Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ – ราชันเร้นลับ 738 : ชีวิตเศรษฐี

ราชันเร้นลับ 738 : ชีวิตเศรษฐี

“รอสักครู่นะคะ… คุณจะรับกาแฟหรือชาดำดี?” เบลินถามอย่างกระตือรือร้น

ไคลน์ตอบพลางยิ้ม

“เมื่อตอนเด็ก ผมชอบกาแฟมากกว่า ชอบกลิ่นหอมเข้มๆ … แต่ตอนนี้ผมเพลิดเพลินไปกับรสของชาดำมากกว่า”

“ฉันเองก็ชอบชาดำ ถ้าอย่างนั้น… รับชาดำมาร์ควิสไหมคะ?” เบลินแนะนำด้วยรอยยิ้ม

ตามปรกติแล้ว กาแฟและชาดำที่ให้บริการโดย ‘สำนักงานจัดหาคนรับใช้ครัวเรือนแห่งมหานคร’ จะมีคุณภาพอยู่ในระดับล่างถึงปานกลาง แต่เบลินนำชาดำมาร์ควิสของตัวเองมาจากบ้าน

ไคลน์ไม่ใช่คนโง่ แถมยังมีความช่างสังเกตเป็นพื้นฐาน หลังจากเดินเข้าประตูสำนักงาน ชายหนุ่มแอบเก็บรายละเอียดสภาพแวดล้อมโดยไม่ให้ใครเห็น พบว่ากระป๋องบรรจุกาแฟและชาดำดูธรรมดามาก ค่อนข้างมั่นใจว่าผลิตภัณฑ์ด้านในคงไม่ได้เลิศเลอนัก ดังนั้น ไคลน์มองว่าชาดำมาร์ควิสอาจใช้เฉพาะในกรณีต้อนรับแขกพิเศษ หรือไม่ก็เป็นสมบัติส่วนตัวของหญิงสาวตรงหน้า แต่ไม่ว่าจะอย่างไหน ชายหนุ่มพอจะคาดเดาความคิดของอีกฝ่ายได้

โดยไม่ปิดบัง ไคลน์ยิ้มและพูด

“ขอบคุณมากครับ ผมคงปฏิเสธข้อเสนอนี้ไม่ลง… จะให้ผมเรียกคุณว่าอย่างไรดีครับ คุณผู้หญิง?”

“เบลิน เรียกแค่เบลินก็พอค่ะ” เบลินกล่าวด้วยรอยยิ้มอันเบ่งบานประหนึ่งบุปผา

หญิงสาวเร่งฝีเท้าเดินเข้าไปในห้อง บอกให้เพื่อนร่วมงานที่รับผิดชอบด้านข้อมูล ค้นหาบุคคลที่เหมาะสม จากนั้นก็เดินกลับออกมายังแผนกต้อนรับ หยิบกระป๋องกาแฟดีบุก ชงชาดำอย่างชำนาญ

เฮ่อ… ขอเพียงมีใบหน้าอันหล่อเหลา มาดสุขุม และการแต่งกายที่ภูมิฐาน ถึงจะอยู่ในวัยกลางคนก็ยังได้รับความสนใจจากสาวสวยสินะ… ไคลน์ที่เพิ่งเคยสัมผัสประสบการณ์แปลกใหม่ อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ

สิ่งนี้ทำให้ชายหนุ่มตระหนักถึงความสำคัญของกฎเหล็กของผู้ไร้หน้าซึ่งระบุว่า ‘จะเป็นใครก็ได้ แต่อย่าลืมว่าเป็นตัวเอง’

หากไม่เคยทราบกฎนี้มาก่อน มัวหมกมุ่นอยู่กับรูปลักษณ์จอมปลอม คนเราจะไม่อยากเปลี่ยนไปเป็นใบหน้าอื่น จนกระทั่งค่อยๆ หลงลืมตัวเองในอดีต!

