ขอใช้หินบนกำไลข้อมือ รวมถึงสิทธิ์ในการยืมบันทึกการเดินทางของเลมาโน่ระยะหนึ่ง? เขาทราบได้ยังไงว่าเรามีสมบัติสองชิ้นนี้? เราจำได้ว่าไม่เคยเอ่ยถึงมันในชุมนุมทาโรต์… หลังจากได้ยินคำตอบของ ‘เดอะเวิร์ล’ เกอร์มัน·สแปร์โรว์ ฟอร์สพลันประหลาดใจ เริ่มหวาดผวาเล็กๆ ราวกับความลับทั้งมองของตนถูกเปิดเผยอย่างทะลุปรุโปร่ง
หญิงสาวถูกครอบงำด้วยความเครียด พยายามเค้นสมองนึกถึงข้อบกพร่องของตัวเอง
นอกจากอาจารย์ ซิล และมิสเตอร์ฟูล ไม่มีใครทราบว่าเราครอบครองสองสิ่งนี้ โดยเฉพาะบันทึกการเดินทางของเลมาโน่… มิสเตอร์ฟูล… จะว่าไป มิสเตอร์เวิร์ลมักทำตัวแปลกๆ ในชุมนุมทาโรต์ เขาไม่เคยส่งไดอารีจักรพรรดิโรซายล์เลยสักครั้ง ดูเหมือนว่าจะไม่สนใจด้วยซ้ำ… หรือว่า เขามีความสัมพันธ์บางอย่างกับมิสเตอร์ฟูล จึงได้รับข้อมูลจากพระองค์โดยตรง? สาวก… หรือข้ารับใช้? ฟอร์สครุ่นคิดสักพัก เริ่มเข้าใจบางสิ่งบางอย่างคลุมเครือ บรรเทาความกลัวในจิตใจลง
เธอเริ่มมีเรี่ยวแรงพอที่จะพิจารณาว่าคำขอของ ‘เดอะเวิร์ล’ เกอร์มัน·สแปร์โรว์ สมเหตุสมผลหรือไม่
สำหรับฟอร์ส ข้อเสนอของอีกฝ่ายนับว่าถูกมาก ถูกกว่าที่เธอเคยจินตนาการไว้ แถมยังสมเหตุสมผล!
ในฐานะผู้วิเศษที่ไม่ค่อยได้ออกไปข้างนอก ส่วนใหญ่จะอยู่บ้านเพื่อพักผ่อนและเขียนงาน การถูกยืมบันทึกการเดินทางของเลมาโน่เป็นระยะเวลาหนึ่ง ไม่ส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยมากนัก และกำไลข้อมือสำหรับเดินทางผ่านโลกวิญญาณ หินอีกสองก้อน การมอบหนึ่งก้อนให้ ‘เดอะเวิร์ล’ เกอร์มัน·สแปร์โรว์ ไม่ได้ทำให้เธอสูญเสียไพ่ตายไปโดยสิ้นเชิง
ปัญหาเดียวก็คือ มิสเตอร์เวิร์ลอาจใช้งานรวดเดียวมองเม็ด และถ้าเขาล้มเหลว เราก็จะเสียมันไปฟรีๆ … แต่ต้องไม่ลืมว่า ตัวเขาเองก็ต้องเผชิญความเสี่ยง เป็นเรื่องปรกติที่จะเรียกร้อง… เดิมที เราเคยคิดว่าต้องสูญเสียมากกว่านี้ ถึงขั้นต้องนำรางวัลที่ได้จากการส่งศีรษะคนทรยศ ลูอิส·เวย์น ให้อาจารย์โดเรี่ยน มาจ่ายเป็นค่าจ้าง… ฟอร์สสงบสติสองสามวินาที สวดวิงวอนถึงเดอะฟูล
