Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ – ราชันเร้นลับ 749 : อำนาจแห่ง ‘จันทรา’

ราชันเร้นลับ 749 : อำนาจแห่ง ‘จันทรา’

เมื่อเดินเข้าไปในบ้าน สิ่งแรกที่ไคลน์เห็นคือห้องโถงขนาดกว้างขวาง มีเก้าอี้และที่วางร่มจำนวนมาก สถาปัตยกรรมภายในถูกตกแต่งอย่างหรูหรา หากไม่เคยทราบโครงสร้างหรือเคยเดินสำรวจมาก่อน ไคลน์คงคิดว่าที่นี่คือห้องรับแขก

ผ่านประตูบานที่สอง แววตาชายหนุ่มสดใสขึ้นถนัดตา ด้านในคือห้องโถงที่แขกหลายสิบคนสามารถเต้นรำโดยไม่ต้องเบียดเสียด

ใจกลางโถงปูด้วยพรมหนานุ่ม สีสันสดใส รายล้อมด้วยกระเบื้องหินอ่อนสีสว่าง นอกจากนั้นยังมีเปียโน รูปปั้นแกะสลักหินอ่อน และเสาหินลวดลายงดงามที่คอยค้ำจุนพื้นของชั้นสอง

ฝั่งซ้ายมือมีหน้าต่างสูงจากพื้นจรดเพดาน ด้านนอกเป็นสนามหญ้าสีเขียวและสวนดอกไม้ ทางขวามือเป็นประตูไม้และทางเดินที่นำไปสู่ห้องพักของแขก ห้องเก็บของ ห้องน้ำ ห้องครัว และห้องนอนพ่อบ้าน

ห้องโถงสูงกินพื้นที่สองชั้น มีโคมไฟระย้าคริสตัลห้อยลงมาจากเพดาน ทำให้ผู้คนพากันจินตนาการไปถึงช่วงเวลากลางคืน

รอบๆ โถงใหญ่มีบันไดสองฝั่ง นำทางไปขึ้นไปยังระเบียงชั้นสองที่อยู่ใจกลางบ้านตัวบ้าน

ระเบียงชั้นสองเหนือห้องโถงมีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส ตำแหน่งตรงกับพรมด้านล่างพอดิบพอดี สิ่งเดียวที่ไคลน์ต้องการมีเพียงไวน์หนึ่งแก้ว ยืนหลังระเบียงพลางเพลิดเพลินไปกับงานเต้นรำด้านล่าง

บนชั้นสองยังมีอีกหลายห้อง ทั้งห้องรับแขก ห้องนั่งเล่น ห้องรับประทานอาหาร ห้องน้ำ ห้องบิลเลียด ห้องนอนอีกจำนวนหนึ่ง หากแขกต้องการค้างคืน ก็สามารถเข้าพักได้ตามอัธยาศัย

ในทำนองเดียวกัน บนชั้นสองมีบันไดนำพาไปสู่ชั้นสาม ทั้งชั้นมีไว้สำหรับดอน·ดันเตสโดยเฉพาะ ประกอบด้วยห้องนอนหรูหราอลังการ ห้องกึ่งเปิดโล่งพร้อมกับบาร์ที่สามารถเพลิดเพลินไปกับแสงแดดและวิวทิวทัศน์ ห้องอ่านหนังสือซึ่งเป็นราวกับหอสมุดขนาดย่อม ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าสองห้อง ห้องนอนเล็กของบุรุษรับใช้ส่วนตัวและสาวใช้เวรกลางคืน นอกจากนั้นยังมีห้องน้ำของคนในครอบครัวโดยเฉพาะ แต่ปัจจุบันไคลน์ยังโสด

ส่วนห้องคนรับใช้อื่นๆ จะอยู่ในบ้านด้านหลังอาคารหลัก โดยที่อีกฝั่งหนึ่งคือคอกม้า

ห้องใต้ดินของอาคารหลักมีพื้นที่กว้างพอๆ กับตัวตึก ประกอบด้วยห้องเก็บของขนาดใหญ่และห้องเก็บไวน์

ไคลน์ถอดเสื้อคลุมออก ยืนริมระเบียงภายในห้องกึ่งเปิดโล่งของชั้นสาม มองดูวิวทิวทัศน์รอบๆ บ้าน อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเงียบๆ ตามลำพัง

