Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ – ราชันเร้นลับ 783 : วาทศิลป์ในการสื่อสาร

ราชันเร้นลับ 783 : วาทศิลป์ในการสื่อสาร

ขณะได้ยินเสียงเพรียกมายาที่ดังกังวานซ้อนทับ เนื่องด้วยเวลาที่ต่างกัน ไคลน์กำลังเข้าร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำที่บ้านของพอร์ตแลน·โมมงต์

งานเลี้ยงเริ่มตั้งแต่หนึ่งทุ่มครึ่ง มีกำหนดจบลงตอนสามทุ่มครึ่งหรืออาจสี่ทุ่ม เนื่องจากมื้ออาหารมีหลายคอร์ส ประกอบด้วยจานเรียกน้ำย่อย จานซุป จานเครื่องเคียง จานหลัก จานผลไม้ จานขนมหวาน และอื่นๆ รวมกันแล้วมากถึงเกือบยี่สิบจาน คนรับใช้จะคอยยกมาเสิร์ฟแขกทุกคนตามลำดับ มีการเก็บจานการและเปลี่ยนภาชนะอย่างต่อเนื่อง ไม่ปล่อยให้โต๊ะรก และยังคอยเว้นช่วงอาหารแต่ละจานไว้ให้แขกสนทนากัน สุภาพบุรุษควรเป็นฝ่ายริเริ่มสนทนากับสตรีทางฝั่งขวามือ

สรุปโดยสั้น… ช่างเป็นงานเลี้ยงที่วุ่นวายและเปลืองพลังสมอง ต้องคอยใส่ใจว่าอาหารจานใดจับคู่กับเครื่องดื่มอะไร… แต่รสชาตินับว่าไม่เลว… ไคลน์ใช้ประโยชน์จากจังหวะที่เนื้อแกะย่างกำลังถูกยกมาเปลี่ยน หันไปพูดกับมาดามวิลลิสทางขวามือ

“ขอประทานโทษครับ ผมขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อน”

ชายหนุ่มลุกขึ้นยืน วางมือขวาไว้ระหว่างหน้าอกและท้อง ก้มตัวเล็กน้อยเพื่อขออภัยแขกร่วมโต๊ะ จากนั้นก็เดินปลีกตัวออกมา ตรงไปยังห้องน้ำบนชั้นสอง

เมื่อเข้าไปในห้อง ไคลน์ลงกลอนมิดชิด เดินถอยหลังสี่ก้าว ส่งตัวเองเข้าสู่สายหมอกสีเทา

“…” เป็นคำสวดวิงวอนจากมิสเตอร์แฮงแมน… อยากให้เราช่วยทำให้อ็อบนิสเป็นมิตรกับเขา ยินดีตอบแทนด้วยไดอารีจักรพรรดิโรซายล์จำนวนสิบห้าหน้า หรือไม่ก็ภารกิจอื่นที่มีมูลค่าเท่าเทียม… เขาพัฒนาตัวเองเร็วมาก… ไคลน์บนเก้าอี้เดอะฟูล แผ่พลังวิญญาณเข้าไปสัมผัสกับดวงดาวสีแดงเข้มที่กำลังยุบพองตัว

ชายหนุ่มครุ่นคิดสองสามวินาทีก่อนจะตอบ

“จงสืบค้นข้อมูลของนาวาเอกแห่งกองทัพเรือฟุซัคทุกคนที่เข้าร่วมสงครามโคโนโต้ในปี 1338”

ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ อาศัยคำบอกเล่าของวิญญาณ ‘นักสอบสวน’ ที่ตายในปี 1338 ด้วยฝีมือกองทัพเรือฟุซัค ไคลน์ผุดชื่อสงครามกลางทะเลที่สอดคล้องกับข้อมูลดังกล่าว

ตลอดทั้งปี 1338 ความสัมพันธ์ของโลเอ็นกับฟุซัคตึงเครียดอย่างหนัก เกิดการกระทบกระทั่งหลายครั้ง แต่มีเพียงสงครามเดียวที่คร่าชีวิตเจ้าหน้าที่ระดับนาวาโท นั่นคือสมรภูมิทางทะเลที่เกิดขึ้นแถบโคโนโต้ทางชายฝั่งไบลัมตะวันออก

และในกองเรือฟุซัค จำนวนนาวาเอกต้องมีไม่มากแน่นอน!

