แคว้นเดซีย์ เมืองคอนแนนท์ อาคารหมายเลข 67 ถนนฟีนิกซ์
ไคลน์สวมใบหน้ามาตรฐานของชาวโลเอ็น ก้าวขาไปข้างหน้า สั่นกระดิ่ง
ไม่ถึงหนึ่งนาที ประตูเปิดออกด้วยเสียงแอ๊ด สาวใช้ในชุดสีดำสลับขาวจ้องมองสองสามวินาที ถามด้วยความสงสัย
“สายัณห์สวัสดิ์ค่ะ มิสเตอร์ กำลังมองหาใครหรือ”
“ผมกำลังตามหามาดามเนลล์ ผมเป็นเพื่อนกับเดวีย์·เรดมอนด์บิดาของเธอ” ไคลน์ตอบสุขุม
เดวีย์·เรดมอนด์คือ ‘ฝันร้าย’ ที่ชายหนุ่มปลดปล่อยจากยุบพองหิวโหย สังกัดหน่วย ‘ถุงมือแดง’ ของเหยี่ยวราตรี ห้วงคำนึงสุดท้ายก่อนตายคือบุตรสาวของเขา เนลล์·เรดมอนด์ เดวีย์ไม่สามารถทำหน้าที่พ่อได้อย่างสมบูรณ์ นั่นทำให้เขารู้สึกผิดมากที่ทำให้เธอต้องรู้สึกเหมือนกับสูญเสียบิดาไป ทั้งที่เพิ่งเสียมารดาทั้งคน ไคลน์ให้สัญญากับเดวีย์ หากมีโอกาส จะแวะไปเที่ยวชมเมืองชายฝังอันงดงามแห่งนี้และเยี่ยมเยียนลูกสาว
หลังจากตระเวนสอบถามข้อมูลล่วงหน้า ไคลน์เริ่มเข้าใจสถานการณ์ปัจจุบันของเนลล์·เรดมอนด์ หลังจากที่เธอจบการศึกษาจากโรงเรียนสามัญ ก็เข้าทำงานกับ ‘มูลนิธิเด็กและสตรี’ ของโบสถ์เทพธิดารัตติกาลทันที รับค่าจ้างรายสัปดาห์อยู่ที่สองปอนด์ สิบซูล ค่อนข้างเป็นที่อิจฉาของเพื่อนบ้าน
นอกจากนั้น เธอยังได้รับมรดกจากบิดาที่เป็น ‘พ่อค้า’ มาจำนวนหนึ่ง ส่วนสิ่งนั้นจะเป็นอะไรและมูลค่าเท่าไร ไม่มีใครทราบ รู้เพียงว่าเนลล์ร่ำรวยกว่าชนชั้นกลางส่วนใหญ่
โดยทั่วไป สตรีที่มีพอจะมีเงินใช้สอย จะค่อนข้างระมัดระวังเรื่องการแต่งงาน พิถีพิถันกับการเลือกคู่ครอง ส่วนมากจึงแต่งงานช้ากว่าปรกติ แต่หลังจากเนลล์ทำงานได้เพียงหนึ่งปี เธอตกลงปลงใจแต่งงานกับหนุ่มข้าราชการคนหนึ่งทันที
เนื่องจากทั้งสองฝ่ายเป็นผู้เชื่อของเทพธิดารัตติกาล เนลล์จึงไม่ได้ใช้นามสกุลของสามี ยังคงมีชื่อเต็มว่าเนลล์·เรดมอนด์ดังเดิม และอาศัยอยู่ที่บ้านหมายเลข 67 ถนนฟีนิกซ์ ไม่เคยย้ายออกไปไหน
ได้ยินคำตอบไคลน์ สาวใช้บอกให้ยืนรอ ส่วนเธอรีบกลับไปยังห้องนั่งเล่นเพื่อแจ้งกับคุณนายเจ้าของบ้าน
โดยไม่ต้องคอยนาน สตรีในชุดอยู่บ้านเดินมาที่ประตู เส้นผมของเธอสีดำขลับ ดวงตาสีฟ้า ใบหน้าผอมเพรียว เค้าโครงมีเสน่ห์ ละม้ายคล้ายกับเดวีย์หลายส่วน
“สายัณห์สวัสดิ์ มิสเตอร์ ดิฉันคือเนลล์ ลูกสาวของเดวีย์·เรดมอนด์… ขอถามได้ไหมคะว่าคุณได้พบกับพ่อตอนไหน?”
