ท่ามกลางสายหมอกสีเทาไร้ขอบเขต วังโบราณกำลังมีไฟลุกท่วมทุกคนแห่ง
เปลวไฟที่ลุกโชติช่วงรวมตัวกันเป็นกลุ่มใหญ่ ราวกับว่าดวงอาทิตย์ที่สว่างไสวและเจิดจ้าได้ปรากฏตัวภายในมิติลึกลับแห่งนี้
พายุเฮอร์ริเคนพัดผ่านโต๊ะทองแดงยาวลวดลายโบราณ หักโค่นเสาหินหนาและทำให้วังหรูหราถล่มลงมากว่าครึ่งหนึ่ง
ในตำแหน่งเดอะฟูล สมองไคลน์กำลังเดือดพล่าน ก่อนที่เกิดรูจำนวนมากพร้อมกับระเบิดออก หนอนแมลงที่ไหม้เกรียมเริ่มคลานออกจากรอยแตกของผิว
มันยังไม่ตาย และยังสามารถเหยียดแขนขวาออกมาอย่างใจเย็น เคาะกับที่พักแขนของเก้าอี้
เหนือมิติสายหมอก พื้นที่ลึกลับแห่งนี้กำลังสั่นสะเทือนหนักหน่วง คลื่นพลังงานพรั่งพรูออกมาหลายระลอก ช่วยดับไฟพร้อมกับทำให้พายุเฮอร์ริเคนสงบลง คล้ายกับดวงอาทิตย์ที่กำลังแผดเผาค่อยๆ สลายตัวไปทีละนิด
เสาหินต้นหนากลับมาตั้งเด่นตระหง่านอีกครั้ง โต๊ะทองแดงยาวฟื้นฟูกลับสู่สภาพปรกติ วังโบราณที่สง่างามและศักดิ์สิทธิ์ กลับมาอยู่ในสภาพสมบูรณ์ราวกับไม่เคยพังทลายหรือเสียหาย
ศีรษะของไคลน์เองก็สมานกลับเป็นปรกติในพริบตา หนอนแมลงไหม้เกรียมที่เคยคลานออกไป เปลี่ยนกลับไปเป็นสีใสและคลานกลับเข้าไปในหัว
อย่างที่คิด ทรงพลังยิ่งกว่า ‘มังกรจินตภาพ’ แอนเคอร์เวล… ไคลน์พึมพำกับตัวเองด้วยสีหน้าบิดเบี้ยวอย่างมิอาจควบคุม อดไม่ได้ที่จะเลื่อนมือขึ้นมาลูบหน้าผาก “เจ็บชะมัด… รุนแรงกว่าอย่างเห็นได้ชัด…”
ขณะพึมพำ มันเคาะขอบโต๊ะทองแดงยาว สร้างแรงสั่นสะเทือนบนมิติเหนือสายหมอกอีกครั้ง
ท่ามกลางเสียงดังสนั่น เงาสีดำสนิทผุดขึ้นจากพื้นวัง
เงาดังกล่าวพลันบิดเบี้ยว พยายามดิ้นรนสักพักก่อนจะถูกพลังของมิติหมอกขจัดออกไป ปราศจากมลพิษตกค้างภายใน
หลังจากผ่านไปเกือบหนึ่งนาที ไคลน์ใจเย็นลงและนึกทบทวนฉากที่ตนเห็น
ชายคนนั้นน่าจะเป็นเทพสุริยันบรรพกาล พระผู้สร้างแห่งเมืองเงินพิสุทธิ์ บิดาของอาดัมและอามุนด์…
พิจารณาจากไม้กางเขนที่สวม และจากข้อความ ‘จงสว่าง’ มีโอกาสสูงมากที่ชายคนนี้จะเป็นนักเดินทางข้ามโลกคนแรก… น่าจะเป็นคนยุโรปหรือไม่ก็ทางอเมริกา… อาจเป็นคนของศาสนา…
ท่านใช้ภาษาที่สามารถกระตุ้นพลังธรรมชาติ ฟังดูคล้ายกับภาษาคนยักษ์ แต่ยังมีจุดที่แตกต่าง… ไม่ใช่ภาษาเอลฟ์ มังกร และเฮอร์มิสโบราณแน่นอน… อา… มันฟังดูคล้ายกับภาษาฟุซัคของทวีปเหนือ และภาษาตูทานของทวีปใต้ ช่วยให้เราสามารถเข้าใจในสิ่งที่ท่านพูดแม้จะไม่ชำนาญภาษานั้น… เป็นภาษาที่ท่านเรียนมาจากสิ่งก่อสร้างหลังใหญ่สีเทาอ่อนนั่น?
