จ้องมองศพมิสเตอร์ X สักพัก ไคลน์ข่มความคิดที่จะลงมือค้นศพด้วยตัวเอง จึงบังคับให้ ‘วิญญาณอาฆาต’ เซนอลที่อยู่ด้านข้าง ก้าวไปข้างหน้าเล็กน้อย ก้มลงไปถอดแหวนทับทิมออกจากนิ้วมิสเตอร์ X
ด้วยวิธีนี้ แม้ว่าสมบัติวิเศษของมิสเตอร์ X จะมีผลข้างเคียงเหนือจินตนาการ แต่คนที่ได้รับก็จะเป็นหุ่นเชิด ไม่ใช่ตน!
หลังจากตรวจสอบอย่างละเอียด เซนอลกลับมาพร้อมแหวนทับทิม ธนบัตรสี่สิบแปดปอนด์ และกล้องยาสูบที่เต็มไปด้วยใบยาสูบ
แค่นี้…? ผู้ส่งสารของชุมนุมแสงเหนือมีทรัพย์สินแค่นี้? ไคลน์จ้องฉากตรงหน้าด้วยสายตาประหลาดใจ เกือบหลุดสบถว่า ‘ยาจกฉิบ!’
เพียงไม่นาน ชายหนุ่มข่มสติกลับมา เริ่มพบว่าสถานการณ์สิ่งที่เกิดขึ้นค่อนข้างสมเหตุสมผล
มิสเตอร์ X เป็น ‘นักท่องเที่ยว’ สามารถบันทึกพลังพิเศษของผู้อื่น เรียกได้ว่ามีความชำนาญรอบด้าน ถึงแม้มันจะครอบครองสมบัติวิเศษ แต่ก็น่าจะ ‘บันทึก’ พลังของวัตถุดังกล่าวไว้ใช้งาน ไม่ต้องคอยพกพาติดตัวตลอดเวลา ด้วยวิธีนี้ มันสามารถเพลิดเพลินไปกับข้อดีของสมบัติวิเศษโดยไม่ต้องกังวลถึงผลข้างเคียง หลีกเลี่ยงการตายด้วยฝีมือตัวเอง
“หากอ้างอิงจากแนวคิดดังกล่าว แหวนวงนี้ก็น่าจะมีพลังประเภทติดตัว หรือไม่ก็แสดงผลอัตโนมัติแบบมีเงื่อนไข”
คิดถึงตรงนี้ ไคลน์พยักหน้าเล็กน้อย บังคับให้เซนอลหยิบศีรษะของมิสเตอร์ X ส่งมาให้ตน ตัดการเชื่อมต่อและกลับมิติหมอก
เมื่อกลับมายังเก้าอี้ของเดอะฟูล ชายหนุ่มไม่เกรงกลัวสิ่งใดอีกต่อไป หยิบแหวนทองฝังทับทิมด้วยมือเปล่า ใช้พลังทำนายเพื่อยืนยันความสามารถที่แท้จริงของสมบัติวิเศษ
ชื่อบุปผาโลหิต…
ช่วยให้ผู้สวมใส่ตระหนักถึงร่างกายตัวเองได้ในเชิงลึก ตราบใดที่ไม่ถูกโจมตีจนเสียชีวิตในคราวเดียว หรือไม่ถูกครอบงำโดยสมบูรณ์ การควบคุมร่างเนื้อที่สูญเสียไป จะค่อยๆ ฟื้นฟูกลับมาทีละนิด
พลังในระดับสัญชาตญาณ… พลังติดตัว…
ดูเหมือนว่า เราคิดถูกแล้วที่ใช้ ‘ลางมรณะ’ ปลิดชีพในคราวเดียว หากไม่ใช้พลังที่รุนแรงที่สุดโจมตีเข้าไป หากมิสเตอร์ X เกิดรอดชีวิต… มันจะคืนสติจากความเจ็บปวดแสนสาหัส หลุดพ้นจากการควบคุมของนักเชิดหุ่น… หมายความว่า มิสเตอร์ Xตระหนักถึงจุดอ่อนในฐานะ ‘จอมเวท’ ของตน เรื่องที่ร่างกายยังขาดการป้องกัน…
นอกจากพลังควบคุมร่างกาย แหวนวงนี้ยังมีเวทมนตร์เกี่ยวกับเลือด… น่าจะเป็นประโยชน์ในอนาคต… ไคลน์ถือแหวนทับทิมไว้ในมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างนำไปเคาะโต๊ะทองแดงยาวพลางพึมพำ
มันลงมือตรวจสอบผลข้างเคียงของ ‘บุปผาโลหิต’ ต่อทันที
หลายสิบวินาทีถัดมา ไคลน์ลืมตาขึ้น ออกจากภวังค์ความฝัน
นี่ไม่แย่เกินไปหน่อยหรือ…? ชายหนุ่มกระซิบกระซาบด้วยสีหน้าบิดเบี้ยว
อาศัยพลังทำนายฝัน มันตรวจสอบจนพบผลข้างเคียงด้านลบของ ‘บุปผาโลหิต’ นั่นคือการ ‘สุ่ม’ ทำให้ผู้สวมใส่สูญเสียสติปัญญา ตัดขาดจากความเป็นเหตุเป็นผล!
