บนภูเขานอกบายัม ผืนป่าทั้งหมดล้วนไร้ชีวิตชีวา หลายจุดถูกฝังกลบโดยผาหินที่ถล่มลงมา
ชายวัยกลางคนตัวใหญ่กำยำ ผมสีน้ำเงินเข้ม สวมเสื้อคลุมนักบวชวายุสลาตัน กำลังลอยตัวอยู่กลางอากาศ จ้องมองลงมาด้วยแววตาเผยความโกรธโดยไม่ปิดบัง
ไม่ใช่ใครนอกจากพระคาร์ดินัลแห่งโบสถ์วายุสลาตัน อาร์ชบิชอปแห่งน่านน้ำหมู่เกาะรอสต์ อาวุโสลำดับสูงของทูตพิพากษา ‘เจ้าสมุทร’ แยนน์·ค็อตแมน
จนกระทั่งตอนนี้ ภาพการต่อสู้เมื่อครู่ยังคงชัดเจนในใจค็อตแมน จดจำได้แม่นยำว่าใครหลบหนีด้วยวิธีใดบ้าง
เทวทูตแห่งโรงเรียนกุหลาบใช้พลังหรือวิธีการบางอย่าง ส่งการโจมตีมาจากระยะไกล แต่ดูเหมือนจะไม่บรรลุจุดประสงค์ ภายหลังได้พาตัวพวกพ้องที่บาดเจ็บหนีกลับไปอย่างไม่ยากเย็น และแน่นอน ไม่มีใครอยากให้ ‘ท่าน’ อยู่ที่นี่ต่อ เว้นเสียแต่สัตว์ประหลาดตนหนึ่งซึ่งโผล่มาจากไหนไม่มีใครทราบ แยนน์·ค็อตแมนยังคงไม่ลืม เมื่อเทวทูตดึงแขนกลับ บนผิวหนังสีเข้มมีขนนกสีขาวปกคลุมประปราย ไม่ว่าจะบนกะโหลกและดวงตาที่นูนยืน รวมถึงอีกหลายจุดที่ยากจะจินตนาการถึง อันที่จริง ความเสียหายควรจะมากกว่านี้ แต่ครึ่งเทพของโรงเรียนกุหลาบสามารถหลบถุงมือที่มีกลิ่นอายของพระผู้สร้างแท้จริงพ้น ขณะเดียวกันก็ออกแรงเล็กน้อยเพื่อบดขยี้นกหวีดทองแดงธรรมดาๆ ที่ถูกขว้างมา
หลังจากสิ่งมีชีวิตวิญญาณพิสดารตนหนึ่งเข้ามาพัวพันกับเทวทูตของโรงเรียนกุหลาบได้สักพัก ตัวตนดังกล่าวได้หนีเข้าไปในส่วนลึกของโลกวิญญาณ แยนน์·ค็อตแมนจึงจนปัญญาจะไล่ตาม
ส่วนนักบุญของชุมนุมแสงเหนือที่เปิดประตูมิติออกมา ตัดสินใจไม่เข้าร่วมการต่อสู้ เพียงเฝ้ามองอย่างสนใจอยู่พักใหญ่ จึงค่อยหยิบถุงมือที่ปนเปื้อนกลิ่นอายของพระผู้สร้างแท้จริงขึ้นมา เปิดประตูมิติกลับไปก่อนที่สงครามจะปิดฉาก
สัตว์ประหลาดที่โผล่มาจากนกหวีดทองแดงมีรูปร่างไม่ตายตัว ราวกับเป็น ‘วิวัฒนาการ’ ของความตาย ทำตัวเหมือนกับหมอกขนนกสีขาวที่เปื้อนคราบน้ำมันสีเหลือง แต่เป้าหมายของมันชัดเจนมาก คือการโจมตีใส่เทวทูตของโรงเรียนกุหลาบ เมื่อเห็นคู่ต่อสู้หนีไป สัตว์ประหลาดขนนกก็หายตัวไปจากจุดเกิดเหตุ คล้ายกับพยายามไล่ตามเป้าหมาย แต่ถึงอย่างนั้น แยนน์·ค็อตแมนที่เพิ่งบินมาถึงจุดเกิดเหตุพร้อมกับสมบัติปิดผนึก กลับรู้สึกอึดอัดเหนือคำบรรยาย คล้ายกับตัวมันกำลังเดินเข้าใกล้ความตายเข้าไปทุกขณะ
บุคคลหนึ่งเดียวที่ไม่ใช่ครึ่งเทพได้หลบหนีไปก่อนที่แยนน์·ค็อตแมนจะมาถึง หายตัวไปจากบริเวณรอบๆ และหาไม่พบอีกเลย
อย่างไรก็ตาม แยนน์·ค็อตแมนทราบดีว่าชายคนนั้นเป็นใคร
นักผจญภัยผู้สามารถสังหารลำดับ 5 ‘ผู้ปลดปล่อยแรงกระหาย’ ปัจจุบันกำลังโด่งดังจนเอกสารข้อมูลของชายคนนี้ถูกนำมาวางบนโต๊ะทำงานของ ‘เจ้าสมุทร’ !