ท่ามกลางท้องทะเลลึกที่มืดมิด อัลเจอร์·วิลสันได้เห็นหมอกสีเทาไร้ขอบเขต ได้ยินคำตอบจากมิสเตอร์ฟูล

ให้เราสืบข้อมูลนาวาเอกทุกคนของกองทัพเรือฟุซัคที่ร่วมรบในสงครามโคโนโต้ปี 1338… เหตุใดมิสเตอร์ฟูลถึงสนใจนายทหารตัวเล็กๆ เช่นนี้? มีความลับบางอย่างซ่อนอยู่? อัลเจอร์เริ่มใจเต้นแรง ไม่ลังเลอีกต่อไป ตอบรับในทันที

“ประสงค์ของท่านคือประสงค์ของข้า”

งานดังกล่าวอาจฟังดูค่อนข้างยากสำหรับอัลเจอร์ แต่ก็ไม่อันตราย เป็นประเภทที่ฝืนทำให้สำเร็จได้

หลังจากตอบสนอง อัลเจอร์ได้ยินเสียงทุ้มของมิสเตอร์ฟูลอีกครั้ง

“กลับไปหาเป้าหมายได้เลย”

เสร็จแล้ว? สมกับเป็นมิสเตอร์ฟูล! หลังจากได้ยึดครองอำนาจ ท่านทำตัวสมกับฉายา ‘เทพสมุทร’ ยิ่งกว่าคาเวทูว่าเสียอีก… ขอบเขตอำนาจไม่ได้จำกัดอยู่เพียงหมู่เกาะรอสต์อีกต่อไป! อัลเจอร์เปี่ยมความสุข ขอบคุณอีกฝ่ายด้วยท่าทีขึงขัง จากนั้นก็เอนหลัง กางขาออก พุ่งลงไปยังส่วนลึกของทะเล

ไม่กี่นาทีถัดมา มันกลับมาถึงเขตภูเขาไฟใต้ทะเลลึก มองเห็นกระแสน้ำวนขนาดใหญ่ รวมถึง ‘หนวด’ ขนาดมหึมาที่ยังคงสะบัดอย่างต่อเนื่อง มองยังไงก็ดูไม่เหมือนสงบลง

แม้อัลเจอร์จะไม่เคลือบแคลงในอำนาจและบารมีของเดอะฟูล เชื่อว่าอีกฝ่ายคือเทพบรรพกาลที่กำลังฟื้นคืนพลัง แต่เมื่อได้เห็นฉากตรงหน้าเต็มสองตา ความหวาดระแวงพลันผุดขึ้นตามสัญชาตญาณ ค่อยๆ ขยับเข้าไปใกล้อย่างระมัดระวัง

มันเดาเอาว่า การสะบัดหนวดจำนวนมากของสัตว์ทะเลอ็อบนิส คงเป็นการเชื้อเชิญให้ตนเข้าไป

ในเวลาเดียวกัน เหนือสายหมอกสีเทา ไคลน์ที่กำลังถือคทาเทพสมุทร ขมวดคิ้วชนกันอย่างฉงน

ไม่ยอมสื่อสารกับเทพสมุทร… แถมยังแผ่ความเกลียดชังอย่างชัดเจน ไม่อยากผูกมิตรด้วย… ไคลน์พึมพำคล้ายกับคนปวดฟัน

มันล้มเหลวในการผูกมิตรกับสัตว์ทะเลรอบๆ ตำแหน่งที่สวดวิงวอน!

ด้วยเหตุผลบางประการ สัตว์ทะเลอ็อบนิสสามารถต้านทานพลังพิเศษที่สามารถผูกมิตรกับสัตว์ทะเล!

ณ ตอนนี้ ฉากในจอสวดวิงวอนคือภาพของหนวดยักษ์ที่กำลังสะบัดอย่างเกรี้ยวกราด ไคลน์สัมผัสได้ถึงความโกรธ อีกฝ่ายคงคิดจะทำลายทุกสรรพสิ่งที่ย่างกรายเข้าไปใกล้มัน

มิสเตอร์แฮงแมนกำลังเข้าไปใกล้… ใกล้มากแล้ว… ทำยังไงดี… มุมปากไคลน์เริ่มกระตุก ตัดสินใจเปลี่ยนไปใช้วิธีอื่น

ชายหนุ่มยกคทาเทพสมุทร ปล่อยให้อัญมณีสีฟ้าสว่างขึ้นทีละเม็ด เปล่งประกายระยิบระยับ!