ของแพงก็มีความคุ้มค่าในตัวมัน… ค่าเช่าสามร้อยสิบห้าปอนด์ต่อปีไม่ได้แพงเกินจริงแต่อย่างใด…

ชายหนุ่มจ่ายค่าเช่าล่วงหน้าของหนึ่งปีไปแล้วเมื่อวานช่วงบ่าย จำใจต้องเพลิดเพลินไปกับความหรูหราให้เต็มที่

ขณะเดียวกัน มันยังต้องจ่ายเงินค่าจ้างรายปีจำนวนหนึ่งร้อยสิบห้าปอนด์ให้วอลเตอร์ทันที เพราะเมื่อใดที่ตนขโมยสมุดบันทึกตระกูลอันทีโกนัสสำเร็จ มีโอกาสสูงที่จะหลบหนีออกนอกเมือง ส่งผลให้มิสเตอร์พ่อบ้านรายนี้ต้องตกงานกะทันหัน

ด้วยแนวคิดเดียวกัน ไคลน์ต้องจ่ายค่าจ้างรายปีให้กับแม่บ้านทาเนญ่าจำนวนสี่สิบสองปอนด์ เป็นการแสดงให้เห็นว่านายจ้องของเธอใจกว้างมากเพียงใด

นอกจากนั้น หลังจากพ่อบ้านกับแม่บ้านปรึกษากันอย่างหนัก พวกเขาลงความเห็นที่จะจ้างคนคอยดูแลทรัพย์สินจำนวนสามสิบปอนด์ต่อปี จ้างริชาร์ดสันในตำแหน่งบุรุษรับใช้จำนวนสามสิบห้าปอนด์ต่อปี คนรับใช้ชายสองคนที่คอยดูแลแขกและเสิร์ฟอาหารอีกคนละยี่สิบห้าปอนด์ต่อปี แม้บ้านชั้นหนึ่งสองคน สิบแปดปอนด์ต่อปีต่อคน แม่บ้านชั้นสองสองคน สิบสองปอนด์ต่อปีต่อคน และแรงงานชายสองคน สิบสองปอนด์ต่อคนต่อปี

ค่าจ้างรายปีของพ่อครัวคือสามสิบปอนด์ ผู้ช่วยพ่อครัวสิบห้าปอนด์ แม่ครัวลูกมือสิบเอ็ดปอนด์ คนดูแลห้องเก็บของสิบเอ็ดปอนด์ พยาบาลประจำยี่สิบห้าปอนด์ เด็กรับใช้สิบปอนด์ คนขับรถม้าสองคน คนละยี่สิบห้าปอนด์ คนสวนสองคน คนละยี่สิบปอนด์ สาวใช้ซักผ้าสองคน คนละสิบปอนด์ รวมทั้งสิ้นสี่ร้อยสิบสามปอนด์ เฉลี่ยเกือบแปดปอนด์ต่อสัปดาห์

เมื่อผนวกกับค่าแรงรายปีของหัวหน้าพ่อบ้านและแม่บ้าน ไคลน์ต้องจ่ายปีละห้าร้อยเจ็ดสิบปอนด์ ตกสิบเอ็ดปอนด์ต่อสัปดาห์ นี่ยังไม่นับค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิตประจำวันอันประกอบด้วยอาหาร เสื้อผ้า ถ่านฟืน และอื่นๆ

ทุกวันจันทร์ที่ลืมตาขึ้น ถึงแม้จะไม่มีรายรับสักเพนนีเดียว แต่เราก็ต้องจ่ายเงินมากกว่าหรือเท่ากับยี่สิบปอนด์… ไคลน์ครุ่นคิดสักพัก บังคับตัวเองให้มองไปทางสวน

ในตอนเที่ยง ชายหนุ่มต้องจ่ายค่าเช่ารถม้าสองคัน รวมถึงค่าแรงสัปดาห์แรกให้กับบรรดาคนรับใช้ เมื่อรวมกับเงินที่เคยมอบให้แม่บ้านทาเนญ่าอีกหนึ่งพันปอนด์เป็นค่าใช้จ่ายจิปาถะ ไคลน์จะเหลือเงินสดเพียง 1,286 ปอนด์และเหรียญทองสิบแปดเหรียญ อย่างไรก็ตาม รายได้จากมิสจัสติสและมาดามเฮอร์มิทจะค่อยๆ ถูกทยอย ‘จ่าย’ ภายในสัปดาห์นี้