แม้จะเป็นเอกสารที่ไม่สำคัญมาก แต่แยนน์·ค็อตแมนที่อยู่บนเส้นทาง ‘นักเดินเรือ’ สามารถจดจำเนื้อหาได้แม่นยำ
ชำเลืองไปทางหน้าผา มองลงไปยังจุดที่คลื่นซัดสาดเข้าหาเกาะ เจ้าสมุทรพึมพำด้วยเสียงต่ำ
“เกอร์มัน·สแปร์โรว์!”
…
บนเกาะร้างที่มิอาจระบุตำแหน่ง เงาสะท้อนของไคลน์และอะซิกปรากฏขึ้นริมชายหาด
ขณะไคลน์เตรียมกล่าวบางสิ่ง ดวงตาสีน้ำตาลของอะซิก ชายผิวแทนผู้สวมสูทสุภาพและหมวกกลมทรงสูง พลันมืดลงกะทันหัน คล้ายกำลังเชื่อมต่อเข้ากับโลกอันมืดมิดและไร้ชีวิตชีวา
อะซิกใช้มือขวาคว้าอากาศ ส่งผลให้ขนนกสีขาวบนร่างไคลน์ลอยออกไปรวมกันที่ฝ่ามือของอีกฝ่าย
เพียงบีบเบาๆ ขนนกประหลาดเหล่านี้พลันอันตรธานหาย ราวกับกลายเป็นอาหารของโลกที่ไร้ชีวิตชีวา
“มิสเตอร์อะซิก ขนนกพวกนี้เกิดจากการเป่านกหวีดของนิกายวิญญาณ!” ไคลน์เปิดประเด็นด้วยข้อเท็จจริงเบื้องต้น ก่อนจะลงลึกรายละเอียด “สถานการณ์ค่อนข้างวิกฤติ ผมจึงทำให้โกลาหลยิ่งกว่าเดิมด้วยการเป่านกหวีดทองแดง มอบขนนกเปื้อนคราบน้ำมันให้กับผู้ส่งสาร หลังจากนั้นไม่นาน คล้ายกับรอบตัวผมถูกปกคลุมด้วยโลกแห่งความตาย ถึงจะรีบหนีออกจากจุดดังกล่าวโดยเร็ว แต่ก็ยังมีขนนกสีขาวติดตามร่างกาย”
อะซิกที่มีใบหน้าอ่อนโยนผงกศีรษะรับ
“แม้แต่ผมที่อยู่ไกลก็ยังสัมผัสได้… อีกฝ่ายไม่ใช่ผู้วิเศษลำดับสูงธรรมดา แต่สงสัยว่าจะเป็นผลผลิตจากโครงการมรณาเทียมของพวกนิกายวิญญาณ”
แบบนี้นี่เอง… ก็เลยมีพลังมากพอที่จะตรึงเทวทูตของโรงเรียนกุหลาบไว้ได้นาน? ไคลน์ครุ่นคิดด้วยความยินดี
อะซิกกวาดตาไปรอบตัว กล่าวต่อ