ไคลน์ถอดหมวก ยิ้มและกล่าว
“รู้จักกันในทะเล…. ผ่านมาแล้วหลายปี”
เนลล์·เรดมอนด์ชำเลืองอีกฝ่ายด้วยสายตาเจือความระแวง
“คุณอาจไม่ทราบ แต่เขาเสียแล้ว”
ไคลน์ถอนหายใจ
“ผมทราบ… ผมมีโอกาสได้รู้จักเขาจากเหตุการณ์ดังกล่าว ตอนนั้นเขาสั่งเสียงไว้บางอย่าง แต่ผมเคยคิดว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญ… อย่างไรก็ตาม หลังจากผ่านมาหลายปี ยิ่งขบคิด ผมก็ยิ่งรู้สึกว่าต้องนำมาบอกคุณให้ได้”
“อย่างนั้นหรือ…” เนลล์กล่าวเสียงแผ่ว “เชิญเข้ามาก่อน คุณจะรังเกียจไหมถ้าสามีของฉันนั่งฟังด้วย?”
“แล้วแต่คุณเลย” ไคลน์ตอบสุขุม
เนลล์พยักหน้า พาไคลน์เข้าไปในห้องอ่านหนังสือ ส่วนสามีของเธอ พนักงานข้าราชการที่มีหน้าตาธรรมดาค่อนไปทางอ่อนโยน วางหนังสือพิมพ์ลงและเดินตามเข้าไป
เมื่อทั้งสองฝ่ายแยกกันนั่ง ไคลน์จ้องคู่สามีภรรยาบนโซฟาฝั่งตรงข้าม กล่าวหลังจากใคร่ครวญ
“ในอดีต มิสเตอร์เดวีย์·เรดมอนด์เคยประสบโศกนาฏกรรม… เขาต้องสูญเสียพ่อแม่ ภรรยา และพี่น้อง”
เนลล์พยักหน้าไร้อารมณ์
“ฉันรู้”
ไคลน์เว้นวรรคสักพัก กล่าวต่อ
“เขาแสร้งทำตัวเป็นพ่อค้า แต่ความจริงแล้วกำลังตามล่าฆาตกรที่ก่อเหตุ”
“ฉันรู้” เนลล์กล่าวโดยไม่โต้แย้ง
ไคลน์ชำเลือง เล่าต่อไป
“เขาทุ่มเทให้กับเรื่องนี้มาก และนึกเสียใจที่ไม่มีเวลาอยู่กับคุณมากนัก ทำให้คุณรู้สึกเหมือนเสียพ่อไปพร้อมกับแม่”
เนลล์เงียบงันสักพัก ตอบกลับ
“ฉันรู้!”