เราไม่มีทางรู้เลยว่า หนึ่งพันปอนด์ที่ให้ทาเนญ่าไปจะอยู่ได้อีกนานแค่ไหน ลำพังการซื้อเครื่องดื่มเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับงานเลี้ยงก็หมดไปแล้วสองสามร้อยปอนด์… ‘เศรษฐี’ ดอน·ดันเตสดำดิ่งในความคิด ยากจะสลัดความเจ็บปวดหัวใจ

เพื่อให้อารมณ์สงบ มันอาศัยโอกาสที่แม่บ้านและสาวใช้กำลังวุ่นวายอยู่กับบ้านหลังใหม่ เตรียมส่งตัวเองเข้าสู่ห้วงมิติเหนือสายหมอก ศึกษาหุ่นกระบอกที่เอ็มลิน·ไวท์สังเวยเข้ามา

ขณะเกิดปรากฏการณ์จันทราโลหิต ไคลน์จำเป็นต้องเข้าไปในห้วงมิติลึกลับเพื่อดึงฟอร์ส ข่มความง่วงนอนและฟังอีกฝ่ายเล่าถึงชีวิตประจำวันในกรุงเบ็คลันด์ จนกระทั่งเหตุการณ์สงบลง ไคลน์อยู่ในสภาพอ่อนเพลียสุดขีด หลังจากรับการสังเวยจากเอ็มลินและไม่พบความผิดปรกติใดเพิ่มเติม ชายหนุ่มส่งตัวเองกลับโลกความจริง สลบเหมือดลงบนเตียงนอน

จัดระเบียบเสื้อกั๊กสีเข้มเสร็จ ไคลน์เดินไปที่ทางเข้า เปิดประตูห้องและหันไปพูดกับบุรุษรับใช้ส่วนตัว

“ผมมีนิสัยชอบงีบในช่วงบ่าย ใช้เวลาประมาณสี่สิบห้านาที อย่าให้ใครเข้ามารบกวน”

“ครับผม” ริชาร์ดสันตอบอย่างนอบน้อม

ชายคนนี้เป็นลูกครึ่ง บิดาเป็นชาวโลเอ็น ทำงานดูแลทรัพย์สินให้คฤหาสน์แห่งหนึ่ง มารดาเป็นชาวไบลัมตะวันออก ทำงานเป็นทาสในคฤหาสน์หลังเดียวกัน หลังจากลืมตาดูโลก ริชาร์ดสันต้องเผชิญการกลั่นแกล้งและการกีดกันมากมาย บ่มเพาะเป็นอุปนิสัยขี้ขลาด เชื่อฟัง และไม่สู้คน แต่เนื่องจากหน้าตาดี เหมาะแก่การต้อนรับแขก เจ้าของคฤหาสน์จึงเลือกให้ทำงานเป็นบุรุษรับใช้ส่วนตัว พากลับมายังกรุงเบ็คลันด์ด้วยกัน

จนกระทั่งสภาสูงและสภาสามัญของอาณาจักรโลเอ็นผ่านร่างกฎหมายเลิกทาส ริชาร์ดสันตกงานทันที จึงต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากสำนักงานจัดหาคนรับใช้

ก่อนจะมารับใช่ไคลน์ มันเคยรับใช้มาแล้วสองตระกูล เคยทำผิดพลาดประปราย ได้สั่งสมประสบการณ์อันมีค่า คุณสมบัติเข้าตาพ่อบ้านวอลเตอร์จนถูกเลือกให้มาเป็นบุรุษรับใช้ส่วนตัวของดอน·ดันเตส

เมื่อเห็นริชาร์ดสันที่ตัวสูงเท่าๆ กับตน ไคลน์ส่ายหน้าพลางถอนหายใจ

ผู้ชายที่สามารถเป็นดาราได้สบายๆ กลับต้องมาเป็นทาสในยุคสมัยแบบนี้… น่าเสียดาย ดันขี้ขลาดทั้งที่ตัวใหญ่… แต่นั่นก็เป็นเรื่องดี ด้วยนิสัยว่าง่าย เชื่อฟัง ยอมทำตามคำสั่ง และไม่กล้าตัดสินใจด้วยตัวเอง สำหรับเจ้านายแล้วถือเป็นคุณสมบัติในอุดมคติ