ท่านถูกส่งมาที่นั่น และได้รับสืบทอดมรดกที่ล้ำค่า?
เหตุการณ์ที่สองเป็นฉากขณะท่านกำลังถูกทรยศและถูกกินโดยเหล่าราชาเทวทูต ประกอบด้วยเทวทูตสีขาว เทวทูตปัญญา และเทวทูตวายุ?
สำหรับเทพที่เรียกตัวเองว่าพระผู้สร้าง ความเจ็บปวดและบิดเบี้ยวระดับนั้นคงเกิดจากสิ่งใดไม่ได้นอกจากเหตุการณ์ดังกล่าว…
อา… เลือดศักดิ์สิทธิ์ของท่านที่หยดลงมาก่อนตาย ได้ผสานเข้ากับไม้กางเขนสีเงินและแปรสภาพกลายเป็นสมบัติปิดผนึกที่ค่อนข้างทรงพลังในภายหลัง…
พิจารณาจากจุดนี้ ไม้กางเขนเจิดจรัสคงตกอยู่ในมือของหนึ่งในสามราชาเทวทูตระหว่าง ‘สีขาว’ ‘ปัญญา’ และ ‘วายุ’ หรือไม่ก็ถูกมองข้ามและตกมาถึงมือของอาดัมและอามุนด์ในภายหลัง สำหรับท่านทั้งสอง นี่คือมรดกแสนล้ำค่าที่บิดาเหลือทิ้งไว้
โอกาสเป็นอย่างแรกนั้นต่ำมาก ไม้กางเขนอันนี้มีประโยชน์ที่หลากหลาย แถมต้นกำเนิดของมันยังเป็นความลับที่ต้องปกปิดให้มิดชิด ไม่มีทางถูกนำมามอบให้ตระกูลออกัสตัส… ถ้าอย่างนั้น… มันคือสิ่งที่อาดัมมอบให้ด้วยเหตุผลบางประการ? เป็น ‘แผน’ ของท่านมาตั้งแต่แรก?
แล้วทำไมถึงต้องส่งต่อไม้กางเขนเจิดจรัสมาให้มิสเมจิกเชี่ยนกับมิสจัดจ์เมนต์อย่างสมเหตุสมผล?
ท่านพบว่าสตรีทั้งสองศรัทธาเดอะฟูลหลังจากเฝ้าจับตามองมาสักพัก?
ไม้กางเขนอันนี้มีไว้สำหรับเดอะฟูลจากต่างยุคสมัย?
ท่านต้องการจะทราบว่า บิดาซึ่งมาจากต่างยุคสมัยเช่นกัน แท้จริงแล้วมาจากที่ใด? แต่ปัญหาก็คือ หลังจากส่งมอบไม้กางเขนแล้ว เขาจะถามทางไหน และรับคำตอบจากทางไหน?
พระผู้สร้างของเมืองเงินพิสุทธิ์นั้นมีระดับสูงมาก สามารถตระหนักถึงการ ‘แอบมอง’ ของเราทั้งที่ถูกกั้นแบ่งด้วยช่วงเวลาประวัติศาสตร์อันยาวนาน… สามารถมองตรงมายังมิติเหนือสายหมอกแห่งนี้… แถมอิทธิพลของท่านไม่เพียงจะสร้างความเสียหาย แต่ยังสร้างเงาชนิดพิเศษที่เกือบจะซ่อนตัวอยู่ที่สำเร็จ…
กำลังจะบอกว่า เมื่อใดก็ตามที่เทพสามารถครอบครอง ‘อำนาจ’ ในหลายขอบเขตด้วยตัวคนเดียว ระดับตัวตนของเทพตนนั้นจะพัฒนาขึ้นในเชิงคุณภาพ?