“ผมยังมีงานอื่นต้องไปทำ สิ่งนั้นจะช่วยฟื้นฟูความทรงจำกลับมาอีกมาก… หากสะสางเสร็จเมื่อไร ผมจะกลับมาหาคุณทันที ให้คุณช่วยพาไปรับแหวนที่เป็นมรดกของเทพมรณา ลางสังหรณ์บอกกับผมว่า ในอนาคตอาจต้องไปเยือนทวีปใต้หรือไม่ก็ทะเลคลั่ง… ผมขอแนะนำให้คุณหนีไปที่เมืองใหญ่อย่างเบ็คลันด์หรือไม่ก็ทรีอาร์ หากเป็นสถานที่เหล่านั้น โรงเรียนกุหลาบจะลงมือได้ไม่สะดวก ไม่กล้าทำตามอำเภอใจ… แน่นอน ทางเลือกที่ดีที่สุดคือการหนีไปอยู่ใกล้กับสำนักงานใหญ่ของโบสถ์หลัก เช่นเกาะปาซู แต่นั่นก็จะมาพร้อมความวุ่นวายในด้านอื่นๆ”
ประโยคสุดท้ายของอะซิกเป็นเพียงมุกตลก เฉกเช่นที่สุภาพบุรุษชาวโลเอ็นชอบทำ ดูเหมือนว่าประสบการณ์ในชีวิตปัจจุบันจะสร้างความประทับใจให้ชายคนนี้ไม่น้อย ทั้งที่ฟื้นฟูความทรงจำเก่ากลับมาพอสมควรแล้ว แต่ก็ยังหลงเหลือเอกลักษณ์ของตัวตนปัจจุบัน
หืม… ในกรณีของผู้วิเศษที่อายุยืนยาวนับพันปี ช่วงเวลาหลายสิบปีนั้นแทบไม่ส่งผลต่อจิตใจ แต่ถ้าเป็นการเริ่มต้นจากภาวะความจำเสื่อม ช่วงเวลาเพียงยี่สิบสามสิบปีก็มากพอจะเกิดเป็นบุคลิกใหม่… ไว้ความทรงจำของมิสเตอร์อะซิกฟื้นฟูอย่างสมบูรณ์เมื่อไร ค่อยมาดูว่าเขาจะกลายเป็นคนหลายบุคลิกจากความทรงจำสั้นๆ หลายช่วงหรือไม่… เป็นคำถามที่ยากจะหาคำตอบ คงต้องปรึกษามิสจัสติสไว้ล่วงหน้า เธอจะได้มีเวลาไปปรึกษากับสมาคมแปรจิต… ขณะไคลน์ครุ่นคิด เมื่อเห็นว่ามิสเตอร์อะซิกไม่ถามถึงเหตุผลที่ถูกโรงเรียนกุหลาบไล่ล่า ชายหนุ่มถอนหายใจโล่งอก
“มิสเตอร์อะซิก คุณมีข้อมูลของมารดาพฤกษาแห่งแรงกระหายบ้างไหม”
อะซิกส่ายหน้า
“ก่อนจะได้อ่านจดหมายของคุณ ผมไม่เคยทราบด้วยซ้ำว่าท่านผู้นี้มีตัวตนอยู่”
ไม่รู้จักมารดาพฤกษาแห่งแรงกระหาย? ไคลน์ผงะ ถามต่อ
“แล้วเทพผู้ถูกล่าม?”
