจ้าสมุทรต้องลงมือ… แถมยังรอดชีวิตกลับมาพร้อมกับเด็ดหัวพลเรือเอกโลหิต… น่าเหลือเชื่อมาก… อัลเจอร์เริ่มสงสัยว่าเกอร์มัน·สแปร์โรว์อาจพกพาสมบัติปิดผนึกระดับ 1 – สิ่งที่มีพลังเทียบเท่าครึ่งเทพไว้กับตัว!

มันมิได้เผยความประหลาดใจหรือตกตะลึง และไม่กล้าถามหยั่งเชิงอะไรอีก

“จะไปสำรวจเกาะร้างโบราณตอนนี้เลยหรือ?”

“ถูกต้อง” ไคลน์ตอบเยือกเย็น

ตอนนี้เป็นเวลากลางดึก ตรงกับเวลาเข้านอนของดอน·ดันเตส แปลว่าจะไม่มีใครเข้ามารบกวน ขอเพียงกลับไปให้ทันตอนกลางวันของวันพรุ่งนี้

และด้วยความไม่ประมาท ไคลน์ยังอัญเชิญ ‘กระจกวิเศษ’ อาโรเดสมาสถิตบนภาพลวงตาของกระจกเงา คอยตอบสนองในสิ่งที่จำเป็น

ต้องขอบคุณที่ทางโบสถ์รัตติกาล ‘รักษา’ เศรษฐีหน้าใหม่รายนี้เสร็จแล้ว ไม่อย่างนั้นคงต้องเลื่อนภารกิจออกไป… ไคลน์ถอนหายใจเงียบ

อัลเจอร์ตรวจสอบความพร้อมของตัวเอง พบว่ายังไม่ได้สวมใส่สมบัติวิเศษ จึงนำแหวนเหล็กดำที่มีหนามแหลมออกมาสวม

กัดฟันทนอาการวิงเวียนศีรษะสักพัก มันพยักหน้าและตอบ

“ขอให้เป็นการเดินทางที่ดี”

ทันใดนั้น มันเห็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์เหยียดแขนตรงมาทางหัวไหล่ของตนโดยปราศจากอารมณ์

ท่าทีตอบสนองแรกของอัลเจอร์คือ คิดว่าอีกฝ่ายกำลังโจมตีใส่ สัญชาตญาณจึงร้องบอกให้ฉากหลบไปด้านข้าง แต่ทันใดนั้น มันฉุกคิดถึงข้อสันนิษฐานครั้งก่อนของตน จึงฝืนระงับจิตใต้สำนึกและปล่อยให้ฝ่ามือของนักผจญภัยเสียสติวางลงบนบ่าอย่างนุ่มนวล

วินาทีถัดมา มันเห็นมือซ้ายของเกอร์มัน·สแปร์โรว์เริ่มโปร่งใสประหนึ่งภาพสะท้อนของโลกวิญญาณ ทันใดนั้น อัลเจอร์พบว่าสีดำทวีความเข้มข้นกะทันหัน แสงจันทร์สีแดงเริ่มฉูดฉาด สีสันมากมายซ้อนทับกันอย่างชัดเจน

ร่างมายาจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังพุ่งผ่านไปทาง ‘ด้านหลัง’ ด้วยความช่วยเหลือของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ อัลเจอร์เคลื่อนที่ผ่านโลกวิญญาณอย่างรวดเร็ว

ยุบพองหิวโหย… ท่องเที่ยว… แบบนี้นี่เอง… ขณะผุดสมมติฐาน มันเห็นร่างกายตัวเองเริ่มดิ่งลงด้านล่าง สีสันฉูดฉาดรอบตัวจางลง ทุกสิ่งกลับเป็นปรกติ

หาดทราย… ปะการัง… ต้นไม้… เกาะทะเลทราย… อัลเจอร์มองไปรอบตัวพลางเตรียมกล่าวบางสิ่ง แต่ทันใดนั้น สีสันรอบตัวเข้มข้นขึ้นและซ้อนทับกันอีกครั้ง

