ได้ยินคำถามจากมิสเตอร์มูน ‘เมจิกเชี่ยน’ ฟอร์ส เกือบโพล่งออกมาว่า ‘แน่นอน! ฉันรู้ดีกว่าใคร! แค่ไม่ทราบรายละเอียดที่แน่ชัดเท่านั้นเอง!’
ทว่า เธอควบคุมปากในเวลาที่เหมาะสม สายตาชำเลืองไปทางมิสเตอร์เวิร์ลที่สุดขอบโต๊ะทองแดงยาวอีกฝั่งด้วยอาการหวาดผวาเล็กๆ
แทบจะในเวลาเดียวกัน แฮงแมน จัสติส และเฮอร์มิทพอจะคาดเดาได้เลือนรางว่า เหตุการณ์ในเขตตะวันออกของเบ็คลันด์ คือปฏิบัติการสังหารผู้ส่งสารของชุมนุมแสงเหนือ โดยฝีมือของเดอะเวิร์ล!
และเนื่องจากเอ็มลินไม่ใช่ผู้ชม มิอาจอ่านคำตอบจากดวงตา ฟอร์สจึงยิ้มแห้งๆ และตอบกลับ
“ในส่วนของรายละเอียด ฉันเล่าไม่ได้… ทราบเพียงว่า มีพลังครึ่งเทพของเส้นทางพายุเกิดขึ้นที่นั่น ส่งผลให้ทางโบสถ์วายุสลาตันมุ่งความสนใจมาเป็นพิเศษ”
เธอไม่กล้าอธิบายเรื่องราวทั้งหมดแทนมิสเตอร์เวิร์ล แค่เกริ่นจากที่ตัวเองเห็น
ฟอร์สเชื่อว่า หากมิสเตอร์เวิร์ลต้องการลงลึกรายละเอียด เดี๋ยวอีกฝ่ายก็คงเล่าเอง
พลังพิเศษระดับครึ่งเทพในขอบเขตพายุ? ‘จัสติส’ ออเดรย์และคนที่เหลือต่างตกตะลึง เริ่มสงสัยว่าสมมติฐานก่อนหน้าของตนคือสิ่งที่ถูกต้องแล้วหรือ
พวกมันเคยเข้าใจว่า บันทึกการเดินทางของเลมาโน่เป็นวัตถุที่เกิดจากความตายของผู้ส่งสารชุมนุมแสงเหนือ ดังนั้น ก่อนที่เดอะเวิร์ลจะลอบสังหารอีกฝ่ายสำเร็จ ไม่มีทางที่จะให้มิสเตอร์ฟูลบันทึกพลังระดับครึ่งเทพไว้ล่วงหน้าได้!
หรือเหตุการณ์เหนือธรรมชาติในเขตตะวันออกจะไม่เกี่ยวข้องกับมิสเตอร์เวิร์ล? ไม่น่าจะใช่… เมื่อครู่ ฟอร์สแอบชำเลืองไปทางมิสเตอร์เวิร์ลไม่ผิดแน่! แต่ว่า ทำไมถึงมีพลังครึ่งเทพในขอบเขตพายุปรากฏขึ้นได้? หนึ่งในความน่าจะเป็นก็คือ บันทึกการเดินทางของเลมาโน่ไม่ใช่ผลลัพธ์ของภารกิจ แต่เป็นสิ่งที่ฟอร์สครอบครองมาตั้งแต่แรก… อีกหนึ่งความเป็นไปได้ก็คือ สิ่งนี้เป็นฝีมือของพระคาร์ดินัลแห่งโบสถ์วายุสลาตัน หรือไม่ก็สมบัติปิดผนึกในขอบเขตดังกล่าว…
หากเป็นอย่างแรก การที่มิสเตอร์เวิร์ลต้องลงทุนใช้พลังครึ่งเทพออกมา หมายความว่าผู้ส่งสารของชุมนุมแสงเหนือคนนั้นต้องแข็งแกร่งอย่างมาก หรือไม่ก็มีตัวตนระดับนักบุญอยู่เบื้องหลัง แต่ถ้าเป็นแบบที่สอง การที่มิสเตอร์เวิร์ลรอดจากการโจมตีเช่นนั้นมาได้ เพียงพอแล้วที่จะอธิบายความน่าสะพรึงกลัวของเขา…
แน่นอน อย่าเพิ่งตัดความเป็นไปได้ที่ว่า มิสเตอร์เวิร์ลจงใจลากให้โบสถ์วายุสลาตันไปเผชิญหน้ากับครึ่งเทพของชุมนุมแสงเหนือ อาศัยจังหวะที่ครึ่งเทพทั้งสองฝ่ายปะทะกัน หลบหนีออกมาอย่างราบรื่น บรรลุภารกิจลอบสังหารท่ามกลางความโกลาหล… ‘จัสติส’ ออเดรย์เริ่มวิเคราะห์จากรายละเอียดที่เธอสังเกตเห็น คาดเดาเอาเองสองสามสิ่ง โดยทุกสมมติฐานชี้นำไปในทิศทางเดียวกัน
เดอะเวิร์ลเพียบพร้อมไปด้วยฝีมือ สติปัญญา การเตรียมตัว และความเด็ดขาด เรียกได้ว่าเป็นลำดับ 5 ที่เก่งกาจระดับยอดพีระมิด เป็นหนึ่งในตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดใต้ครึ่งเทพอย่างไร้ข้อกังขา!