หากเรามีบุรุษรับใช้ส่วนตัวได้คนเดียว และต้องคอยดูแลบริหารจัดการปัญหาต่างๆ ได้ด้วย ริชาร์ดสันไม่ตอบโจทย์แน่นอน แต่ปัจจุบันเรามีทั้งพ่อบ้านวอลเตอร์ แม่บ้านทาเนญ่า และคนรับใช้อีกมาก ลำพังประสบการณ์ของพวกเขาย่อมเพียงพอต่อการรับมือกับปัญหา…

โดยไม่กล่าวเพิ่มเติม ไคลน์ปิดประตูและลงกลอน กลับไปยังเก้าอี้เอนหลัง ถอยหลังสี่ก้าวและส่งตัวเองเข้าสู่ห้วงมิติเหนือสายหมอก

ชายหนุ่มนั่งลงบนเก้าอี้ของเดอะฟูล เสกหุ่นกระบอกจันทราที่ไหม้เกรียมให้ลอยกลางอากาศ ตกลงบนโต๊ะด้านหน้า

หลังจากตรวจสอบทุกซอกมุมซ้ำหลายหน ไคลน์ไม่พบความผิดปรกติใด จึงเสกปากกาและกระดาษ เขียนประโยคทำนาย

“ที่มาของสิ่งนี้”

วางปากกาลง ไคลน์รอสองสามวินาทีก่อนจะใช้มือจับกระดาษ เอนหลังพิงพนักเก้าอี้

น่าแปลก… สัมผัสวิญญาณไม่พยายามยับยั้งเราจากการทำนาย แปลว่าอันตรายเบื้องหลังหุ่นกระบอกจันทรา ไม่ร้ายแรงเท่าตะกอนพลังของโรงเรียนกุหลาบ… ไคลน์พึมพำ ท่องประโยคทำนายเสียงต่ำ

ท่ามกลางโลกสีเทา ชายหนุ่มเห็นแท่นบูชาที่มีคบเพลิงรายล้อมเป็นวงกลม

แท่นบูชาถูกปกคลุมด้วยสิ่งที่ดูคล้ายกับหนังมนุษย์ คราบเลือดกระจัดกระจาย กึ่งกลางมีเทียนไขสามเล่มและหุ่นกระบอกเรียวเล็กจำนวนหนึ่ง

หุ่นกระบอกเล็กๆ เหล่านี้มีดวงตาโค้งลง มุมปากตกทั้งสองข้าง คล้ายกับจันทร์เสี้ยวบนท้องฟ้า

นอกจากรอยยิ้มประหลาด ตามลำตัวยังฝังด้วยหญ้าแห้งและดอกไม้เหี่ยว

นักบวชในชุดคลุมสีแดงเข้มเดินวนรอบแท่นบูชาแข็งขัน คล้ายกับกำลังเต้นระบำที่คิดค้นโดยผู้ป่วยโรคลมชัก

ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ แสงจันทร์เริ่มรวมตัวกันและส่องลงมายังหุ่นกระบอกไม้ จนกระทั่งผิวไม้เกิดคลื่นกระเพื่อม

พิธีกรรมจบลงอย่างรวดเร็ว นักบวชหยิบหุ่นตัวเล็ก เดินไปหามนุษย์ซึ่งถูกมัดไว้กับราวด้านข้าง เสียบหุ่นเข้าไปในเบ้าตาของเหยื่อ

ท่ามกลางเสียงกรีดร้องอันน่าเวทนา ฉากแปรเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว คนตายซึ่งมีหุ่นกระบอกจันทราเสียบอยู่ในเบ้าตา ทยอยถูกฝังรวมกันไว้ในสถานที่หนึ่ง