“…” สมกับเป็นพระผู้สร้างแท้จริง… ไคลน์ขบกรามพลางครุ่นคิด
ในเมื่อผลข้างเคียงเกิดขึ้นแบบสุ่ม หมายความว่า คนปรกติไม่สามารถใช้งานแหวน ‘บุปผาโลหิต’ วงนี้ได้!
ครุ่นคิดถึงฉากก่อนหน้า ไคลน์รำพันติดตลก
มิสเตอร์ X กล้าสวมแหวนวงนี้ได้ยังไง? หรือว่า หลังจากเป็นสาวกของพระผู้สร้างแท้จริง ความเป็นเหตุเป็นผลของมนุษย์จะหายไป ดังนั้น การสวม ‘บุปผาโลหิต’ เข้าไปจึงไม่ทำให้สถานการณ์แย่ลง?
นั่นสินะ… การสูญเสียเหตุและผล ยังไม่เท่ากับกลายเป็นบ้า อย่างน้อยก็ไม่ทำร้ายคนอื่นส่งเดช… แต่ก็ยังกลายเป็นคนโง่โดยสมบูรณ์อยู่ดี เคลื่อนไหวร่างกายไปตามสัญชาตญาณเท่านั้น…
ฟู่ว… ไคลน์พ่นลม ตัดสินใจโยนแหวน ‘บุปผาโลหิต’ เข้าไปในกองขยะ ขจัดความรู้สึกนึกเสียดายทิ้งไป ตามความเห็นของมัน ไม่เพียงตนจะมิอาจใช้งานแหวนวงนี้ แม้แต่การขายก็ยังทำไม่ได้!
คงไม่มีใครยอมซื้อแน่… เว้นเสียแต่จะเป็นคนของชุมนุมแสงเหนือ แต่ถ้าทำแบบนั้น พระผู้สร้างแท้จริงคงกำลังดีใจ…
ขณะเดียวกัน มุมสายตาชายหนุ่มชำเลืองผ่าน ‘พลเรือเอกโลหิต’ เซนอลด้านข้าง
หัวใจไคลน์พลันเต้นแรง นำมือทั้งสองข้างตบฉาดเข้าหากัน
เรื่องง่ายๆ แค่นี้… ทำไมเราคิดไม่ออก? ถึงตัวเราจะไม่สามารถใช้งาน แต่หุ่นเชิดของเราใช้งานได้แน่นอน! เพราะทั้งหมดทั้งมวล หุ่นเชิดทำได้เพียงรับคำสั่งจากร่างต้น ไม่มีสติไว้คิดเองอยู่แล้ว!