ในคราวนี้ เมื่อออกจากโลกวิญญาณ คนทั้งสองกำลังลอยอยู่กลางอากาศ ด้านล่างเป็นทะเลสีน้ำเงินเข้มและเกลียวคลื่น

แม้ว่าอัลเจอร์จะไม่เคยประสานงานกับเกอร์มัน·สแปร์โรว์มาก่อน แต่ก็มีประสบการณ์ในทำนองเดียวกันโชกโชน รีบสร้างสายลมกระโชกโดยไม่ต้องรอใครสั่ง พยุงร่างคนทั้งสองเอาไว้

จากนั้น ‘การท่องเที่ยว’ ยังคงดำเนินต่อไปอย่างราบรื่น ร่างกายอัลเจอร์และเกอร์มัน·สแปร์โรว์โปร่งใสก่อนจะหายตัวไป

เมื่อฉากรอบตัวกลับเป็นปรกติอีกครั้ง คนทั้งสองมาโผล่ริมเกาะยักษ์ที่กลางอากาศเต็มไปด้วยหมอกหนาจนแสงจันทร์ลอดผ่านได้เพียงเล็กน้อย ไม่เพียงจะทำให้บรรยากาศมืดครึ้ม แต่ยังมอบมนต์ขลังที่ยากอธิบาย

“ถึงแล้ว” อัลเจอร์มองไปรอบตัว

ภายนอกไคลน์แสดงสีหน้าผ่อนคลาย แต่ภายในรีบสังเกตสภาพแวดล้อมอย่างระมัดระวัง พบว่าเป็นเกาะที่เงียบมาก ไม่มีแม้แต่เสียงนกร้อง เสียงหมาป่าหอน และเสียงแมลง บรรยากาศรอบตัวเงียบสงัดโดยสมบูรณ์

คล้ายกับเดาความคิดอีกฝ่ายออก อัลเจอร์ยกตะเกียงขึ้นมาส่องวัชพืชที่รกเต็มพื้น เผยให้เห็นเส้นทางธรรมชาติซึ่งเต็มไปด้วยรอยเท้าสัตว์

“ถ้ามาตอนกลางวัน ที่นี่จะมีชีวิตชีวามาก สามารถพบเห็นนกบางชนิดซึ่งถูกระบุว่าสูญพันธุ์และหลงเหลือแค่ในตำนาน… ดูเหมือนว่าในตอนกลางคืน ‘อำนาจ’ ที่ครอบงำเกาะนี้จะเปลี่ยนแปลงไป สัตว์วิเศษจำนวนมากตัดสินใจซ่อนตัว รอจนกระทั่งรุ่งสาง”

มิสเตอร์แฮงแมนเคยมาที่นี่มากกว่าหนึ่งครั้ง อย่างน้อยหนึ่งครั้งในกลางวัน และอีกหนึ่งครั้งตอนกลางคืน… ไคลน์พยักหน้าเงียบงัน ไม่กล่าวสิ่งใด

อัลเจอร์ขบคิดสักพัก ก่อนจะชี้ไปข้างหน้า

“ถ้าเดินไปตามเส้นทางนี้และเข้าเขตป่าสีดำ จากนั้นก็เดินต่อไปจนสุดทาง ที่นั่นจะมีซากปรักหักพังโบราณซึ่งยังไม่ทราบอายุแน่ชัด… ระหว่างทาง เราจะล่าสัตว์วิเศษไปเรื่อยๆ หากใครฆ่าได้ตามลำพัง ผู้นั้นจะได้รับสิ่งของทั้งหมดจากเหยื่อ แต่ถ้าเป็นการร่วมมือกันฆ่า ผมให้คุณเก็บสิ่งของเหล่านั้นไว้ก่อน กลับไปค่อยแบ่งกันด้วยวิธีสลับเลือก พิจารณาจากผลงานเป็นหลัก ปรับเปลี่ยนลำดับและจำนวนการเลือกอย่างเหมาะสม”

มันไม่รีบร้อนออกเดินทาง เลือกที่จะชี้แจงแนวทางการแบ่งสมบัติล่วงหน้า จะได้ไม่ผิดใจกันภายหลังจนเกิดเป็นความขัดแย้ง