แข็งแกร่งจนน่ากลัว… สมแล้วที่เป็นข้ารับใช้ของมิสเตอร์ฟูล… ไว้เราไปถึงวิหารเมื่อไร คงได้รับรายละเอียดในเรื่องนี้… ‘แฮงแมน’ อัลเจอร์เองก็ลองวิเคราะห์เบื้องต้น ถอนหายใจเงียบ ทำได้เพียงปลอบใจตัวเองว่า หากมีคู่หูร่วมเดินทางเป็นชายที่แข็งแกร่งเช่นนี้ การสำรวจเกาะโบราณที่ไม่มีใครครอบครอง ก็คงง่ายขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า
ในส่วนของ ‘เฮอร์มิท’ แคทลียา ความคิดของเธอคล้าย ‘จัสติส’ ออเดรย์ จึงเตรียมจะกลับไปถามราชินีเงื่อนงำ – เจ้าของเรือรุ่งอรุณ เกี่ยวกับสถานการณ์ในเขตตะวันออกของเบ็คลันด์
“พลังระดับครึ่งเทพในขอบเขตพายุ…” เอ็มลินทวนคำของมิสเมจิกเชี่ยนด้วยความปวดหัว
แม้ว่ามันจะรักการอยู่บ้าน ไม่ชอบออกไปไหน แต่ในมหานครใหญ่แห่งนี้ มันเลี่ยงไม่ได้ที่จะตระเวนไปตามโรงพยาบาลเพื่อขโมยเลือดสดดื่มบ่อยครั้ง เมื่อผนวกเข้าความรู้พื้นฐานเข้ากับคำเตือนของเหล่าอาวุโส เอ็มลินมีความเข้าใจในหน่วยพิเศษของเมืองหลวงเป็นอย่างดี และเข้าใจว่าเหตุร้ายดังกล่าว จะสร้างความตึงเครียดแก่บริเวณใกล้เคียงมากแค่ไหน
หากเราไม่ปลอมตัวให้แนบเนียน การลอบเข้าไปในเขตตะวันออกอาจไม่ถึงเป้าหมาย ถูกไล่ล่าและตามจับกุมตัวโดยทูตพิพากษาแทน… แม้ว่าเราจะมีตัวตนเป็นคนของโบสถ์พระแม่ธรณี ซึ่งจะทำให้ไม่ถูกลากเข้าคุก และไม่กลายเป็นหนูทดลองสมบัติปิดผนึก แต่ภารกิจ ‘ล่า’ ก็จะล้มเหลว แถมยังจะถูกยึดบันทึกการเดินทางของเลมาโน่… ในสถานการณ์แบบนี้ การลงไปในท่อระบายน้ำยิ่งอันตราย ไม่มีทางรู้เลยว่าผู้วิเศษของทางการซ่อนตัวอยู่กี่คน… เอ็มลินพบว่าภารกิจของตนยากขึ้นกะทันหัน
แต่ไม่นาน มันก็ได้ข้อสรุป นั่นคือการลงมือในช่วงกลางดึก ก่อนเวลารุ่งสาง เพราะเป็นเวลาที่ชนชั้นล่างในเขตตะวันออกเริ่มทยอยกลับจากการทำงาน ถึงฟ้าจะมืด แต่ถนนก็ยังคึกคัก ต่อให้ทูตพิพากษามีกำลังคนมากกว่านี้อีกสิบเท่า ก็ไม่มีทางเฝ้าจับตามองได้อย่างละเอียด หมดสิทธิ์จำแนกเป็นรายบุคคล
แผนการขั้นถัดไปก็คือ ลงมืออย่างมีประสิทธิภาพ พยายามดับลมหายใจแวมไพร์เทียมทั้งสองโดยไม่ให้เกิดความวุ่นวาย… อา ต้องคอยคำนึงว่า การต่อสู้อันดุเดือดมิอาจเก็บซ่อนความผิดปรกติได้ง่ายนัก… เดี๋ยวนะ มิสเมจิกเชี่ยนเพิ่งบอกว่า ในสมุดเวทมนตร์เลมาโน่มี ‘เทเลพอร์ต’ ถูกบันทึกไว้… ถ้าอย่างนั้นก็หมดปัญหา! ‘เดอะมูน’ เอ็มลินถอนหายใจโล่งอก หัวเราะในลำคอ