“…เรียนท่านมิสเตอร์ฟูลที่เคารพ ได้โปรดนำข้อความไปบอกกับมิสเตอร์เวิร์ลว่า ดิฉันยอมรับเงื่อนไขของเขา และจะพยายามร่วมมืออย่างสุดความสามารถ”
เดิมที ต้องเธอการจะเตือน ‘เดอะเวิร์ล’ เกอร์มัน·สแปร์โรว์ว่า การใช้หินบนกำไลจะทำให้ได้รับอิทธิพลจากคืนจันทร์เต็มวาง แต่ในภายหลังตระหนักเพิ่งตระหนักได้ มีเพียงผู้วิเศษเส้นทาง ‘ผู้ฝึกหัด’ เท่านั้นถึงจะได้รับผลกระทบดังกล่าว
…
ไม่ว่าจะสำเร็จหรือล้มเหลว แต่เราก็จะได้ใช้งานหินบนกำไล นั่นจะช่วยให้ออกจากเบ็คลันด์ได้โดยที่ไม่มีใครรู้ตัว แอบไปพบกับมิสเตอร์แฮงแมนเพื่อสำรวจเกาะโบราณ… เมื่อเวลานั้นมาหนึ่ง เราจะใช้สมุดเวทมนตร์บันทึกการใช้งานของหิน ไม่ต้องกังวลเรื่องขากลับ เว้นเสียแต่จะโชคร้ายมาก การบันทึกล้มเหลว… ไคลน์ถอนหายใจโล่งอก เปิดประตูห้อง อนุญาตให้บุรุษรับใช้ริชาร์ดสันเดินเข้ามาช่วยจัดระเบียบเครื่องแต่งกาย
“นายท่าน หลังเสร็จอาหารเช้า คุณมีกำหนดการต้องเดินทางไปชมนิทรรศการของสะสมของราชวงศ์ที่พิพิธภัณฑ์แห่งชาติ” ริชาร์ดสันช่วยนายจ้างสวมเสื้อโค้ท พลางอธิบายตารางเวลาประจำวัน
เนื่องจากทักษะการเต้นรำเพื่อเข้าสังคมของดอน·ดันเตสพัฒนาได้ไวมาก คาบเรียนมารยาทในช่วงเช้าจึงลดลงจากสัปดาห์ละห้าวัน เหลือเพียงสัปดาห์ละสามวัน มีเวลาทำอย่างอื่นมากขึ้น และนิทรรศการประเภทนี้มักตกเป็นประเด็นสนทนาของชนชั้นสูงบ่อยครั้ง คงไม่ใช่เรื่องดีนักหากไม่ได้ไปเยือนด้วยตัวเอง
สำหรับการแวะไปวิหารนักบุญแซมมวลเพื่อฟังบิชอปเทศนา ไคลน์ลดความถี่ลงเช่นกัน นั่นไม่ใช่เพราะมันเสียดายเงินค่าบริจาคหลายสิบปอนด์ต่อครั้ง แต่เป็นเพราะว่า หลังจากผ่านพ้นช่วงแรกมาแล้ว การแวะไปบ่อยครั้งอาจทำให้ถูกสงสัย ความเป็นธรรมชาติและสมเหตุสมผลคือแก่นสำคัญของแผนการ
นอกเหนือจากวันอาทิตย์ ไคลน์จะสุ่มเลือกสองวันจากหกวันที่เหลือเพื่อแวะไปวิหารนักบุญแซมมวล อาจต้องใช้เวลานานกว่าเดิมเพื่อตรวจสอบเวรยามของผู้คุม แต่ของแบบนี้ห้ามใจร้อนเด็ดขาด!