ให้เราเป็นคนเก็บสิ่งของที่ได้จากการร่วมมือฆ่า… มิสเตอร์แฮงแมนจริงใจมาก… ไคลน์ยกมือขวา กดลงบนหมวกผ้าไหมทรงกึ่งสูง เผยรอยยิ้มลุ่มลึก

“ตกลง”

อัลเจอร์ถอนหายใจเงียบ ก่อนจะกล่าวต่อ

“จุดประสงค์หลักของเราคือการสำรวจซากปรักหักพังโบราณ กำไรระหว่างทางเป็นประเด็นรอง รีบสำรวจให้เสร็จและรีบกลับ ไม่ควรแวะไปเขตอื่นหรืออ้อมไปยังเส้นทางอื่น… หากมีสิ่งไม่คาดฝันเกิดขึ้นในอนาคต ผมยกหน้าที่การตัดสินใจทั้งหมดให้คุณ”

อัลเจอร์เน้นย้ำเรื่องนี้เพราะกลัวเกอร์มัน·สแปร์โรว์จะโลภเกินไป หลงลืมเรื่องที่ผู้วิเศษไม่ใช่เครื่องจักร เป็นคนธรรมดาที่เหนื่อยเป็น การไล่ฆ่าไปเรื่อยๆ สักวันต้องถึงขีดจำกัด ถ้าไม่รู้จักหยุดพักในจังหวะที่เหมาะสม เกรงว่าสถานะของผู้ล่ากับผู้ถูกล่าจะสลับกัน ถึงนักผจญภัยเสียสติรายนี้จะแข็งแกร่ง ไม่หวาดหวั่นอันตรายใดๆ แต่ถ้าพลังวิญญาณเหือดแห้งเป็นเวลานาน สัญญาณของภาวะคลุ้มคลั่งจะเริ่มก่อตัว

หมอนี่คิดว่าเราเป็นพวกโลภ? เราต่างหากที่กังวลว่าเขาจะโลภเกินไป คิดกอบโกยผลประโยชน์จนบุ่มบ่ามเข้าไปสำรวจลึกๆ … ไคลน์ยิ้ม

“ไม่ต้องห่วง ผมเป็นคนสุภาพ”

“สุภาพ?” อัลเจอร์ไม่เข้าใจความหมายของเกอร์มัน·สแปร์โรว์

มุมปากไคลน์ยกขึ้นเล็กน้อย กล่าวด้วยสีหน้าเจือความอึมครึมท่ามกลางความมืด

“การแวะมาเยี่ยมบ้านคนอื่นครั้งแรก… ถ้าอยู่นานเกินไปจะถือว่าเสียมารยาท”

ตรรกะของชายคนนี้ผิดเพี้ยนไปหมดแล้ว… สมกับที่ได้รับฉายานักผจญภัยเสียสติ… อัลเจอร์ผงะเล็กน้อยก่อนจะได้สติ ถือตะเกียงเดินนำท่ามกลางความมืด

“ไปกันเถอะ”

ไคลน์ลดมือลงอย่างเป็นธรรมชาติ เดินข้างอัลเจอร์คล้ายกับกำลังไปปิกนิก

คนทั้งสองเร่งฝีเท้าเดินเข้าไปในป่าสีดำซึ่งแทบไม่มีแสงจันทร์ลอดผ่าน พบต้นไม้ทั้งหนาและสูง ใบไม้หนาแน่น แม้แต่ใบเล็กที่สุดก็ยังยาวกว่าแขนของมนุษย์

หนึ่งสิ่งที่ทุกต้นมีเหมือนกันก็คือ เปลือกไม้จะเป็นเกล็ดหนา ประกบเรียงตัวอย่างประณีต ราวกับพร้อมจะมีชีวิตชีวาขึ้นมาทุกเมื่อ จะพองตัวตอนไหนก็ไม่มีใครทราบ

คงเป็นสายพันธุ์ย่อยของต้นมังกร… ต้นไม้เกล็ดงู? ไคลน์ถอนสายตากลับ ก้มมองวัชพืชตรงฝ่าเท้าที่ดูไม่มีพิษมีภัย

ทั้งมันและอัลเจอร์ ไม่มีใครพูดเป็นเวลานาน พยายามรักษาความเงียบสงบเอาไว้ ไม่คิดส่งเสียงโหวกเหวกเพียงเพราะบรรยากาศชวนให้อึดอัด

ขณะเดินไปเรื่อยๆ อาศัยแสงสว่างจากตะเกียง คนทั้งสองพบว่าต้นไม้ด้านหน้าเริ่มบางตา

ตึง! ตึง! ตึง!