‘พลเรือเอกโลหิต’ ‘บุปผาโลหิต’ … นี่มันพรหมลิขิตชัดๆ! แม้ว่าเซนอลจะมิอาจควบคุมร่างกายตัวเองเนื่องจากตายไปแล้ว แต่เราสามารถทำแทนได้
ด้วยพลังของแหวน ต่อให้สลับเป็นวิญญาณอาฆาตไม่ทัน หรือร่างกายซอมบี้ไม่แข็งแกร่งมากพอ ถูกโจมตีจนแขนขาขาด แต่เราก็ยังสามารถบังคับให้เคลื่อนไหวได้ตามใจนึก…
แน่นอน สำหรับหุ่นเชิด พลังประเภทนี้ไม่สำคัญมากนัก แก่นสารอยู่ที่เวทมนตร์เกี่ยวกับเลือดต่างหาก…
ไม่กี่วินาทีถัดมา ไคลน์ที่กำลังอารมณ์ดี บังคับให้เซนอล ผู้สวมหมวกสามมุมและแจ็คเก็ตสีแดงเข้ม หยิบแหวนทับทิมบนโต๊ะขึ้นมาสวมที่นิ้วชี้ข้างซ้าย
จัดการเสร็จ ไคลน์บังคับให้ ‘วิญญาณอาฆาต’ กลับเข้าไปในเหรียญทอง ก่อนจะยกฝ่ามือซ้ายของตน กางนิ้วทั้งห้าออก
มันคิดจะปลดปล่อย ‘นักสอบสวน’ ในยุบพองหิวโหย!
นี่เป็นคำสัญญาที่เคยให้ไว้ในตอนแรก
ย้อนกลับไปเมื่อครั้งไคลน์ได้รับยุบพองหิวโหย ‘นักสอบสวน’ คือวิญญาณดวงสุดท้ายที่ยังไม่ได้รับการปลดปล่อย
ท่ามกลางสายลมเย็นสบาย ร่างวิญญาณพร่ามัวและโปร่งใสปรากฏขึ้นด้านข้างโต๊ะทองแดงยาว
เป็นชายสวมเครื่องแบบทหารเรือยศนาวาโท วัยสามสิบ เคราสีน้ำตาล ใบหน้าเผยความเจ็บปวดและสับสน
“ชื่ออะไร ทำไมถึงถูกคีลิงเกอร์ฆ่า” ไคลน์ถามเสียงต่ำ
ชายคนดังกล่าวตอบด้วยสีหน้าเหม่อลอย
“ผมชื่อแอนดี้·ไฮเดิน ผู้ช่วยกัปตันเรือเอ็นมาร์ต เสียชีวิตในสมรภูมิกลางทะเล… ไม่สิ ผมยังไม่ตายในทันที แต่ถูกฝ่ายฟุซัคจับตัวไป ก่อนจะถูกกักขังอยู่ในถุงมือของคุณ… ผมไม่รู้จักคีลิงเกอร์ ไม่เคยได้ยินชื่อนั้นด้วยซ้ำ”
หมายความว่า ในตอนที่คีลิงเกอร์ได้รับยุบพองหิวโหย นักสอบสวนคนนี้ถูกขังในถุงมืออยู่ก่อนแล้ว? เป็นเพราะพลัง ‘ทะลวงจิต’ มีประสิทธิภาพสูง จึงไม่ถูกแทนที่? ชักอยากรู้แล้วว่าใครเป็นเจ้าของยุบพองหิวโหยก่อนคีลิงเกอร์… ไคลน์ถามต่อด้วยความสนใจ
“ฝ่ายฟุซัคที่จับตัวคุณไปเป็นใคร? หน้าตาเป็นอย่างไร?”
แอนดี้·ไฮเดินครุ่นคิด
“ผมไม่ทราบชื่อของเขา จำได้เพียงว่ามียศนาวาเอก มีจมูกใหญ่มาก ดวงตาสีฟ้า ผมสีเหลืองทอง สูงเกือบสองเมตร”
พบได้ทั่วไปในฟุซัค… ยกเว้นยศนาวาเอก… ไคลน์ครุ่นคิด
“คุณเสียชีวิตในปีใด?”