“ข้าจะจำใส่ใจไว้”
มันกล่าวด้วยความใจเย็น ค่อนไปทางมั่นใจ คล้ายกับทุกสิ่งอยู่ในความควบคุม
หึหึ สหายเอ็มลินคนนี้กระอักกระอ่วนในตอนต้น ก่อนจะผ่อนคลายในภายหลัง… เก้าสิบเปอร์เซ็นต์ ขอเดาว่าหมอนั่นเพิ่งฉุกคิดถึงเวทมนตร์ ‘เทเลพอร์ต’ ในหนังสือ… หากไม่ใช่เพราะเรา ‘ต้อนแกะ’ ได้พลัง ‘ประตูนักท่องเที่ยว’ มาครอง คงตั้งเงื่อนไขไว้ว่า ก่อนที่เกอร์มัน·สแปร์โรว์จะยืมหนังสือไปใช้ ห้ามมิให้ใครแตะต้องหน้า ‘เทเลพอร์ต’ เด็ดขาด… ไคลน์ฉีกยิ้มในใจ ภายนอกเงียบขรึม
สำหรับมัน เป็นเพราะสมุดเวทมนตร์มีเทเลพอร์ตเพียงหน้าเดียว จึงเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ที่จะต้องใช้งานยุบพองหิวโหยเพื่อเดินทางไปยังเกาะโบราณ และเมื่อเป็นเช่นนั้น ไคลน์ก็ต้องหา ‘คนที่สมควรตาย’ มาเป็นอาหารให้ถุงมือ
“ถือว่าฉันได้เตือนไปแล้ว” ‘เมจิกเชี่ยน’ ฟอร์สไม่พูดสิ่งใดอีก เพียงหวังให้ภารกิจของมิสเตอร์มูนผ่านไปอย่างราบรื่น
ทันใดนั้น ‘แฮงแมน’ อัลเจอร์หันไปมอง ‘เดอะซัน’ ด้านข้าง
“คุณยังอยู่ในเมืองเงินพิสุทธิ์ใช่ไหม?”
“ครับ กิจวัตรในช่วงหลังคือการทำความคุ้นเคยกับพลังพิเศษ เดินลาดตระเวนไปรอบๆ พื้นที่” เดอร์ริคตอบโดยไม่ปิดบัง
อัลเจอร์ถามต่อ
“ในระยะหลัง อาวุโส ‘คนเลี้ยงแกะ’ คนนั้นไม่มาหาคุณบ้างหรือ?”
“ไม่ครับ” เดอร์ริคเว้นวรรค “ช่วงนี้หกสภาอาวุโสกำลังยุ่งอยู่กับอนุสาวรีย์บรรจุศพของอดีตเจ้าเมือง แต่ด้วยเหตุผลอะไรนั้น ผมยังไม่มีสิทธิ์รับรู้”
ไคลน์เคยได้ยินเดอะซันเล่าเกี่ยวกับอดีตเจ้าเมืองเงินพิสุทธิ์ให้ฟัง กล่าวว่า ชายคนนั้นสร้างสุสานลึกลงไปใต้ดินและขังตัวเองไว้ภายใน ไม่ออกมาอีกเลยเป็นเวลานาน มีการคาดเดาว่า พิธีกรรมเลื่อนเป็นลำดับ 3 ของเส้นทางมรณาคงล้มเหลว
เราไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นภายในสุสาน แต่สัมผัสวิญญาณบอกกำลังว่า ภายในนั้นมีอันตรายซ่อนอยู่… ไคลน์ยังไม่เปิดปาก ทำเพียงนั่งฟัง ‘แฮงแมน’ อัลเจอร์พูดกับเด็กหนุ่ม
“อย่าปล่อยผ่าน… การที่หกสภาอาวุโสลงทุนตรวจสอบอนุสาวรีย์บรรจุศพของอดีตเจ้าเมืองด้วยตัวเอง แถมยังในเวลาแบบนี้ หมายความว่ามันต้องเป็นเรื่องที่สำคัญมาก”
“เข้าใจแล้วครับ!” ‘เดอะซัน’ เดอร์ริครีบพยักหน้า “ผมจะพยายามตรวจสอบสถานการณ์อย่างเต็มที่”