ภาพตัดอีกหลายครั้ง เมื่อใดก็ตามที่เกิดปรากฏการณ์พระจันทร์เต็มดวงหรือจันทราโลหิต แสงสว่างจะส่องไปทางสุสาน ค่อยๆ แทรกซึมเข้าไปในดินราวกับสายน้ำอ่อนโยน ส่งผลให้สภาพแวดล้อมโดยรอบมืดลงถนัดตา

ไคลน์ลืมตาขึ้น ปรับเปลี่ยนท่านั่ง เข้าใจที่มาของหุ่นกระบอกจันทราอย่างคร่าวๆ

สิ่งนี้มีต้นกำเนิดจากพิธีกรรมสวดวิงวอนถึง ‘ดวงจันทร์บรรพกาล’ แถมยังทำติดต่อกันมานานนับร้อยปี!

กว่าร้อยปีที่ผ่านมา หุ่นกระบอกดูดซับพลังจากดวงจันทร์สีแดง ค่อยๆ กลายพันธุ์ทีละนิด จนกระทั่งนักล่าอาณานิคมไปพบเข้า

ภายนอก พวกมันดูเหมือนหุ่นกระบอกทั่วไป มีเพียงสาวกของดวงจันทร์บรรพกาลเท่านั้นที่สามารถเปิดใช้งานได้ด้วยขั้นตอนพิเศษ แต่จะเกิดอะไรขึ้นบ้างนั้น ไคลน์ยังไม่มีข้อมูล

ในทางทฤษฎี หุ่นกระบอกเหล่านี้คือเป้าหมายการ ‘อวยพร’ จากดวงจันทร์บรรพกาล… หลังจากถูกเราผ่าตายไปเมื่อคืน เทพมารตนดังกล่าวจึงโมโห ส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์จันทราโลหิตกะทันหัน? ไคลน์เคาะนิ้วลงบนขอบโต๊ะทองแดงยาวที่มีร่องรอยความเก่าแก่ ครุ่นคิดหาข้อสันนิษฐานเบื้องต้น

หมายความว่า… ในยามที่ดวงจันทร์บรรพกาลพิโรธ รูปลักษณ์ของดวงจันทร์จะเปลี่ยนไป กลายเป็นพระจันทร์สีเลือด? หากสมมติฐานนี้เป็นจริง เราสามารถตีความได้ว่า ในขอบเขตอำนาจของ ‘จันทร์แดง’ เทพธิดารัตติกาลยังเป็นรองดวงจันทร์บรรพกาล… นั่นสินะ การที่พระองค์มีสมญานามเกี่ยวกับดวงจันทร์ อาจเป็นเพราะกำลังครองสมบัติปิดผนึกระดับ 0 บางชนิด… ไคลน์พยักหน้ารับ ลองทำนายถามถึงจุดอ่อนของหุ่นกระบอกตุ๊กตา

ในครั้งนี้ ชายหนุ่มมองเห็นดวงอาทิตย์ มองเห็นฟ้าผ่า

กล่าวอีกนัยหนึ่ง ผู้วิเศษเส้นทาง ‘สุริยัน’ และ ‘วายุสลาตัน’ สามารถจัดการมันได้ง่าย… ไคลน์ตีความสัญลักษณ์ที่ได้รับ พลางโยนหุ่นกระบอกจันทรากลับเข้าไปในกองขยะ ส่งตัวเองกลับสู่โลกความจริง

ผ่านไปราวหนึ่งชั่วโมง วอลเตอร์ที่สวมถุงมือสีขาวเดินมาเคาะประตู เปิดเข้ามาและซักถาม

“นายท่าน ผมจะเริ่มพิมพ์นามบัตรของท่านเพื่อแจกจ่ายไปยังเพื่อนบ้านละแวกใกล้เคียงพร้อมกับของขวัญเล็กๆ น้อยๆ … พวกเขาจะเฝ้าสังเกตนายท่านประมาณสองถึงสามวัน ยืนยันสถานการณ์ให้แน่ใจ หากใครยินดีต้อนรับ ทางนั้นจะส่งของขวัญกลับมาและเชิญนายท่านไปเป็นแขก… นายท่านอยากให้เพิ่มสมญานามใดลงไปเป็นพิเศษหรือไม่”

สมญานาม… เดอะฟูลจากต่างยุคสมัย? ไคลน์รำพันติดตลก ตอบด้วยรอยยิ้ม

“ดอน·ดันเตส นักธุรกิจจากอ่าวเดซีย์ แค่นี้ก็พอ”

วอลเตอร์พยักหน้า

“ตามที่นายท่านรับสั่ง ผมได้จัดบทเรียนทางด้านมารยาทให้สอดคล้องกับสภาพสังคม อันดับแรกต้องเริ่มจากการเต้นรำ ตอนนี้ทำการจ้างครูฝึกสอนมืออาชีพเรียบร้อยแล้ว”

……………………………………………………..