โดยไม่ต้องรอนาน เบลินกลับมาพร้อมถ้วยกระเบื้องเคลือบสีขาวเลี่ยมทอง วางลงตรงหน้ามิสเตอร์ดอน·ดันเตส กล่าวพลางยิ้มอ่อน

“ทิ้งไว้สักพักก่อนนะคะ”

ไคลน์ก้มมองถ้วย กล่าวติดตลก

“เยี่ยมเลยครับ… ผมจะได้มีเวลาปรับอารมณ์ตัวเอง เพื่อให้สามารถลิ้มรสชาถ้วยนี้ได้อย่างลึกซึ้ง”

คำชมเชยและคำขอบคุณทางอ้อมของชายหนุ่มทำให้เบลินรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก เกิดเป็นภาพจำที่ว่า มิสเตอร์ดันเตสคือสุภาพบุรุษตัวจริงเสียงจริง แถมยังปากหวาน

เขาต้องไม่ใช่ผู้ศรัทธาของเทพวายุสลาตันแน่… เบลินสางเส้นผมสีน้ำตาลยาวที่หยักศกตอนปลาย เดินกลับเข้าไปข้างในอย่างกระฉับกระเฉง กระตุ้นให้เพื่อนร่วมงานเร่งมือ

ผ่านไปไม่นาน เธอนำเอกสารติดตัวออกมาหนึ่งปึก นั่งลงบนโซฟาเดี่ยวข้างๆ ชายหนุ่มและกล่าว

“หลังจากคัดกรอง นี่คือพ่อบ้านที่เข้าข่ายจำนวนสามคน ดิฉันจะช่วยแนะนำตัวพวกเขาให้ก่อน… คนแรกคือมิสเตอร์แอสเนีย อายุห้าสิบห้าปี เคยรับใช้ไวเคาต์ยอร์กวีลล์ แต่ในเวลาต่อมา เนื่องจากการลงทุนในธุรกิจสำรวจแร่ของไวเคาต์ประสบความล้มเหลว เกิดวิกฤติการเงินภายในตระกูล ต้องขายที่ดินและไล่คนรับใช้ออกเป็นจำนวนมาก เขาก็เป็นหนึ่งในนั้น… ตลอดช่วงสิบปีหลัง มิสเตอร์แอสเนียได้รับการว่าจ้างจากเศรษฐีสองราย มีผลงานโดดเด่นด้านการบริหารจัดการครอบครัว”

ขณะเล่า ดวงตาสีน้ำตาลของเบลินกำลังสดใส ดูคล้ายดวงดาวสองดวง แผ่เสน่ห์อันร่าเริงราวกับเด็กสาวในวัยเยาว์

ไคลน์พยักหน้ารับ

“แล้วทำไมเศรษฐีทั้งสองถึกเลิกจ้างเขา”

เบลินยิ้ม

“เศรษฐีคนแรกตัดสินใจลงทุนเป็นจำนวนมากในไบลัมตะวันออก ถึงขั้นย้ายครอบครัวไปอยู่ที่นั่นกันหมด มิสเตอร์แอสเนียไม่อยากไปจากเบ็คลันด์ จึงขอลาออกด้วยตัวเอง ส่วนเศรษฐีคนที่สองมีสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรงเพราะโรคประจำตัว จึงมอบธุรกิจให้บุตรชายสานต่อ โดยบุตรชายก็มีพ่อบ้านที่ไว้ใจมากกว่าอยู่แล้ว… มิสเตอร์แอสเนียนับถือเทพธิดารัตติกาล ทัศนคติด้านการเมืองเอนเอียงไปทางพรรคอนุรักษนิยม ค่าจ้างรายปีที่ต้องการคือหนึ่งร้อยสามสิบปอนด์”

“ขอให้เทพธิดาอวยพรเขา” ไคลน์ทำสัญลักษณ์สี่จุดบนหน้าอก วาดดวงจันทร์สีแดง

ดวงตาของเบลินลุกวาวเล็กน้อย ก่อนจะถาม

“มิสเตอร์ดันเตส คุณเองก็เป็นผู้ศรัทธาในเทพธิดาเหมือนกันหรือคะ”