การแลกเปลี่ยนดำเนินต่อไป แต่เนื่องจากไม่ค่อยมีใครได้พบเจออะไรในสัปดาห์ที่ผ่านมา ชุมนุมทาโรต์จึงใกล้ถึงจุดยุติ สมาชิกแต่ละคนเริ่มสอนเดอะซันเกี่ยวกับภาษาของโลกภายนอก แลกเปลี่ยนด้วยการเรียนประวัติศาสตร์โบราณจากเขา
ระหว่างนั้น ‘จัสติส’ ออเดรย์หัวเสียและหงุดหงิดมากที่สุด เพราะเธอไม่ได้ซื้ออะไรจากชุมนุม ไม่ได้แบ่งปันข้อมูลใด เรียกได้ว่าตัวตนจืดจางลงมาก
เฮ่อ… ชีวิตของเราสงบสุขและมั่นคงเกินไป ไม่มีสิ่งใดให้บอกเล่าและแบ่งปัน… แต่ว่า นี่เป็นเรื่องปรกติ ในฐานะบุตรสาวของเอิร์ลแห่งเชสเตอร์ตะวันออกและหนึ่งในสามสุดยอดนายธนาคารแห่งอาณาจักร หากเราต้องเผชิญอันตรายจากพลังพิเศษบ่อยครั้ง ได้พบเจอเรื่องที่น่าตื่นเต้นทุกสัปดาห์ นั่นหมายความว่า โครงสร้างทางการเมืองและสังคมในปัจจุบัน เริ่มรับมือกับปัญหาของโลกผู้วิเศษไม่ไหว และนั่นจะลงเอยด้วยการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่… อา รอกลับไปถึงเบ็คลันด์ ติดต่อกับสมาคมแปรจิตให้บ่อยขึ้น สถานการณ์ของเราจะได้พัฒนาเสียที… ออเดรย์มองโลกในแง่บวก ลุกขึ้นยืน กล่าวคำอำลากับมิสเตอร์ฟูล
สำหรับหกเดือนที่ผ่านมา เป็นเพราะแรงกระตุ้นจากซูซี่ เราได้อ่านหนังสือที่มีประโยชน์หลายเล่ม เสริมสร้างความเป็นผู้ใหญ่และโครงสร้างทางความคิด เทียบกับสมัยอดีต เราพัฒนาตัวเองขึ้นมากแล้ว…
…
บ้านเลขที่ 160 ถนนเบิร์คลุน
ไคลน์ที่เพิ่งจบชุมนุมทาโรต์ เดินไปทางระเบียงติดกับห้องนอน จ้องมองวิวทิวทัศน์สีเขียวขจีเบื้องล่าง
หลังจากมิสเมจิกเชี่ยนเริ่มต้นธุรกิจให้เช่าสมุดเวทมนตร์เลมาโน่ ในอนาคต คงมีการค้าขายเกิดขึ้นในชุมนุมทาโรต์อีกบ่อยครั้ง… หึหึ พวกเขาอาจยังไม่ทราบ อาจคิดไม่ถึงว่าพลังพิเศษก็สามารถซื้อขายได้เช่นกัน! รอให้พฤติกรรมการเช่ากลายเป็นเรื่องปรกติ จะต้องมีคนที่รับจ้างบันทึกพลังที่มีประโยชน์ลงไป… เมื่อถึงตอนนั้น ตัวเราซึ่งมีสมบัติวิเศษมากมาย สามารถมอบความช่วยเหลือได้ในหลายแขนง…
ราคาต้องไม่แพงมาก เน้นการทำธุรกิจที่ยั่งยืน เน้นปริมาณการขายเป็นหลัก…
หึหึ… ใครจะเป็นคนแรกที่สามารถรวบรวมความกล้า ขอความช่วยเหลือจากเดอะฟูล ให้เพิ่มพลังระดับครึ่งเทพลงไปในสมุด? การทำแบบนี้ต้องมีค่าตอบแทนที่สมน้ำสมเนื้อ คงต้องจ่ายหนักไม่เบา… แต่ถ้าไม่มีใครกล้าเสี่ยง ด้วยเกรงว่าจะเป็นการหมิ่นเบื้องสูง เราสามารถใช้เดอะเวิร์ลเป็นแบบอย่างได้ เพราะเหนือสิ่งอื่นใด มิสเตอร์ฟูลเป็นมิตรกับทุกคน เป็นกันเองกับทุกคนอยู่แล้ว ตราบใดที่ไม่กระทำความผิด การค้าขายย่อมเกิดขึ้นได้…