“อดใจรอไม่ไหวแล้ว” ไคลน์สำรวจสีหน้าตัวเองในกระจก ยิ้มและกล่าวกับบุรุษรับใช้ส่วนตัว
เมื่อนึกถึงการไปเยือนวิหารนักบุญแซมมวลและโบสถ์รัตติกาล ชายหนุ่มพาลนึกไปถึงเรื่องที่เลียวนาร์ด·มิเชลกำลังตามสืบเชอร์ล็อก·โมเรียตี้ โดยยังไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายค้นพบความผิดปรกติในเรื่องใด
เป็นเพราะเอ็มลิน·ไวท์เคยซื้อถุงมือ ‘อินธน์’ เลียวนาร์ดจึงตัดสินใจสืบสวนขยายผล? หรือเป็นเพราะการปรากฏตัวเล็กๆ ของนักสืบคนดังในคดีคาพินและลาเนวุส ถุงมือแดงที่รับผิดชอบคดีจึงต้องสืบสวน? หรือทั้งสอง? ไคลน์นึกถึงร่องรอยที่ตนเหลือทิ้งไว้ พยายามปะติดปะต่อเรื่องราว
ไคลน์ไม่กลัวว่าเชอร์ล็อก·โมเรียตี้จะถูกโบสถ์รัตติกาลตั้งค่าหัว เพราะอีกเดี๋ยวนักสืบคนดังก็จะไม่ได้โผล่หน้ามาให้ใครเห็นอีก อาจปรากฏตัวเป็นบางคราวเพื่อติดต่อกับคนรู้จัก แต่สิ่งที่ชายหนุ่มกำลังกังวลก็คือ ใครสักคนอาจฉุกคิดว่าเชอร์ล็อก·โมเรียตี้และไคลน์·โมเร็ตติมีใบหน้าคล้ายคลึงกันมาก เกิดเป็นการไล่ล่าอดีตเหยี่ยวราตรีผู้ล่วงลับ
อันที่จริง ถึงจะมีคนรู้เรื่องนั้น เราก็ไม่กังวลอะไร… ตอนนี้เราไม่ได้เป็นแค่ตัวตลกหรือนักมายากลสักหน่อย และครึ่งเทพที่กำลังไล่ล่าเราก็ไม่ได้มีเพียงหนึ่งหรือสองตน เพิ่มอีกสักฝ่ายจะเป็นอะไรไป… หากโบสถ์รัตติกาลส่งกองทัพเหยี่ยวราตรีอาวุโสมาไล่ล่า พวกมันก็ไม่ได้เก่งกว่าเราแบบก้าวกระโดด.. เบ็นสันและเมลิสซ่าเป็นแค่คนธรรมดา ทางศาสนจักรคงไม่ไปยุ่งวุ่นวาย… แต่พวกเขาจะริบเงินชดเชยคืนไหม? คงไม่… เป็นเรื่องยากที่จะอธิบายให้คนธรรมดาเข้าใจประเด็นนี้… ไคลน์บรรเทาความกังวลลงหลายส่วน
นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไม ในตอนที่ได้ยิน ‘อสรพิษปรอท’ วิล·อัสตินเอ่ยถึงไคลน์·โมเร็ตติเมื่อคืน ชายหนุ่มมิได้ออกท่าทีกังวลมากนัก
เป็นไปได้หรือ ที่ครึ่งเทพลำดับ 1 – เทวทูตที่เก่งกาจในด้านโชคชะตา จะไม่ทราบว่านักสืบคนดังรายนี้เป็นใครมาจากไหน?
ต่อให้มีพลังสายหมอกช่วยปิดกั้น ลดทอนรายละเอียดไปหลายส่วน วิล·อัสตินก็ยังทราบอยู่ดีว่า เชอร์ล็อก·โมเรียตี้มาจากเมืองทิงเก็น
ย้อนกลับไปในตอนที่ยังอยู่ทิงเก็น ไคลน์เคยเผชิญหน้ากับ ‘อาเดมิทอร์’ เด็กหนุ่มเส้นทางสัตว์ประหลาดที่ยืนขวางทางในตลาดมืด อีกฝ่ายถึงกับเลือดไหลออกจากดวงตา เช่นนั้นแล้ว อสรพิษแห่งชะตาย่อมมองเห็นได้ไกลกว่านั้น นำข้อมูลมาเปรียบเทียบกันจนได้รับคำตอบ