เสียงทุบทื่อๆ ดังขึ้นจากจุดดังกล่าว ยิ่งอัลเจอร์และเกอร์มันเข้าใกล้ เสียงก็ยิ่งดังชัดเจน

เมื่อพวกมันมาถึงพื้นที่กึ่งเปิดโล่ง แสงจากโคมไฟที่ส่องเข้าไป ช่วยมองให้เห็นร่างของสิ่งมีชีวิตจำนวนหนึ่ง บ้างหลังงุ้มงอ บ้างยืนสี่ขา

ในกลุ่มดังกล่าวประกอบด้วยมนุษย์ ลิงบาบูน แพะ หรือแม้กระทั่งเสือโคร่ง ทุกตัวกำลังใช้กรงเล็บและฟัน พังต้นไม้หรือก้อนหินใหญ่ในละแวกใกล้เคียง คล้ายกับพยายามจะสร้างวัง

เมื่อปราศจากใบไม้ปกคลุมหนาแน่น แสงจันทร์สีแดงที่ลอดผ่านชั้นหมอกหนาลงมา ฉาบลงบนร่างของสิ่งมีชีวิตจนดูเหมือนม่านโลหิตแผ่นบาง

มีแม้กระทั่งมนุษย์? ดวงตาไคลน์พลันหดเกร็ง นิ้วทั้งห้ากางออก ส่วนอัลเจอร์ลดความเร็วลงพร้อมกับวอร์มเส้นเสียง

ทันใดนั้น สิ่งมีชีวิตกลุ่มดังกล่าวหยุดพฤติกรรมอย่างกะทันหัน หมุนตัวโดยพร้อมเพรียง หันมามองคนแปลกหน้าทั้งสอง

บางตัวผิวซีด บางตัวขนหลุดร่วง บางตัวมีบาดแผลตามร่างกาย ยากจะให้เชื่อว่าเป็นสิ่งมีชีวิต

ศพ…? สัตว์วิเศษบางตนกำลังควบคุมศพให้สร้างวังของตัวเอง? ไคลน์มองผ่านพวกมันไป จนกระทั่งเห็นถ้ำมืดที่พาลงไปข้างล่าง ธรรมชาติโดยรอบเต็มไปด้วยวัชพืชเหี่ยวเฉา มีขนนกสีขาวเปื้อนน้ำมันวางกระจัดกระจาย

ขนนก… ศพ… ไคลน์นึกถึงโครงการมรณาเทียมของนิกายวิญญาณทันที รวมไปถึงออร่าอันน่าขนลุกที่เคยทำให้ขนนกงอกตามร่างกายตน

‘ผู้ปกครอง’ ในละแวกนี้ไม่ธรรมดา… ชายหนุ่มวิเคราะห์อย่างใจเย็น

หลังจากตรวจสอบอย่างรอบคอบสักพัก อัลเจอร์ลังเลสองสามวินาทีก่อนจะเสนอความเห็น

“ผมไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน ยากจะคาดเดาระดับพลังของพวกมัน คงเป็นการดีกว่าถ้าจะปล่อยผ่าน เลือกจู่โจมเป้าหมายที่มีโอกาสสำเร็จมากกว่านี้”

ลางสังหรณ์บอกกับมันว่า ภายในถ้ำมืดด้านล่าง มีบางสิ่งที่อันตรายมากซ่อนอยู่!

กำลังรอคำนี้อยู่พอดี! ไคลน์ซึ่งอยู่ในร่างเกอร์มัน·สแปร์โรว์ แอบถอนหายใจโล่งอก แต่ภายนอกกระซิบอย่างเยือกเย็น

“นั่นไม่ถือเป็นการเสียมารยาทหรือ?”