ในวินาทีถัดมา มันแผ่ออร่าอันท่วมท้นของ ‘พายุสายฟ้า’ และส่งไปหาสัตว์ทะเลอ็อบนิส

กลุ่มหนวดหนาๆ ที่กำลังอาละวาดอยู่ปากถ้ำก้นทะเลพลันแข็งทื่อ ร่วงหล่นลงพื้นอย่างอ่อนแรงในทันที ภายในถ้ำที่มืดและเงียบสงบ จุดแสงสีเขียวจำนวนมากปรากฏขึ้น

ท่ามกลางเสียงระเบิดดังอึกทึก สัตว์ทะเลที่สามารถกลืนเรือใบได้ทั้งลำค่อยๆ คลานออกมา ร่างกายสีดำของมันมีลวดลายมหึมาและบิดเบี้ยว มีสามเศียร มีดวงตามากกว่าสิบสองดวงในแต่ละหัว ทุกดวงล้วนเปล่งแสงสีเขียว!

สัตว์ทะเลตนดังกล่าวกำลังคลานออกมาด้วยท่าทีเซื่องซึมประหนึ่งสุนัขเฝ้าบ้าน

เป็นอย่างที่คิด… การสื่อสารจำเป็นต้องใช้วาทศิลป์สักเล็กน้อย… ไคลน์พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ เริ่มใช้พลังพิเศษเพื่อผูกมิตรกับอ็อบนิส สื่อสารในระดับจิตวิญญาณ สั่งให้สัตว์ทะเลอ้าปากทั้งสามพร้อมกัน

นั่นทำให้อัลเจอร์ได้เห็น ‘ปากถ้ำ’ ขนาดใหญ่สามแห่งตรงหน้า ทุกทางเข้าสามารถนำเรือใบแล่นเข้าไปจอดได้สบาย

มิสเตอร์ฟูลจงเจริญ… อัลเจอร์แหงนหน้ามองฉากสุดอลังการ อดไม่ได้ที่จะพึมพำในใจ

มันไม่มัวเสียเวลา เลือกเข้าไปในศีรษะกึ่งกลาง ว่ายน้ำด้วยความเร็วสูง

อุโมงค์คดเคี้ยวปรากฏขึ้นในการมองเห็นของอัลเจอร์ สองฝั่งคือผนังเลือดเนื้อ ความกว้างเทียบเท่าดาดฟ้าหัวเรือโทสะสีคราม

ซู่ว! กระแสน้ำเริ่มไหลทะลักเข้าไปยังส่วนลึกของอุโมงค์ อัลเจอร์ไม่พลาดโอกาส ปล่อยให้ร่างกายไหลไปตามธรรมชาติ

ทันใดนั้น มันรู้สึกเหมือนได้ย้อนกลับไปในตอนที่เพิ่งกลายเป็นอาชีพ ‘ลูกเรือ’ หมาดๆ ต้องคอยรับมือกับคลื่นทะเลอย่างยากลำบาก ถูกโยนไปมาจนศีรษะวิงเวียน ยากที่จะรักษาสมดุลร่างกาย

จนกระทั่งอัลเจอร์ใช้พลังพิเศษเพื่อประคองตัว มันถูกส่งออกจากอุโมงค์เลือดเนื้อมายังโลกที่มืดมิดและว่างเปล่า ฝ่าเท้าสัมผัสความรู้สึกเหนียวหนืด กลิ่นเหม็นอับลอยโชยจากทุกสารทิศ

ไม่กี่วินาทีถัดมา อัลเจอร์พบว่าของเหลวในที่แห่งนี้กำลังกัดกร่อนร่างกายตน จึงรีบสร้างเยื่อบางๆ ปกคลุมร่างกาย ขยายขนาดออกไปจนกลายเป็นลูกบอลสีใส

มันทราบทันทีว่าตนได้มาอยู่ในท้องอ็อบนิสเรียบร้อยแล้ว จึงรีบหยิบวัตถุดิบพี่พกติดตัวออกมา รวมถึงขวดและกระป๋องที่เตรียมไว้ เริ่มลงมือปรุงโอสถ