“แน่นอนครับ” ไคลน์ยิ้มพลางพยักหน้า ไม่อธิบายเพิ่มเติม

สมแล้วที่มีบุคลิกอ่อนโยน! เบลินชื่นชมในใจ เล่าต่อ

“มิสเตอร์รีบัค อายุสี่สิบแปดปี เคยรับใต้ตระกูลนีแกน ทำงานเป็นรองพ่อบ้านมาอย่างยาวนาน รวมถึงผู้ช่วยพ่อบ้าน แต่ในภายหลังถูกโยกย้ายไปเป็นพ่อบ้านของบารอนซินดราส… ไม่นานหลังจากดยุคนีแกนถูกลอบสังหาร สัญญาของมิสเตอร์รีบัคหมดลงและบารอนซินดราสไม่ตัดสินใจขยายออกไป เขาจึงมาลงทะเบียนกับทางเรา… มิสเตอร์รีบัคเชื่อในเทพวายุสลาตันอย่างผิวเผิน ไม่มีปัญหาด้านอุปนิสัยส่วนตัว ทัศนคติทางการเมืองเอนเอียงไปทางพรรคอนุรักษนิยม ค่าจ้างรายปีที่ต้องการคือหนึ่งร้อยยี่สิบปอนด์”

ไคลน์ฟังอย่างเงียบงัน พยักหน้ารับเป็นครั้งคราว ไม่ขัดจังหวะเบลิน

เบลินพลิกหน้ากระดาษสองสามครั้ง

“คนที่สาม มิสเตอร์วอลเตอร์ อายุสี่สิบสองปี เคยทำงานเป็นคนดูแลคฤหาสน์และผู้ช่วยพ่อบ้านให้กับไวเคาต์คอนราด แต่ด้วยสาเหตุบางอย่าง เขาเกิดความขัดแย้งกับพ่อบ้าน จึงตัดสินใจลาออก ค่าจ้างรายปีที่ต้องการคือหนึ่งร้อยสิบห้าปอนด์… เขาศรัทธาเทพธิดารัตติกาล ทัศนคติทางการเมืองเอนเอียงไปทางพรรคหัวก้าวหน้า”

นายกเทศมนตรีคนใหม่ของเกาะโอลาวีก็มาจากตระกูลคอนราด ครอบครัวนี้สาบานว่าจะจงรักภักดีต่อราชวงศ์… ไคลน์หวนนึกถึงข้อมูลที่สอดคล้อง

เสร็จการแนะนำตัว เบลินยื่นปึกเอกสารให้

“มิสเตอร์ดันเตส คุณจะเลือกใครหรือคะ”

ไคลน์ครุ่นคิดสักพัก กล่าวพลางยิ้ม

“เอาแบบนี้เป็นไง… เก้าโมงเช้าวันพรุ่งนี้ ให้ทั้งสามคนมาแวะมายังที่พักของผม หลังจากได้พบปะพูดคุยกัน ค่อยตัดสินใจขั้นสุดท้าย”

ชายหนุ่มรู้ดีว่าสำนักงานทำนองนี้ไม่ได้ให้บริการที่พักกับพ่อบ้าน เป็นเพียงหน่วยงานคนกลาง ถึงตนจะเลือกใครไป แต่กว่าจะได้เจอกันก็ต้องรอถึงบ่ายวันพรุ่งนี้ ด้วยเหตุผลดังกล่าว ไคลน์จึงอยากจัดสัมภาษณ์เล็กๆ เพื่อตรวจสอบว่าใครเหมาะสมกับตน

“ตกลงค่ะ” เบลินยิ้มอ่อน “คุณพักอยู่ที่ไหนคะ?”

ไคลน์จิบชาดำ หยิบกระดาษและปากกาบนโต๊ะ เขียนที่ตั้งและชื่อของโรงแรมปัจจุบัน

“คุณ… เพิ่งย้ายมาอยู่เบ็คลันด์หรือคะ?” หลังจากได้อ่าน เบลินโพล่งคำถาม

เธอเพิ่งรู้ตัวเมื่อสาย มิสเตอร์ดันเตสมีผิวคล้ำกว่าปรกติเล็กน้อย คล้ายกับตากแดดมาเป็นเวลานาน ผิวพรรณหยาบกร้านนิดๆ

จริงด้วย… เขาไม่ได้พูดสำเนียงเบ็คลันด์… เบลินค่อยๆ พบรายละเอียด

ไคลน์ยิ้ม

“ผมมาจากอ่าวเดซีย์ กำลังรอให้พ่อบ้านมาช่วยเลือกที่พักและทีมคนรับใช้ที่เหมาะสม”