แล้วคำว่า ‘เร้นลับ’ หมายถึงสิ่งใด? หมายถึงเรา… หรือหมายถึงเจ้าของเดิมของมิติลึกลับแห่งนี้?
คำถามมากมายแล่นผ่านสมองไคลน์ ส่งผลให้มันผุดทฤษฎีขึ้นมาจำนวนหนึ่ง แต่ก็มิอาจพิสูจน์หาความจริงได้ด้วยข้อมูลปัจจุบัน
และเนื่องจากความกลัวที่มีต่ออาดัม ไคลน์เชื่อว่าวิธีที่ดีที่สุดที่จะจัดการกับไม้กางเขนเจิดจรัสซึ่งเป็นสมบัติปิดผนึกระดับพระผู้สร้างของเมืองเงินพิสุทธิ์ คือการบดขยี้ให้แหลกและรอให้กลับมารวมตัวเป็นตะกอนพลังบริสุทธิ์อีกครั้ง
คิดถึงตรงนี้ ไคลน์ปัดตกคำถามอื่นในใจและเสกปากกากับกระดาษแผ่นใหม่ขึ้นมาจดบันทึก ‘ความรู้’ ที่ได้จากการมองพระผู้สร้างแห่งเมืองเงินพิสุทธิ์ตรงๆ
“ลำดับ 4: ผู้เจิดจรัส”
“วัตถุดิบหลัก: เลือดสุริยันหนึ่งหยด หรือขนหางสามเส้นของ ‘วิหคเทพสุริยัน’ และ ‘ศิลาเจิดจ้า’ ”
“วัตถุดิบรอง: เลือดวิหคเทพสุริยันหกสิบมิลลิลิตร น้ำศักดิ์สิทธิ์จากศิลาเจิดจ้าสามสิบมิลลิลิตร น้ำส้มมือทองคั้นเจ็ดหยด ผงหัวใจแมกม่าสิบกรัม”
“พิธีกรรม: ดึงอารมณ์ที่เข้มข้นที่สุดและไม่อยากทิ้งไปมากที่สุดของผู้ประกอบพิธีกรรม ออกจากร่างกายและดื่มโอสถ จากนั้นก็นำอารมณ์ดังกล่าวกลับเข้าไปใหม่ภายหลัง”
“ลำดับ 3: ผู้ชี้นำคุณธรรม…”
“ลำดับ 4: อัศวินมืด…”
“ลำดับ 3: นักบุญสามหน้า…”
จัดการทั้งหมดเสร็จ ไคลน์หยิบไม้กางเขนทองแดงและตรวจสอบมันด้วยสีหน้าหนักอึ้ง
จากนั้น ชายหนุ่มโยนไม้กางเขนเจิดจรัสเข้าไปในกองขยะพร้อมกับกระตุ้นพลังของมิติเหนือสายหมอกเพื่อผนึกมันไว้ ด้วยเกรงว่าครั้งถัดไปที่ขึ้นมา ตนจะเห็นกระดาษคนที่ตัดเตรียมไว้เริ่มสรรเสริญดวงอาทิตย์
…
เขตเชอร์วู้ด หน้าบ้านธรรมดาๆ หลังหนึ่ง
บุรุษไปรษณีย์ผู้กำลังขี่จักรยานรีบบีบเบรก หยุดลงที่หน้าประตู
มันจอดจักรยาน นำจดหมายออกจากกระเป๋าไปรษณีย์ที่เบาะหลัง ชำเลืองที่อยู่จัดส่ง
“เป็นที่นี่ไม่ผิดแน่… ถึงซิล…” บุรุษไปรษณีย์รีบเดินไปที่กล่องจดหมาย สอดจดหมายและขึ้นจักรยานอีกครั้งโดยไม่มัวรีรอ ถีบออกไปด้วยความเร็ว
ถัดมานั้นไม่นาน เปลวไฟสีดำพลันลุกโชนจากช่องสอดของกล่องจดหมาย
เปลวไฟเผาไหม้เงียบงัน ก่อนจะหายไปอย่างรวดเร็ว
…
เขตราชินี ภายในคฤหาสน์สุดหรูของตระกูลฮอลล์