ร่างวิญญาณของแอนดี้·ไฮเดินกำลังสลายตัว ค่อยๆ กระจัดกระจายทีละนิด จึงทิ้งท้ายได้เพียงประโยคเดียว
“1338”
สิบสองปีก่อน… นั่นสินะ… ‘พลเรือโทวายุ’ คีลิงเกอร์เพิ่งโด่งดังได้ไม่ถึงสิบปี… นาวาเอก… ตอนนี้คงเป็นพลเรือเอกของกองทัพเรือฟุซัค… ไคลน์พยักหน้า นึกเสียดายที่ตนไม่มีโอกาสได้ถามไถ่ความปรารถนาสุดท้ายของแอนดี้·ไฮเดิน
ช่างมัน… แค่ปล่อยเขาเป็นอิสระก็เพียงพอแล้ว… ไคลน์สลัดความคิดดังกล่าวทิ้ง เสก ‘เดอะเวิร์ล’ เกอร์มัน·สแปร์โรว์
…
“…ฝากบอกมิสเมจิกเชี่ยนว่า มิสเตอร์ X ลูอิส·เวย์นเสียชีวิตแล้ว ให้เธอเตรียมประกอบพิธีกรรมรับหลักฐานยืนยันและหนังสือเวทมนตร์… หากผมต้องการยืมใช้งานอีกครั้ง จะแจ้งให้ทราบในภายหลัง”
สายหมอกสุดลูกหูลูกตาปกคลุมทัศนวิสัยฟอร์ส โสตประสาทมีเพียงคำพูดแสนเย็นชาของ ‘เดอะเวิร์ล’ เกอร์มัน·สแปร์โรว์ดังกังวาน แม้ว่าเธอจะเตรียมใจสำหรับข่าวนี้ไว้แล้ว แต่เมื่อได้ยินกลับยากจะทำใจเชื่อลง
เขาทำสำเร็จ…? พายุในเขตตะวันออกตอนนั้นเป็นฝีมือของเขา? ฟอร์สระงับความสับสนว้าวุ่น ฉวยโอกาสจากค่ำคืนอันเงียบสงัด ประกอบพิธีกรรมรับมอบภายในห้องนอน
เพียงไม่นาน บานประตูมายาที่ก่อตัวจากแสงเทียนและวัตถุวิญญาณเริ่มเปิดกว้าง วัตถุสองชิ้นลอยออกมา ตกลงบนโต๊ะอ่านหนังสือ
เมื่อฟอร์สเพ่งมองใกล้ๆ เธอเกือบหลุดแหกปากลั่นบ้าน รีบใช้มือปิดปากไว้ได้ทันท่วงที ผงะถอยหลังสองก้าวจนเกือบชนกำแพงวิญญาณ
ชิ้นแรกคือ ‘บันทึกการเดินทางของเลมาโน่’ ซึ่งเป็นของเธอ แต่อีกหนึ่งชิ้นคือศีรษะมนุษย์อันน่าสยดสยองซึ่งเต็มไปด้วยรอยแตกแขนงและคราบเลือด ราวกับใครบางคนบรรจงนั่งประกอบกลับมาใหม่ แสงสลัวจากกระจกยิ่งช่วยเพิ่มความหลอน
ในฐานะนักศึกษาจากโรงเรียนแพทย์ รวมถึงเคยมีประสบการณ์ในคลินิกชื่อดัง ฟอร์สย่อมเคยเห็นศพผ่านตามานับไม่ถ้วน แต่ก็ไม่มีศพใดน่ารังเกียจและขยะแขยงเท่ากับศีรษะตรงหน้ามาก่อน ทั้งพิสดารและชวนให้ขนลุก
หลังจากข่มใจให้สงบ ฟอร์สจ้องศีรษะตรงหน้าอีกครั้ง ยืนยันว่าเป็นลูอิส·เวย์น
อันดับแรก เธอตรวจสอบให้แน่ใจด้วยพลังทางโหราศาสตร์ จากนั้นก็พึมพำกับตัวเองด้วยสีหน้าบิดเบี้ยวเล็กๆ
มิสเตอร์เวิร์ลป่นกะโหลกของมันจนแหลก… จากนั้นก็ประกอบกลับมาใหม่?