หลังจากจ่ายเงินมัดจำสามปอนด์ ชายหนุ่มจิบชาอีกครั้งอย่างสุภาพ ลุกขึ้นพร้อมกับกล่าวคำอำลา

เบลินมาส่งที่ประตู ยืนมองอีกฝ่ายขึ้นรถม้า

มิสเตอร์ดันเตสน่าจะเป็นเศรษฐี… เมื่อผนวกเข้ากับนิสัยใจคอ ลักษณะการแต่งกาย และมาดของสุภาพบุรุษ ทุกสิ่งทำให้ยิ่งดูน่าสนใจ… เบลินยืนอยู่กับที่ ครุ่นคิดเรื่อยเปื่อย

บนรถม้า ไคลน์หลับตาลงครึ่งหนึ่ง เอนตัวพิงพนัก อดไม่ได้ที่จะคำนวณค่าใช้จ่ายในอนาคต

ค่าจ้างพ่อบ้านตกปีละหนึ่งร้อยยี่สิบปอนด์… บุรุษรับใช้กลางๆ หนึ่งคน ตกราวสามสิบห้าปอนด์… พ่อครัวสามสิบปอนด์ คนสวนยี่สิบห้าปอนด์ คนขับรถม้ายี่สิบห้าปอนด์ พยาบาลประจำบ้านยี่สิบปอนด์ แม่บ้านทั่วไปสามคน สิบห้าปอนด์ สาวใช้ทั่วไปสามคน สิบปอนด์… เบ็ดเสร็จ ลำพังค่าแรงคนรับใช้อย่างเดียวก็ตกปีละสามร้อยสามสิบปอนด์ เทียบเท่าหกปอนด์กับอีกเจ็ดซูลต่อสัปดาห์ มากกว่ารายได้ของเราสมัยยังอยู่ทิงเก็น…

นอกจากนั้น เราต้องมีรถม้า ราคาน่าจะตกราวหนึ่งร้อยปอนด์… ต้องการบ้านที่มีสวน ค่าเช่ารายสัปดาห์อีกเกือบสองปอนด์ เมื่อรวมกับค่าอาหาร เสื้อผ้า ถ่านฟืน และค่าจิปาถะสำหรับคนรับใช้ ค่าใช้จ่ายโดยรวมจะถือว่าสูงมาก…

วิถีชีวิตของคนรวยสินะ…

ไคลน์เริ่มนึกเสียใจที่ตนเลือกปลอมตัวเป็นบทบาทนี้

ชายหนุ่มหายใจออก สลัดความกังวลไว้เบื้องหลัง นั่งรถมาไปยังถนนเฟลป์ที่อยู่ในเขตเหนือ

ที่นั่นมีวิหารสีดำบริสุทธิ์ เหนือวิหารเป็นหอระฆังฝั่งละหอ นำเสนอความงดงามแบบสมมาตร – เป็นอื่นไปไม่ได้นอกจากสำนักงานใหญ่ของโบสถ์เทพธิดารัตติกาลประจำมุขมณฑลเบ็คลันด์ มหาวิหารนักบุญแซมมวล

ไคลน์ขยับผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าเสื้อฝั่งซ้าย ถือไม้ค้ำเลี่ยมทองย่างกรายเข้าไปในวิหาร ผ่านทางเดินอันเงียบสงบ และท่ามกลางแสงแดดที่สองผ่านกระจกหลากสีด้านบน ไคลน์เดินเข้ามาถึงโถงสวดมนต์หลัก

ภายในนี้มืดมาก มอบความรู้สึกสุขสงบแก่ผู้คน ไคลน์เลือกที่นั่งแบบสุ่ม วางพิงไม้ค้ำ ถอดหมวก หลับตาสวดวิงวอนอย่างตั้งใจ

เมื่อเวลาล่วงเลย ชายหนุ่มลุกขึ้นอย่างไม่รีบร้อนหลังจากฟังเทศนาจบ เดินไปยังแท่นบูชา ทำความเคารพบิชอปผมสั้นสีดำ ก่อนจะเดินไปยังกล่องบริจาคที่ตั้งอยู่ด้านข้าง

หายใจเข้าออกแผ่วเบา ไคลน์หยิบธนบัตรสิบปอนด์ออกมาสองใบ ธนบัตรห้าปอนด์หกใบ หย่อนใส่ทีละใบ

เมื่อเห็นฉากดังกล่าว ดวงตาของบิชอปผมสั้นพลันอ่อนโยน

ตามปรกติแล้ว หากไม่ใช่การเรี่ยไรเงินหรือการบริจาคหลังความตาย กล่องรับบริจาคแทบไม่เคยได้เงินเกินกว่าคราวละสิบปอนด์

นั่นหมายความว่า ชายคนนี้เป็นเศรษฐี! เป็นคนร่ำรวย!