ออเดรย์ซึ่งพาซูซี่เดินเล่นรอบๆ สวน เมื่อกลับมาถึงห้องโถง เธอพบบิดาของตน เอิร์ลฮอลล์ เดินเข้ามาจากข้างนอก ยื่นหมวกและถอดผ้าพันคอให้บุรุษรับใช้ด้านข้าง ตามด้วยขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่มีใครทราบว่ากำลังขบคิดสิ่งใด
“ท่านพ่อ เกิดอะไรขึ้นหรือคะ?” ออเดรย์ถามด้วยความเป็นห่วง
นี่เป็นเพียงการสังเกตง่ายๆ ที่เธอไม่จำเป็นต้องปิดบัง
เอิร์ลฮอลล์พยายามระงับการสีหน้าไม่ปรกติของตน อมยิ้มและกล่าว
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร… แค่คาดไม่ถึงว่าเฮอร์วิน·แรมบิสจะเป็นคนของลัทธินอกรีต”
“คนของลัทธินอกรีต?” ออเดรย์เผยสีหน้าประหลาดใจตามสมควร
เธอย่อมทราบว่าเฮอร์วิน·แรมบิสเป็นสมาชิกเบื้องบนของสมาคมแปรจิต เพียงแต่ไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆ ถึงถูกเปิดเผย
เอิร์ลฮอลล์พยักหน้าเคร่งขรึมและกล่าว:
“ใช่… เขาถูกหมายหัวโดยสามศาสนจักรใหญ่ ส่วนจะเป็นลัทธิใดนั้น พ่อเองก็ไม่ทราบ”
“…เขาถูกจับหรือยัง?” ออเดรย์หันไปถามด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น
“ยัง… ก่อนจะถูกหมายหัว เขาหายตัวไป” เอิร์ลฮอลล์ถอนหายใจ “เป็นเรื่องยากที่จะจินตนาการว่าชายคนนั้นเป็นพวกคลั่งศาสนา เขาวางตัวดี มีความรู้ เต็มไปด้วยความสมเหตุสมผลและสติปัญญา”
นั่นเป็นเพียงด้านที่เขาอยากให้พ่อเห็น… ออเดรย์รำพันในใจ จากนั้น เหมือนทุกครั้ง ก่อนอาหารเย็นจะเริ่มขึ้น เธอเข้าห้องสวดมนต์เล็กๆ ภายในบ้าน หันหน้าเข้าหาตราศักดิ์สิทธิ์ของเทพธิดารัตติกาลและสวดวิงวอน
ทว่า ข้อความที่เธอวิงวอนด้วยเสียงต่ำก็คือ:
“เดอะฟูลจากต่างยุคสมัย…”
ท่องพระนามเต็มอันศักดิ์สิทธิ์จบ ออเดรย์มอบรายงานสั้นกระชับ:
“เฮอร์วิน·แรมบิสตัวไป… เขาถูกระบุว่าเป็นสมาชิกของลัทธินอกรีต กำลังถูกหมายหัวจากสามโบสถ์ใหญ่”
กล่าวจบ ออเดรย์เตรียมสวดวิงวอนต่อเทพธิดาอย่างจริงจัง ทันใดนั้น ทุ่งสายหมอกสีเทาไร้ขอบเขตก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า
ใจกลางหมอกสีเทา ร่างอันคลุมเครือกำลังนั่งบนเก้าอี้ พยักหน้ารับเชื่องช้า:
“เราทราบแล้ว”
เมื่อสิ้นเสียงของตัวตนลึกลับ ภาพตรงหน้าออเดรย์เปลี่ยนไปกะทันหัน กลายเป็นภาพของคนผู้หนึ่งกำลังสวดวิงวอนอย่างตั้งใจ:
“เรียนมิสเตอร์ฟูลที่เคารพ… โบสถ์รัตติกาลได้รับข้อมูลจากโจนาส·โคลเกอร์ ยืนยันว่ากษัตริย์จอร์จที่สามเก็บซ่อนความลับที่ยิ่งใหญ่ และยังเป็นผู้ค้นพบโบราณสถานของจักรพรรดิโลหิตในเขตสเตอร์ริเว่นของแม่น้ำทัสซอค จากนั้นก็สมรู้ร่วมคิดกับนิกายแม่มดและสมาคมแปรจิตเพื่อค้ามนุษย์ เป็นต้นเหตุของคดีบุคคลสูญหายจำนวนมากหาย และยังเป็นต้นเหตุของโศกนาฏกรรมมหาหมอกควันในกรุงเบ็คลันด์”
“ในตอนต้น ตัวแทนของนิกายแม่มด ‘ไนติงเกลแห่งความสิ้นหวัง’ พานาเทีย แต่ในภายหลังได้ ‘นักบุญสีขาว’ คาร์เทอริน่ามาแทน ส่วนทางสมาคมแปรจิตเป็นเฮอร์วิน·แรมบิส”
“ได้โปรดเตือนมิสจัสติส ให้เธอเพิ่มความระมัดระวังในตอนที่เข้าไปพบเฮอร์วิน·แรมบิสอีกครั้ง และเตรียมขอความช่วยเหลือไว้ทุกเมื่อ”
ฝ่าบาท… ดวงตาออเดรย์เบิกกว้างเล็กน้อย อารมณ์แปรปรวนกะทันหัน ยากที่จะควบคุม
สำหรับเรื่องนี้ ข่าวคราวล่าสุดทำให้ตัวเธอที่เป็นขุนนางตกตะลึงในระดับหนึ่ง แต่ก็ถูกขยายอารมณ์ให้เข้มข้นขึ้นโดยเครื่องประดับ ‘คำลวง’ ที่สวมอยู่
แทบจะในเวลาเดียวกัน รายงานหนึ่งแล่นเข้ามาในความคิดออเดรย์ เป็นข่าวที่เธอยากจะลืม:
“…จากสถิติเบื้องต้น มีผู้เสียชีวิตคาที่ภายในหมอกมากกว่าสองหมื่นหนึ่งพันราย และโรคระบาดที่แพร่กระจายในเวลาต่อมาได้คร่าชีวิตผู้คนอีกไปเกือบสี่หมื่นราย ในนั้นมีเด็กเล็กที่บ้านมีฐานะ ชายหนุ่มและหญิงสาวที่แข็งแรง”
เรื่องราวเป็นแบบนี้เองหรือ… กษัตริย์มีแผนอะไรกันแน่? … ศาสนจักรใหญ่ทั้งสามแห่งไม่น่าจะได้รับหลักฐานเต็มๆ ที่ถูกต้อง ไม่อย่างนั้น ท่านพ่อคงไม่ทำหน้าแตกตื่นเล็กๆ เช่นนี้… โทสะของออเดรย์กำลังปะทุอย่างไม่มีคำอธิบาย ภายในใจเกิดความเศร้าเล็กๆ คล้ายกับบางสิ่งที่เคยยึดถือในอดีตถูกเหยียบย่ำอย่างไร้ความปรานี คล้ายคุณค่าบางอย่างที่ถูกสร้างขึ้นมาเป็นเวลานาน พังทลายลงอย่างเงียบงัน
หญิงสาวก้มศีรษะลงโดยไม่รู้ตัว หลับตาสนิท
ทันทีหลังจากนั้น เธอหายใจเข้า กระซิบเสียงแผ่ว:
“ขอบคุณมิสเตอร์ฟูล และได้โปรดแสดงความขอบคุณต่อมิสเตอร์เวิร์ลด้วย”
หลังจากสวดมนต์เสร็จ ออเดรย์นั่งท่ามกลางความมืดที่เงียบสงบ ไม่ขยับเขยื้อนร่างกายเป็นเวลานาน
……………………