ไคลน์ชำเลืองมองหนังสือเก่ารอบตัว ถอนหายใจเงียบ
“เขากล่าวว่า ความปรารถนาสุดท้ายในชีวิตคือการได้เห็นคุณแต่งงานและมีครอบครัวภายใต้ร่มเงาของเทพธิดา ไม่ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวเหมือนเมื่อก่อน… ตอนนี้ผมคิดว่าเขาน่าจะกำลังมีความสุข”
สายตาเนลล์ค่อยๆ ขยับออกจากไคลน์ ริมฝีปากขยับขึ้นเล็กน้อย ใช้เวลาสักพักก่อนจะตอบ
“ฉันรู้”
ไคลน์โน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย ประสานมือและกล่าว
“เขาบอกว่า ตัวเขาอาจต้องตายในทะเล จึงฝากมาบอกคุณ คนร้ายทั้งหมดล้วนได้รับโทษอย่างสาสมแล้ว คุณไม่จำเป็นต้องเคียดแค้นใครอีก… ยังกล่าวด้วยว่า เขารักคุณมาก และเขาเสียใจมากจริงๆ”
เนลล์เงียบงันสองสามวินาที กะพริบตาหนึ่งครั้ง มองไปด้านข้างด้วยอารมณ์คลุมเครือ
“ฉันรู้”
ไคลน์จ้องหญิงสาวด้วยแววตาลุ่มลึก ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน
“ผมถ่ายทอดไปหมดแล้ว… ขอตัวกลับก่อน”
เนลล์ตอบสนองด้วยความเงียบ ส่วนสามีพยักหน้าเบาๆ เชิงขอบคุณ
ไคลน์หันหลังกลับ เดินไปที่ทางเข้าห้องอ่านหนังสือ แต่ขณะจับลูกบิด เสียงอันแหบพร่าของเนลล์ดังขึ้น
“คุณ… คิดว่าเขาเป็นคนแบบไหน”
ไคลน์เงียบสักพัก หันหลังกลับ ยกมุมปากยิ้ม
“ผู้พิทักษ์”
โดยไม่มัวเสียเวลา ชายหนุ่มเปิดประตูห้องอ่านหนังสือ เดินตรงไปยังราวแขวนเสื้อโค้ท
สวมหมวกกลมทรงสูงเสร็จ ขณะไคลน์เดินออกจากบ้านเลขที่ 67 ถนนฟีนิกซ์ เสียงสะอื้นที่พยายามระงับดังขึ้นจากข้างใน
ส่ายศีรษะแผ่วเบา ไคลน์เดินออกจากบล็อกถนน เข้าไปในวิหารท้องถิ่นของเทพธิดารัตติกาล
ผ่านทางเดินที่เงียบสงบและค่อนข้างมืด ชายหนุ่มนั่งเก้าอี้แถวที่เจ็ดจากด้านหลัง หันหน้าไปทางตราสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์สีดำสนิทที่ด้านในมีรูปพระจันทร์แดงครึ่งซีกและหมู่ดาราสุกสว่าง ถอดหมวกออก ก้มศีรษะลง เลื่อนมือขึ้นมาประสานใต้ริมฝีปาก ทำตัวตามธรรมชาติเหมือนกับสาวกส่วนใหญ่
ท่ามกลางความเงียบสงบ กระแสเวลาไหลผ่านอย่างรวดเร็ว ไคลน์บรรจงลืมตา ยืนขึ้นอย่างไร้สุ้มเสียง
ในจุดที่ชายหนุ่มเคยนั่ง มีสิ่งของบางอย่างถูกวางไว้ในสภาพห่อกระดาษ
ไคลน์เดินไปตามทาง ออกจากโถงสวดมนต์ จนกระทั่งถึงประตูวิหาร
ขณะยืนหันหลังให้ห้องโถง ในสภาพสวมหมวกทรงกึ่งสูง ชายหนุ่มยกมือขวาขึ้นและดีดนิ้ว
เป๊าะ!
กระดาษที่ห่อวัตถุปริศนาซึ่งวางไว้บนเก้าอี้เริ่มลุกไหม้ ดึงดูดความสนใจจากเหล่านักบวช เมื่อมีนักบวชคนหนึ่งวิ่งเข้ามาใกล้ เปลวไฟพลันดับมอด เหลือทิ้งไว้เพียงวัตถุสีดำเข้มคล้ายอัญมณี
นี่มัน… แม้นักบวชจะไม่ทราบว่าวัตถุชิ้นนี้คืออะไร แต่สัมผัสวิญญาณได้ร้องเตือนว่าเป็นสิ่งที่สำคัญมาก!