วัตถุดิบเสริมถูกโยนลงในขวดโลหะปากกว้างทีละชิ้น ผสมกันจนกลายเป็นของเหลวสีน้ำเงินเข้ม ถัดมา อัลเจอร์ใส่ ‘แมงกะพรุน’ สีใสที่ห่อหุ้มด้วยเยื่อน้ำทะเลสีฟ้าอย่างระมัดระวัง

เสียงร้องอันล่องลอยและไพเราะดังขึ้นกะทันหัน แต่ไม่นานก็สงบลง ของเหลวในขวดโลหะปากกว้างปราศจากแรงกระเพื่อมหรือฟองอากาศโดยสิ้นเชิง สงบนิ่งประหนึ่งมหาสมุทรก่อนพายุก่อตัว

อัลเจอร์สงบสติ เข้าฌานทำสมาธิ จากนั้นก็หยิบขวดโลหะขึ้น กระดกดื่มโอสถ ‘ผู้ขับขานสมุทร’ อึกอึกรวดเดียวจนเกลี้ยง

ของเหลวที่เย็นเยียบและชวนให้มึนงงไหลไปทั่วหลอดอาหาร แผ่ซ่านลงกระเพาะ แพร่กระจายไปยังทุกเซลล์ในพริบตาอย่างน่าอัศจรรย์

ในวินาทีนี้ อัลเจอร์พลันท่วมท้นไปด้วยเสียงมากมาย ทั้งหมดมาจากสิ่งมีชีวิตในทะเลโดยรอบ แต่ก็ถูกปิดกั้นไว้โดยร่างกายของสัตว์ทะเลอ็อบนิส เหลือเพียงเสียงตกค้างที่คลุมเครือ

ตึกตัก! ตึกตัก! ตึกตัก!

อัลเจอร์รู้สึกว่าหัวใจของตนกำลังเต้นแรงพร้อมกับสูบฉีดเลือด พลังวิญญาณ และคลื่นเสียงไปทั่วร่างกายอย่างหนักหน่วง ค่อยๆ เปลี่ยนเส้นเสียงและโครงสร้างทางวิญญาณของตน

มันอ้าปากค้างอาจมิอาจควบคุม พ่นลมหายใจครั้งใหญ่

ขณะลมหายใจพุ่งออก อัลเจอร์พบว่าร่างวิญญาณของตนฉีกขาดเล็กน้อย เมื่อคลื่นเสียงแพร่กระจายออกไปทุกทิศ เกล็ดปลาเริ่มปรากฏบนผิวหนังในหลายจุด จากนั้นก็ยืดออกเป็นเนื้อยาว วิวัฒนาการกลายเป็นโหนวดโบกสะบัด

คลื่นเสียงแผ่ไปรอบทิศพร้อมกับชิ้นส่วนร่างวิญญาณที่ฉีกขาด สัมผัสกับเมือกในท้องของสัตว์ทะเลอ็อบนิส สะท้อนกลับมาหาอัลเจอร์อีกครั้งอย่างน่าอัศจรรย์ ช่วยเติมเต็มความสมบูรณ์ของร่างกาย

อัลเจอร์ที่เกือบจะคลุ้มคลั่ง เริ่มฟื้นคืนสติกลับมาหลายส่วน รีบฉวยโอกาสตรงหน้าโดยไม่ลังเล ไม่เขินอายต่อสิ่งใด ร้องเพลงเพื่อระบายคลื่นเสียงที่มองไม่เห็นในร่างกายออกไป ป้องกันไม่ให้ร่างกายระเบิด

เสียงเพลงที่อัดแน่นด้วยความหยาบกระด้าง ยุ่งเหยิง และแหบพร่าประหนึ่งเฮฟวี่เมทัล ดังกังวานไปรอบทิศ ผสมผสานกับเศษชิ้นส่วนร่างวิญญาณ จากนั้นก็ปะทะกับของเหลวเหนียวหนืดในกระเพาะอาหารของอ็อบนิส สะท้อนกลับมาหาอัลเจอร์อีกครั้ง

ระหว่างกระบวนการ อัลเจอร์เปรียบดังวัตถุดิบที่ถูกอบในเตาคลื่นเสียง ค่อยๆ ถูกขัดเกลาทีละนิด

ท้ายที่สุด มันได้รับสิทธิ์ในการควบคุมร่างกายกลับคืนมา ก่อนอื่นจึงรีบยับยั้งพลังวิญญาณที่กำลังพลุ่งพล่าน

สำเร็จแล้ว… อัลเจอร์หลับตาลง รอยยิ้มที่มิอาจเก็บซ่อนกำลังฉาบบนใบหน้า

มันบรรลุเป้าหมายที่วางแผนมานานหลายปี เลื่อนลำดับเป็น ‘ผู้ขับขานสมุทร’ สำเร็จ!