ถ้าเลียวนาร์ดค้นพบตัวจริงของเชอร์ล็อก·โมเรียตี้ เราก็อยากเห็นเหมือนกันว่าเขาจะทำหน้าแบบไหน…. ไคลน์หัวเราะกับตัวเอง เดินออกจากห้องนอนใหญ่ ลงไปยังชั้นสอง เพลิดเพลินกับอาหารที่ถูกปรุงอย่างพิถีพิถันโดยพ่อครัว
…
เขตตะวันตก อาคารหมายเลข 2 ถนนหลวงราชา พิพิธภัณฑ์แห่งชาติ
ไคลน์พาพ่อบ้านวอลเตอร์และบุรุษรับใช้ริชาร์ดสันผ่านประตูตรวจตั๋ว เข้าไปด้านใน
นิทรรศการนี้ถูกจัดขึ้นโดยราชวงศ์แห่งโลเอ็น จุดประสงค์เพื่อนำของสะสมที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์นับตั้งแต่ก่อตั้งอาณาจักร มาจัดแสดงให้ประชาชนได้รับชมและเข้าใจ เสริมสร้างความเคารพและการยอมรับในตัวราชวงศ์
ในฐานะนักศึกษาที่จบจากสาขาประวัติศาสตร์ ไคลน์ค่อนข้างสนใจนิทรรศการทำนองนี้ เพราะหลายหลากเหตุการณ์ที่ตนคุ้นเคยจะถูกนำมาวางเรียงรายในรูปแบบของหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ช่วยให้ดื่มด่ำไปกับข้อมูลที่เจ้าของร่างคนก่อนหลงใหลและปรารถนาจะรับรู้มาตลอด
สิ่งที่ทำให้ไคลน์ค่อนข้างประหลาดใจเล็กๆ ก็คือ พ่อบ้านวอลเตอร์รู้จักของสะสมชิ้นต่างๆ อย่างลึกซึ้ง สามารถมอบคำแนะนำให้ดอน·ดันเตสได้อย่างละเอียด
สมกับที่เคยเป็นพ่อบ้านของตระกูลขุนนางใหญ่… ไคลน์พยักหน้าในใจ
ขณะแวะชมและฟังเรื่องราว ทั้งสามคนเดินสวนกับผู้เยี่ยมชมคนอื่นๆ อย่างไม่ขาดสาย สภาพห้องโถงนิทรรศการค่อนข้างเงียบสงบและเป็นระเบียบ มีเพียงเสียงกระซิบกระซาบแผ่วเบา
จนกระทั่งเดินผ่านตู้จัดแสดงหนึ่ง ไคลน์สังเกตเห็นว่าวอลเตอร์ชะงักฝีเท้าอย่างกะทันหัน มองไปด้านข้าง สีหน้ายากซับซ้อนจะอธิบาย
เมื่อจากไม่ใช่ ‘ผู้ชม’ ไคลน์ไม่สามารถแปลความหมายของอารมณ์เหล่านั้น ทำได้เพียงมองตามสายตาวอลเตอร์ จ้องไปทางตู้จัดแสดง
มีสองบุคคลกำลังยืนในจุดดังกล่าว ชายหนึ่งหญิงหนึ่ง ผู้ชายอายุราวสามสิบ สวมชุดสุภาพสีดำ หมวกผ้าไหม ใช้ไม้ค้ำเลี่ยมทอง ดูเป็นสุภาพบุรุษภูมิฐานและร่ำรวย ส่วนฝ่ายหญิงมาในชุดสีเหลือง สวมสร้อยคอทองคำ มองภาพรวมดูสง่างามมาก
มิสเตอร์พ่อบ้านกำลังมองไปที่ฝ่ายชาย… ไคลน์ประเมินอย่างรวดเร็ว กวาดสายตาไปรอบๆ อย่างเป็นธรรมชาติโดยไม่ให้ใครผิดสังเกต
มันพบว่าสุภาพบุรุษคนดังกล่าวดูแก่กว่าที่คิด ผิวค่อนข้างคล้ำแดด หลังมือมีลักษณะเหมือนไม้แห้ง นิ้วหยาบกร้าน
ถ้าไม่มองเสื้อผ้า เราคงคิดว่าเขาเป็นชาวนา คนสวน หรือไม่ก็คนขับรถม้า… ไคลน์ถอนสายตากลับ ผุดความสงสัยเล็กๆ ในใจ
เหตุผลที่ชายหนุ่มสังเกตเห็นรายละเอียดเหล่านี้ เพราะย้อนกลับไปสมัยที่เริ่มสร้างตัวตนดอน·ดันเตส ไคลน์พิจารณาอย่างจริงจังว่าผู้ชายที่เคยผจญภัยบนทวีปใต้มานาน ควรมีลักษณะทางกายภาพเป็นเช่นไร