เมื่อกลุ่มนักบวชพยายามวิ่งตามออกมานอกวิหาร พวกมันพบว่า สุภาพบุรุษสวมโค้ทหางยาวและหมวกทรงกึ่งสูงได้หายตัวไปแล้ว
เช้าวันรุ่งขึ้น
ไคลน์ที่ได้รับตัวตนใหม่จากตลาดมืดท้องถิ่น เดินทางมาถึงสถานีรถจักรไอน้ำ
มือข้างหนึ่งถือตั๋วชั้นสองมูลค่าสิบแปดซูลและเอกสารประจำตัว อีกข้างหนึ่งถือกระเป๋าหนังสีดำ ยืนตัวตรงบนชานชาลา รอให้รถไฟเที่ยวเบ็คลันด์แล่นมาจอด
ปัจจุบัน ชายหนุ่มอยู่ในรูปลักษณ์ของสุภาพบุรุษวัยกลางคนอายุเกือบสี่สิบ สูงกว่าหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตรเล็กน้อย ผมสีดำแซมเทา ดวงตาสีน้ำเงินเข้มคล้ายทะเลสาบยามค่ำคืน ใบหน้าค่อนข้างมีเสน่ห์ มอบบรรยากาศหนุ่มใหญ่พิถีพิถัน
ก้มมองเอกสารประจำตัวในมือ กระจกตาไคลน์สะท้อนชื่อปัจจุบัน
“ดอน·ดันเตส”
ครุ่นคิดสักพัก ชายหนุ่มวางกระเป๋าเดินทางลง เปิดออกและยัดเอกสารประจำตัวทั้งหมดเข้าไป
ในกระเป๋าเดินทางมีกล่องไม้สีดำใบเล็ก เป็นกล่องบรรจุเถ้ากระดูกของอดีตทหารโลเอ็น รอนเซล·เอ็ดเวิร์ด
ขณะไคลน์จัดกระเป๋า เสียงหวูดดังขึ้นข้างใบหู หัวรถจักรไอน้ำซึ่งกำลังพ่นควันขาวท่วมท้น แล่นเข้ามาจอดยังชานชาลาด้วยความเร็วที่ค่อยๆ ลดลง
ชายหนุ่มเงยหน้ามองตรง กระซิบกับกระเป๋าเดินทางด้วยใบหน้าเรียบเฉย
“ได้เวลากลับบ้านแล้ว”
ไคลน์ยืนตัวตรง ถือสัมภาระเดินไปยังประตูห้องโดยสารที่เปิดอยู่
…
กรุงเบ็คลันด์ เขตเชอร์วู้ด บ้านเลขที่ 26 ถนนคิงสเตอร์
เบ็นสันถอดหมวกและเสื้อคลุมส่งให้สาวใช้ มองไปทางน้องสาวของตน – เมลิสซ่าในห้องนั่งเล่นที่กำลังตั้งใจอ่านหนังสือ
“การสอบจะเริ่มขึ้นในเดือนมิถุนายนสินะ… ในที่สุดเธอก็จะได้ลิ้มรสนรกแห่งการเรียนและอ่านหนังสือเหมือนที่ฉันเคยเผชิญ”
เมลิสซ่าไม่เงยหน้ามอง พูดขณะอ่าน
“ฉันเรียนหนักทุกวันอยู่แล้ว”
“แต่มุกตลกน่า… เมลิสซ่า หัดมีอารมณ์ขันบ้าง มนุษย์จะไปต่างอะไรกับลิงบาบูนขนหยิกถ้าไม่มีอารมณ์ขัน?” เบ็นสันพูดพลางยิ้ม
เมลิสซ่าชำเลืองด้วยหางตา
“คราวก่อนนายไม่ได้พูดแบบนี้”
เธอไม่ได้สนใจเรื่องที่มนุษย์ไร้อารมณ์ขันจะมีสถานะเทียบเท่าลิงบาบูนขนหยิก เพียงเปลี่ยนไปถามประเด็นอื่น