เราเริ่มควบคุมสายฟ้าได้เล็กน้อย… กิจกรรมใต้น้ำทั้งหมดถูกยกระดับและเพิ่มความหลากหลาย สามารถดำรงชีวิตใต้น้ำได้นานขึ้น และยังมีพลังในการสร้างอิทธิพลต่อเป้าหมายด้วยเสียงเพลง… เสียงเพลงของแต่ละคนจะมีเอกลักษณ์แตกต่างกัน แยกได้หลายแขนง มีทั้งการก่อกวนร่างวิญญาณของศัตรูด้วยเสียงร้องที่ไพเราะ ทำให้อีกฝ่ายตกอยู่ในภวังค์ หรือไม่ก็เพิ่มพลังทางกายภาพของตัวเองในพริบตา หรือไม่ก็จำลองเสียงฟ้าร้อง ทำให้ศัตรูตกใจและชะงัก หรือไม่ก็เสียงร้องสุดห่วยแตกที่ทำให้ศัตรูเกิดความหงุดหงิด ระเบิดโทสะออกมาอย่างเกรี้ยวกราด… อัลเจอร์ค่อยๆ ตรวจสอบสถานภาพของตน สีหน้าเริ่มบิดเบี้ยว

มันรีบขจัดความคิดฟุ้งซ่าน เก็บข้าวของ ว่ายทวนน้ำตรงไปยังบริเวณปากของสัตว์ทะเลอ็อบนิส ใช้มือเคาะปากที่กำลังปิดสนิท

ปากขนาดมหึมาค่อยๆ อ้ากว้าง ก่อนจะคำรามและพ่นทุกสิ่งด้านในออกมาจนหมด

ร่างกายอัลเจอร์พุ่งแหวกน้ำทะเลด้วยความเร็วสูงประหนึ่งกำลังลอยอยู่กลางอากาศ เกือบชนเข้ากับฉลามตัวหนึ่ง

หลังจากผ่านอะไรมากมาย มันโผล่ศีรษะขึ้นจากผิวน้ำ ว่ายไปยังตำแหน่งของโทสะสีคราม

จนกระทั่งเค้าโครงของเรือผีสิงปรากฏในการมองเห็น อัลเจอร์เกิดความโล่งใจจากก้นบึ้ง

หนึ่งในสิ่งที่มันกังวลก็คือ ขณะที่ตนออกไปเลื่อนลำดับ โทสะสีครามอาจเกิดอาการผิดปรกติขึ้นพอดี

แม้ว่าระยะเวลาเพียงหนึ่งถึงสองชั่วโมงจะไม่มากมายอะไร แต่โลกนี้มักเต็มไปด้วยเหตุการณ์ไม่คาดฝันเสมอ

ไคลน์ที่ได้รับการขอบคุณจากแฮงแมนอีกครั้ง ส่งตัวเองกลับมายังโลกความจริง ล้างมือจนสะอาดและเช็ดให้แห้ง ออกจากห้องน้ำ เดินกลับไปยังโถงรับประทานอาหาร

เมื่อได้กลิ่นอาหารแตะจมูก ชายหนุ่มสูดลมหายใจแผ่วเบา เดินกลับไปที่นั่งของตัวเองด้วยรอยยิ้ม โค้งคำนับเล็กน้อยและนั่งลง

ขณะนี้ งานเลี้ยงกำลังเข้าสู่ช่วงขนมหวาน

เราอยู่ในห้องน้ำนานเกินไปสินะ… หวังว่าจะไม่มีข่าวลือเกี่ยวกับอาการท้องเสียของดอน·ดันเตสแพร่กระจายออกไป… ไคลน์พึมพำ หันไปยิ้มให้มาดามวิลลิสทางด้านขวามือ

“เมื่อครั้งยังเด็ก ผมเคยกินอาหารแปลกๆ ของทวีปใต้หลายชนิด หนึ่งในนั้นคือเบอร์รี่เทเน็ต รสชาติคล้ายวิปครีม เหมือนกับของหวานจานนี้มาก”

ชายหนุ่มแถแบบมีวาทศิลป์ว่า ที่ตนกลับมาจากห้องน้ำช้าก็เพราะสมัยเด็กเคยทำร้ายลำไส้ตัวเองหลายครั้ง

…………………………………………………………………..