ภาพหนึ่งผุดขึ้นในหัวฟอร์สโดยไม่ได้ตั้งใจ
เป็นฉากที่เกอร์มัน·สแปร์โรว์ผู้เลือดเย็นกำลังนั่งบนโต๊ะ บรรจงหยิบชิ้นส่วนที่เปื้อนเลือดทีละชิ้น ประกอบกลับเข้าด้วยกันจนกลายเป็นศีรษะสภาพเกือบสมบูรณ์ ประหนึ่งกำลังเล่นเกมแก้ปริศนาตัวต่อ!
ภาพดังกล่าวทำให้ร่างกายฟอร์สสั่นสะท้านอย่างมิอาจหักห้าม เธอเริ่มไม่มั่นใจว่า ‘เดอะเวิร์ล’ เป็นนักฆ่าเสียสติ หรือเป็นผู้ป่วยจิตเวชขั้นรุนแรงกันแน่
ถอนสายตากลับ หญิงสาวเดินหน้าสองก้าว หยิบบันทึกการเดินทางของเลมาโน่ขึ้นมาพลิกเปิด
แววตาของเธอค่อยๆ แข็งทื่อ เนื่องจากพบว่าจำนวนเวทมนตร์บนหน้ากระดาษเพิ่มขึ้นจากแต่ก่อนมาก เกือบทั้งหมดน่าจะเกี่ยวข้องกับเวทลมและสายฟ้า
นั่นทำให้ฟอร์สยิ่งนึกถึงพายุสายฟ้าที่สว่างวาบในเขตตะวันออก มั่นใจทันทีว่าเป็นฝีมือของมิสเตอร์เวิร์ล
ฟอร์สรีบพลิกสมุดเวทมนตร์ไปยังหน้าสีหน้าเหลืองไหม้ทั้งสาม แต่ก็พบเพียงความว่างเปล่า
หญิงสาวเริ่มคาดเดาอย่างเลือนราง เชื่อว่า ‘เดอะเวิร์ล’ เกอร์มัน·สแปร์โรว์คงได้รับความช่วยเหลือจากมิสเตอร์ฟูล ในการบันทึกพลังพิเศษของลำดับครึ่งเทพ
จริงสิ… ถ้ามีเงินและทรัพยากรมากพอ เราสามารถจ้างให้สมาชิกในชุมนุมทาโรต์ช่วยบันทึกพลังพิเศษที่แตกต่างกันลงไป หากสิ่งนั้นเกิดขึ้น บันทึกการเดินทางของเลมาโน่ก็จะทรงพลังอย่างมาก… ทว่า เราไม่มีทั้งเงินและทรัพยากร… หืม… เราสามารถเรียกร้องรางวัลตอบแทนจากอาจารย์ได้ อ้างว่าเพื่อที่จะล้างแค้นเขา เราต้องสูญเสียเงินไปเป็นจำนวนมาก… ฟอร์สครุ่นคิดสักพัก กล่าวขอบคุณมิสเตอร์ฟูลเป็นอันดับแรก ก่อนจะฝากข้อความไปถึงเดอะเวิร์ล
“…ดิฉันรู้สึกผิดอย่างมากที่ค่าจ้างไม่สมน้ำสมเนื้อกับความยากของงาน หากได้รับรางวัลเพิ่มเติมเมื่อไร จะรีบดำเนินการชดเชยให้ภายหลัง”
สวดวิงวอนจบ ฟอร์สสิ้นสุดพิธีกรรม รีบนำศีรษะไปซ่อน
ถ้าซิลมาเห็นเข้า เธอคงจินตนาการถึงเรื่องราวสยองขวัญ… เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อย หญิงสาวรำพันด้วยท่าทีผ่อนคลาย
…
ขณะฟอร์สตอบกลับ ไคลน์ได้ส่งตัวเองกลับมายังโลกความจริงแล้ว จึงได้ยินเพียงเสียงสวดวิงวอนของสตรีอย่างเลือนราง
แต่ถึงอย่างนั้น ชายหนุ่มก็อดสั่นกลัวจากก้นบึ้งไม่ได้ เนื่องจากจุดอ่อนใหม่ที่ปืนลูกโม่ ‘ลางมรณะ’ มอบให้ก็คือ :
กลัวผู้หญิง!
………………………………………………