“ข้าราชการเลิกงานช้าแบบนี้เป็นประจำเลยหรือ”
“เปล่า… ช่วงนี้มีหลายๆ อย่างเกิดขึ้น เธอเองก็น่าจะรู้… ไม่สิ เธอคงไม่รู้ ท่ามกลางการปฏิรูปครั้งใหญ่ งานก็ต้องส่งให้ทันเวลา ความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานก็ต้องรักษา เรื่องพวกนี้ชวนให้สิ้นเปลืองพลังใจมาก” เบ็นสันเหลือบมองกระจกในห้องนั่งเล่น อดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นและสางผม สีหน้าค่อนข้างเหนื่อยหน่าย “แม้ว่าฉันจะเป็นแค่พนักงานตัวเล็กๆ ของกระทรวงการคลัง แต่นั่นก็ไม่ได้ช่วยให้มีงานน้อยลง ข่าวดีเรื่องเดียวในช่วงนี้ก็คือ ในที่สุดก็ผ่านช่วงเวลาทดลองงานสุดระยำได้เสียที ต่อไปนี้ฉันจะได้ค่าจ้างสัปดาห์ละสามปอนด์!”
เมลิสซ่าวางหนังสือลง เดินไปที่ห้องกินข้าวพลางพูดกับเบ็นสัน
“ถึงเวลาข้าวเย็นแล้ว”
เว้นวรรคเล็กน้อย เธอกล่าวต่อด้วยสีหน้าขึงขัง
“ฉันเคยเห็นในหนังสือพิมพ์ เขาบอกว่ายางไม้ดอนนิงส์แมนมีสรรพคุณช่วยเร่งการเจริญเติบโตของเส้นผม”
สีหน้าเบ็นสันพลันบิดเบี้ยว
…
วู้~!
ท่ามกลางเสียงหวูด หัวรถจักรไอน้ำแล่นเข้าสู่กรุงเบ็คลันด์
ไคลน์หยิบกระเป๋าเดินทาง เป็นอีกครั้งที่ได้ใช้ฝ่าเท้าเหยียบลงบนผืนแผ่นดินของ ‘มหานครแห่งหมู่นคร’ และ ‘ดินแดนแห่งความหวัง’ ชายหนุ่มพบว่าหมอกควันบางลงกว่าเดิม ไม่เข้มข้นคละคลุ้งเหมือนสมัยอดีต โคมไฟแก๊สบนชานชาลาไม่ต้องถูกเปิดก่อนเวลาอันควรเพื่อคอยมอบแสงสว่างท่ามกลางมลพิษ
มองไปรอบตัว ไคลน์เดินออกจากสถานีรถจักรไอน้ำ ต่อขบวนด้วยรถไฟใต้ดินและรถม้า ตรงมายังสุสานของวิหารวายุสลาตันสุดเขตตะวันตก
จากนั้น ชายหนุ่มสละเงินเล็กน้อยเพื่อบรรจุกล่องเถ้ากระดูกของรอนเซล·เอ็ดเวิร์ดลงในตู้
ผ่านไปหนึ่งร้อยหกสิบห้าปี ในที่สุดทหารหนุ่มของโลเอ็นก็ได้กลับบ้าน
ถอยหลังออกมา ไคลน์จ้องมองสักพักด้วยสายตาลุ่มลึก สะบัดกระดาษให้แข็งเหมือนเหล็ก สลักถ้อยคำไว้ที่ฝาตู้
“รอนเซล·เอ็ดเวิร์ด”
ชายหนุ่มหลับตาลง เขียนอีกครั้ง
“ทุกการเดินทางย่อมมีจุดสิ้นสุด”
(จบบทที่สาม)
…………………………………………………………..