ขณะกล่าว ผืนแผ่นดินสั่นสะเทือนกะทันหัน คล้ายกับใต้ดินมีการพลิกผันของบางสิ่ง!

…………………………………………..

Lord of the Mysteries

Lord of the Mysteries

ป็นเรื่องราวการข้ามโลกของหนุ่มชาวจีนนามว่า โจวหมิงรุ่ย โลกใบที่ชายคนนี้ต้องเผชิญมีลักษณะคล้ายคลึงกับยุควิกตอเรียของยุโรป ยุคสมัยแห่งจักรกลไอน้ำเฟื่องฟู สุภาพบุรุษขุนนางเดินขวักไขว่ด้วยสูทและเสื้อกั๊กมาดเท่ แน่นอน เป็นโลกที่มีพลังพิเศษ ผู้วิเศษ และ สัตว์วิเศษ แต่พลังของมนุษย์บนโลกจะไม่เหมือนกับนิยายเรื่องใด ไม่มีจอมยุทธ์ ไม่มีการบังเอิญพบคำภีลับและได้ครอบครองยอดเคล็ดวิชา ไม่ได้เกิดใหม่พร้อมกับพลังสุดโกง ไม่เลย ไม่น่าเบื่อและจืดชืดขนาดนั้น ในอดีตกาล เผ่าพันธุ์มนุษย์อันต่ำต้อยมิอาจต่อสู้กับเหล่าสัตว์วิเศษในตำนานไหว หนึ่งในหนทางครอบครอง ‘พลังพิเศษ’ ก็คือการดื่ม ‘โอสถ’ หลังจากมนุษย์ดื่มโอสถและกลายเป็น ‘ผู้วิเศษ’ พวกเขาจะข้ามขีดจำกัดเดิมตามแต่ชนิดโอสถที่ดื่ม ผู้วิเศษในโลกแบ่งออกเป็น 9 ลำดับ โดยลำดับ 9 จะอ่อนแอที่สุด หนทางอัพเกรดลำดับก็แสนพิลึก ไม่ใช่การพัฒนาพลังเหมือนนิยายเรื่องใด แต่เป็นการดื่ม ‘โอสถ’ ที่ ‘ถูกต้อง’ ตามสูตรของลำดับถัดไป พลังพิเศษไม่สามารถข้ามสายได้ โอสถแต่ละชนิดจะมีสูตรการปรุงที่แตกต่าง แถมการฝึกฝนพลังของผู้วิเศษก็ยังพิสดารเหนือคำบรรยาย เรื่องราวจะยิ่งเข้มข้นขึ้นเมื่อตัวเอกเริ่มทราบว่า อดีตมหาจักรพรรดิของโลกเมื่อร้อยปีก่อนเป็น ‘ผู้เดินทางข้ามโลก’ เหมือนกับเขา แถมยัง… เหลือทิ้งไดอารี่สุดสำคัญไว้ให้ชนรุ่นหลัง แต่ไดอารีถูกเขียนด้วยภาษาจีนที่ไม่มีใครอ่านออกแม้แต่คนเดียว… ยกเว้นโจวหมิงรุ่ย With the rising tide of steam power and machinery, who can come close to being a Beyonder? Shrouded in the fog of history and darkness, who or what is the lurking evil that murmurs into our ears? Waking up to be faced with a string of mysteries, Zhou Mingrui finds himself reincarnated as Klein Moretti in an alternate Victorian era world where he sees a world filled with machinery, cannons, dreadnoughts, airships, difference machines, as well as Potions, Divination, Hexes, Tarot Cards, Sealed Artifacts… The Light continues to shine but mystery has never gone far. Follow Klein as he finds himself entangled with the Churches of the world—both orthodox and unorthodox—while he slowly develops newfound powers thanks to the Beyonder potions. Like the corresponding tarot card, The Fool, which is numbered 0—a number of unlimited potential—this is the legend of “The Fool”.

Comment

Options

not work with dark mode
Reset