Lord of the Mysteries

Lord of the Mysteries

ป็นเรื่องราวการข้ามโลกของหนุ่มชาวจีนนามว่า โจวหมิงรุ่ย โลกใบที่ชายคนนี้ต้องเผชิญมีลักษณะคล้ายคลึงกับยุควิกตอเรียของยุโรป ยุคสมัยแห่งจักรกลไอน้ำเฟื่องฟู สุภาพบุรุษขุนนางเดินขวักไขว่ด้วยสูทและเสื้อกั๊กมาดเท่ แน่นอน เป็นโลกที่มีพลังพิเศษ ผู้วิเศษ และ สัตว์วิเศษ แต่พลังของมนุษย์บนโลกจะไม่เหมือนกับนิยายเรื่องใด ไม่มีจอมยุทธ์ ไม่มีการบังเอิญพบคำภีลับและได้ครอบครองยอดเคล็ดวิชา ไม่ได้เกิดใหม่พร้อมกับพลังสุดโกง ไม่เลย ไม่น่าเบื่อและจืดชืดขนาดนั้น ในอดีตกาล เผ่าพันธุ์มนุษย์อันต่ำต้อยมิอาจต่อสู้กับเหล่าสัตว์วิเศษในตำนานไหว หนึ่งในหนทางครอบครอง ‘พลังพิเศษ’ ก็คือการดื่ม ‘โอสถ’ หลังจากมนุษย์ดื่มโอสถและกลายเป็น ‘ผู้วิเศษ’ พวกเขาจะข้ามขีดจำกัดเดิมตามแต่ชนิดโอสถที่ดื่ม ผู้วิเศษในโลกแบ่งออกเป็น 9 ลำดับ โดยลำดับ 9 จะอ่อนแอที่สุด หนทางอัพเกรดลำดับก็แสนพิลึก ไม่ใช่การพัฒนาพลังเหมือนนิยายเรื่องใด แต่เป็นการดื่ม ‘โอสถ’ ที่ ‘ถูกต้อง’ ตามสูตรของลำดับถัดไป พลังพิเศษไม่สามารถข้ามสายได้ โอสถแต่ละชนิดจะมีสูตรการปรุงที่แตกต่าง แถมการฝึกฝนพลังของผู้วิเศษก็ยังพิสดารเหนือคำบรรยาย เรื่องราวจะยิ่งเข้มข้นขึ้นเมื่อตัวเอกเริ่มทราบว่า อดีตมหาจักรพรรดิของโลกเมื่อร้อยปีก่อนเป็น ‘ผู้เดินทางข้ามโลก’ เหมือนกับเขา แถมยัง… เหลือทิ้งไดอารี่สุดสำคัญไว้ให้ชนรุ่นหลัง แต่ไดอารีถูกเขียนด้วยภาษาจีนที่ไม่มีใครอ่านออกแม้แต่คนเดียว… ยกเว้นโจวหมิงรุ่ย With the rising tide of steam power and machinery, who can come close to being a Beyonder? Shrouded in the fog of history and darkness, who or what is the lurking evil that murmurs into our ears? Waking up to be faced with a string of mysteries, Zhou Mingrui finds himself reincarnated as Klein Moretti in an alternate Victorian era world where he sees a world filled with machinery, cannons, dreadnoughts, airships, difference machines, as well as Potions, Divination, Hexes, Tarot Cards, Sealed Artifacts… The Light continues to shine but mystery has never gone far. Follow Klein as he finds himself entangled with the Churches of the world—both orthodox and unorthodox—while he slowly develops newfound powers thanks to the Beyonder potions. Like the corresponding tarot card, The Fool, which is numbered 0—a number of unlimited potential—this is the legend of “The Fool”.

Comment

Options

not work with dark mode
Reset