……………………………………………………..

Lord of the Mysteries

Lord of the Mysteries

ป็นเรื่องราวการข้ามโลกของหนุ่มชาวจีนนามว่า โจวหมิงรุ่ย โลกใบที่ชายคนนี้ต้องเผชิญมีลักษณะคล้ายคลึงกับยุควิกตอเรียของยุโรป ยุคสมัยแห่งจักรกลไอน้ำเฟื่องฟู สุภาพบุรุษขุนนางเดินขวักไขว่ด้วยสูทและเสื้อกั๊กมาดเท่ แน่นอน เป็นโลกที่มีพลังพิเศษ ผู้วิเศษ และ สัตว์วิเศษ แต่พลังของมนุษย์บนโลกจะไม่เหมือนกับนิยายเรื่องใด ไม่มีจอมยุทธ์ ไม่มีการบังเอิญพบคำภีลับและได้ครอบครองยอดเคล็ดวิชา ไม่ได้เกิดใหม่พร้อมกับพลังสุดโกง ไม่เลย ไม่น่าเบื่อและจืดชืดขนาดนั้น ในอดีตกาล เผ่าพันธุ์มนุษย์อันต่ำต้อยมิอาจต่อสู้กับเหล่าสัตว์วิเศษในตำนานไหว หนึ่งในหนทางครอบครอง ‘พลังพิเศษ’ ก็คือการดื่ม ‘โอสถ’ หลังจากมนุษย์ดื่มโอสถและกลายเป็น ‘ผู้วิเศษ’ พวกเขาจะข้ามขีดจำกัดเดิมตามแต่ชนิดโอสถที่ดื่ม ผู้วิเศษในโลกแบ่งออกเป็น 9 ลำดับ โดยลำดับ 9 จะอ่อนแอที่สุด หนทางอัพเกรดลำดับก็แสนพิลึก ไม่ใช่การพัฒนาพลังเหมือนนิยายเรื่องใด แต่เป็นการดื่ม ‘โอสถ’ ที่ ‘ถูกต้อง’ ตามสูตรของลำดับถัดไป พลังพิเศษไม่สามารถข้ามสายได้ โอสถแต่ละชนิดจะมีสูตรการปรุงที่แตกต่าง แถมการฝึกฝนพลังของผู้วิเศษก็ยังพิสดารเหนือคำบรรยาย เรื่องราวจะยิ่งเข้มข้นขึ้นเมื่อตัวเอกเริ่มทราบว่า อดีตมหาจักรพรรดิของโลกเมื่อร้อยปีก่อนเป็น ‘ผู้เดินทางข้ามโลก’ เหมือนกับเขา แถมยัง… เหลือทิ้งไดอารี่สุดสำคัญไว้ให้ชนรุ่นหลัง แต่ไดอารีถูกเขียนด้วยภาษาจีนที่ไม่มีใครอ่านออกแม้แต่คนเดียว… ยกเว้นโจวหมิงรุ่ย With the rising tide of steam power and machinery, who can come close to being a Beyonder? Shrouded in the fog of history and darkness, who or what is the lurking evil that murmurs into our ears? Waking up to be faced with a string of mysteries, Zhou Mingrui finds himself reincarnated as Klein Moretti in an alternate Victorian era world where he sees a world filled with machinery, cannons, dreadnoughts, airships, difference machines, as well as Potions, Divination, Hexes, Tarot Cards, Sealed Artifacts… The Light continues to shine but mystery has never gone far. Follow Klein as he finds himself entangled with the Churches of the world—both orthodox and unorthodox—while he slowly develops newfound powers thanks to the Beyonder potions. Like the corresponding tarot card, The Fool, which is numbered 0—a number of unlimited potential—this is the legend of “The Fool”.

Comment

Options

not work with dark mode
Reset