จากกรณีมาดามเฮอร์มิทถูกลงโทษไปเมื่อคราวก่อน เราชื่อว่าคงไม่มีใครกล้าคลางแคลงเดอะฟูลอีก ภายในใจมีเพียงความยกย่องเทิดทูน หวาดกลัว แต่ก็โล่งอก… ไคลน์วิเคราะห์อนาคตของชุมนุมทาโรต์ เริ่มคาดหวังเกี่ยวกับการซื้อขายพลังพิเศษ
ทันใดนั้น มันได้ยินเสียงเคาะประตู
“เข้ามา” ดอน·ดันเตส เจ้าของจอนสีขาวตรงขมับ หันไปกล่าว
ลูกบิดถูกหมุน ประตูเปิดออก วอลเตอร์ พ่อบ้านผู้สวมถุงมือสีขาว เดินเข้ามาและกล่าวอย่างนอบน้อม
“นายท่าน มาดามแมรี่จากคณะกรรมการมลพิษทางอากาศแห่งชาติแวะมาเยี่ยมครับ… อยากพบเธอไหม?”
แมรี่·ช็อตต์? ผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทโคอิม อดีตภรรยาที่เคยขอร้องให้เราช่วยตามจับชู้อดีตสามี? มาหาเราทำไม? คงไม่ใช่ว่าแอบปลื้มดอน·ดันเตสหรอกนะ? ไคลน์พยักหน้าด้วยรอยยิ้มฉงนเล็กๆ
“ใกล้ได้เวลาดื่มชาแล้ว เลื่อนให้เร็วขึ้นสักนิดคงไม่เป็นไรกระมัง”
“ได้ครับ ผมจะเชิญมาดามแมรี่ไปยังห้องรับแขกบนชั้นสอง” วอลเตอร์เข้าใจความนัยแฝงของนายจ้าง
ไคลน์พยักหน้าอ่อนโยน ไม่พูดเพิ่มเติม อาศัยความช่วยเหลือจากบุรุษรับใช้ริชาร์ดสัน สวมเสื้อโค้ท เดินลงไปยังชั้นสอง
เพียงไม่นาน มันเห็นมาดามแมรี่ผู้มีโหนกแก้มสูง กำลังนั่งภายในห้องรับแขก
สตรีผู้นี้สวมเดรสสีน้ำเงินเข้ม เครื่องประดับหรูหรา กึ่งๆ โอ้อวด แต่สงวนกิริยา เมื่อเทียบกับเมื่อปีก่อน เธอดูมีรสนิยมขึ้นมาก แถมบรรยากาศรอบตัวก็ยังมีเสน่ห์
“ทิวาสวัสดิ์ครับ มาดาม ผมกำลังหาโอกาสไปเยี่ยมคุณ ฟังคุณเล่าเกี่ยวกับการผลสำรวจสภาพอากาศของเบ็คลันด์” ไคลน์เป็นฝ่ายชวนคุยอย่างสุภาพ
แมรี่ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
“น่าเสียดายที่ดิฉันไม่ได้อดทนรอจนถึงตอนนั้น”
หลังจากทักทายกันสองสามคำเกี่ยวกับสภาพอากาศ ไคลน์นั่งลงบนโซฟาเดี่ยว หยิบถ้วยชากระเบื้องเคลือบและพูด
“มาดาม คุณมีเรื่องไม่สบายใจหรือ”
ชายหนุ่มสังเกตเห็นว่าแมรี่กำลังลังเลและครุ่นคิด
แมรี่ยิ้มเล็กๆ ก่อนจะถอนหายใจ
“ปัญญาของคุณ ความรู้ของคุณ ดิฉันได้ยินกิตติศัพท์มานาน เชื่อว่าเป็นสุภาพบุรุษที่มีวิสัยทัศน์อันน่าทึ่ง… เกี่ยวกับเรื่องนั้น คุณสนใจจะลงทุนในหุ้นของบริษัทโคอิมไหม?”
“ทำไมกันครับ? มาดาม คุณกำลังเดือดร้อนเรื่องเงินหรือ?” ไคลน์ถามใจเย็น
แมรี่ส่ายหน้า
“มีใครบางคนอยากขาย”
………………………………………