มันเชื่อว่า นอกจากดวงตา นิสัยใจคอ และใบหน้าที่เกิดจากการตกผลึกทางประสบการณ์อย่างยาวนาน ดอน·ดันเตสควรมีผิวพรรณที่เคยผ่านแสงแดดมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง มีรอยแผลเป็นที่ไม่โดดเด่นนัก มีฝ่ามือที่หยาบกระด้างแต่แข็งแรง ไม่อย่างนั้น ความสมจริงของตัวละครจะไม่มากพอ
พูดกันตามตรง นับตั้งแต่กลายเป็น ‘ผู้ไร้หน้า’ จนถึงปัจจุบัน เราค่อยๆ พัฒนาฝีมือในการสร้างตัวตนใหม่ สั่งสมความรู้และประสบการณ์จนสามารถออกแบบตัวละครใหม่ได้อย่างสมจริง… หากกลับสู่โลกเก่า แม้จะไม่มีพลังพิเศษ แต่เราก็ยังแสดงละครได้เก่ง พร้อมเล่นทุกบทบาท… ไคลน์หัวเราะกับตัวเอง เหลือบไปเห็นพ่อบ้านวอลเตอร์กลับมาทำสีหน้าเคร่งขรึม ราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
ขณะเดียวกัน ชายที่มีใบหน้าค่อนข้างชราและผิวหยาบกร้าน ชี้ไปยังธงผืนหนึ่งในตู้จัดแสดง
“ธงผืนนี้มาจากสงครามกุหลาบขาว เป็นธงรบของเอิร์ลแห่งลาสติ้ง องค์ชายฮาโรลด์·ออกัสตัส… ช่างน่าเศร้า พระองค์สิ้นพระชนม์ในศึกดังกล่าว ทว่า การจากไปของพระองค์คือจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ของสงคราม ช่วยให้พวกเราชาวโลเอ็นได้รับชัยชนะ… ถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นเลือดที่ติดบนผืนธง นั่นคือเลือดของพระองค์”
มีความรู้ทางประวัติศาสตร์ไม่เลว… ไคลน์ใช้หางตาชำเลืองพ่อบ้านวอลเตอร์ ครุ่นคิดสองสามวินาที ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้คู่ชายหญิงพลางยิ้มและทักทายอย่างเป็นมิตร
“คิดไม่ถึงว่าจะมีคนที่ทราบรายละเอียดในเชิงลึกเช่นนี้ เดิมที ผมเข้าใจว่าชาวโลเอ็นจะรู้จักสงครามกุหลาบขาวเฉพาะเรื่องฝ่ายตนได้รับชัยชนะเหนืออินทิส… มิสเตอร์ ผมขอชื่นชมความรู้อันกว้างขวางของคุณ”
เมื่อถูกยกยอต่อหน้าสตรี แววตาของชายคนดังกล่าวเปลี่ยนจากตื่นตัวเป็นผ่อนคลาย เผยรอยยิ้มเล็กๆ
“ผมแค่ชอบศึกษาประวัติศาสตร์”
มันหันไปมองพ่อบ้านของสุภาพบุรุษฝั่งตรงข้ามด้วยสายตาเป็นมิตร แต่ทันใดนั้นก็ต้องขมวดคิ้วและคลายออกในทันที ทิ้งความสงสัยเล็กๆ ไว้อย่างเจือจาง
เป็นอย่างที่คิด เขารู้จักพ่อบ้านวอลเตอร์… ไคลน์ยิ้มสุขุม
“สวัสดีครับ ผมเป็นนักธุรกิจจากอ่าวเดซีย์ ดอน·ดันเตส ไม่ทราบว่าต้องเรียกคุณว่าอย่างไร”
อีกฝ่ายลังเลเล็กน้อย ก่อนจะตอบ
“วิลเลี่ยม·ไซเคส ผู้ดูแลคฤหาสน์”
……………………………………………………………