Lord of the Mysteries

Lord of the Mysteries

ป็นเรื่องราวการข้ามโลกของหนุ่มชาวจีนนามว่า โจวหมิงรุ่ย โลกใบที่ชายคนนี้ต้องเผชิญมีลักษณะคล้ายคลึงกับยุควิกตอเรียของยุโรป ยุคสมัยแห่งจักรกลไอน้ำเฟื่องฟู สุภาพบุรุษขุนนางเดินขวักไขว่ด้วยสูทและเสื้อกั๊กมาดเท่ แน่นอน เป็นโลกที่มีพลังพิเศษ ผู้วิเศษ และ สัตว์วิเศษ แต่พลังของมนุษย์บนโลกจะไม่เหมือนกับนิยายเรื่องใด ไม่มีจอมยุทธ์ ไม่มีการบังเอิญพบคำภีลับและได้ครอบครองยอดเคล็ดวิชา ไม่ได้เกิดใหม่พร้อมกับพลังสุดโกง ไม่เลย ไม่น่าเบื่อและจืดชืดขนาดนั้น ในอดีตกาล เผ่าพันธุ์มนุษย์อันต่ำต้อยมิอาจต่อสู้กับเหล่าสัตว์วิเศษในตำนานไหว หนึ่งในหนทางครอบครอง ‘พลังพิเศษ’ ก็คือการดื่ม ‘โอสถ’ หลังจากมนุษย์ดื่มโอสถและกลายเป็น ‘ผู้วิเศษ’ พวกเขาจะข้ามขีดจำกัดเดิมตามแต่ชนิดโอสถที่ดื่ม ผู้วิเศษในโลกแบ่งออกเป็น 9 ลำดับ โดยลำดับ 9 จะอ่อนแอที่สุด หนทางอัพเกรดลำดับก็แสนพิลึก ไม่ใช่การพัฒนาพลังเหมือนนิยายเรื่องใด แต่เป็นการดื่ม ‘โอสถ’ ที่ ‘ถูกต้อง’ ตามสูตรของลำดับถัดไป พลังพิเศษไม่สามารถข้ามสายได้ โอสถแต่ละชนิดจะมีสูตรการปรุงที่แตกต่าง แถมการฝึกฝนพลังของผู้วิเศษก็ยังพิสดารเหนือคำบรรยาย เรื่องราวจะยิ่งเข้มข้นขึ้นเมื่อตัวเอกเริ่มทราบว่า อดีตมหาจักรพรรดิของโลกเมื่อร้อยปีก่อนเป็น ‘ผู้เดินทางข้ามโลก’ เหมือนกับเขา แถมยัง… เหลือทิ้งไดอารี่สุดสำคัญไว้ให้ชนรุ่นหลัง แต่ไดอารีถูกเขียนด้วยภาษาจีนที่ไม่มีใครอ่านออกแม้แต่คนเดียว… ยกเว้นโจวหมิงรุ่ย With the rising tide of steam power and machinery, who can come close to being a Beyonder? Shrouded in the fog of history and darkness, who or what is the lurking evil that murmurs into our ears? Waking up to be faced with a string of mysteries, Zhou Mingrui finds himself reincarnated as Klein Moretti in an alternate Victorian era world where he sees a world filled with machinery, cannons, dreadnoughts, airships, difference machines, as well as Potions, Divination, Hexes, Tarot Cards, Sealed Artifacts… The Light continues to shine but mystery has never gone far. Follow Klein as he finds himself entangled with the Churches of the world—both orthodox and unorthodox—while he slowly develops newfound powers thanks to the Beyonder potions. Like the corresponding tarot card, The Fool, which is numbered 0—a number of unlimited potential—this is the legend of “The Fool”.

Comment

Options

not work with dark mode
Reset