อะซิกส่ายหน้าอีกครั้ง ถอนหายใจและยิ้ม
“ในสมัยโบราณ ท่านหรือพวกท่านอาจใช้นามอื่น”
นั่นสินะ… ในช่วงปลายยุคสมัยที่สี่ มิสเตอร์อะซิกเริ่มเข้าสู่วังวนความจำเสื่อมและฟื้นฟู ต้อง ‘เตร็ดเตร่’ บนทวีปเหนือเป็นเวลานาน ส่วนโรงเรียนกุหลาบเพิ่งถือกำเนิดขึ้นบนทวีปใต้ในช่วงต้นยุคสมัยที่ห้า… ไคลน์พยักหน้ารับ ไม่ถามสิ่งใดเพิ่มเติม และเนื่องจากอะซิกจะค่อนข้างยุ่ง จึงทำเพียงมอบคำแนะนำเล็กน้อยก่อนจะพาไคลน์ท่องโลกวิญญาณ มาส่งที่ชายฝั่งตะวันออกสักแห่งของทวีปเหนือ ทิ้งไว้บนชายหาด
เมื่อเห็นอะซิกจากไป ไคลน์ยืนมองน้ำทะเลที่กระทบเข้าฝั่งสักพัก จึงค่อยเดินไปยังเมืองใกล้เคียงอย่างไม่รีบร้อน เมื่อเห็นว่ามีถ้ำร้าง ชายหนุ่มตัดสินใจเข้าไปตั้งแท่นบูชาเรียบง่าย สร้างกำแพงวิญญาณ สังเวยยุบพองหิวโหย ลูกโม่ลางมรณะ นกหวีดทองแดงอะซิก การเดินทางของกรอซาย และดินที่เปื้อนเลือดเซนอลเข้าไปในมิติเหนือหมอกสีเทา
จากนั้น ไคลน์ถอยหลังสี่ก้าว ส่งตัวเข้าไปในมิติลึกลับดังกล่าว นั่งบนเก้าอี้เดอะฟูลพร้อมกับเสกขวดโลหะ
เนื่องจากถูกเก็บรักษาไว้บนมิติหมอก เลือดในขวดจึงไม่แข็งตัว ไคลน์ที่สวมถุงมือและยัดสิ่งของอื่นๆ เข้าไปในร่างวิญญาณ ทำการป้ายเลือดตัวเองลงบนปก ‘การเดินทางของกรอซาย’ สองสามหยด
หืม… ทั้งที่มีตัวละครใหม่เข้าร่วม แต่ทำไมถึงไม่เริ่มเรื่องใหม่ด้วยชื่อใหม่? ไคลน์มองปกหนังสือเล่มเล็กที่ยังไม่เปลี่ยนชื่อ ตั้งคำถามกับตัวเองในใจ
แต่ยังไม่ทันจะได้คำตอบ ทัศนียภาพพลันพร่ามัว คล้ายกับรอบๆ ตัวเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตโปร่งใส
เพียงไม่นาน ฉากตรงหน้าคมชัดอย่างรวดเร็ว ไคลน์พบว่าตัวเองกำลังนั่งบนเก้าอี้ยาวริมถนน
นี่คือจุดเดิมก่อนออกไป
ระบบช่วยบันทึกการอ่านล่าสุด? ไคลน์รำพันติดตลก นำดินที่เปื้อนเลือดเซนอลออกมาถือ หักกิ่งไม้เพื่อใช้เป็นแท่งทำนาย
เมื่อได้ผลลัพธ์ ชายหนุ่มเดินออกนอกเมือง เข้าไปในป่าใกล้ๆ ริมลำธารและพบพลเรือเอกโลหิตที่ยังนอนหมดสติ
สภาพคล้ายกับผ่านมาแล้วสิบนาทีหลังจากการต่อสู้ครั้งล่าสุด!
บาดแผลเหวอะหวะบริเวณลำคอและหน้าอกเซนอลฟื้นตัวขึ้นมาก เป็นระดับความทนทายาดที่ไม่เหมือนมนุษย์เลยสักนิด
อีกราวสิบห้าถึงสามสิบนาที พลเรือเอกโลหิตจะได้สติกลับมา และอีกราวหนึ่งถึงสองชั่วโมง มันจะกลับมาเคลื่อนไหวได้ตามปรกติ
นี่คือพลังของ ‘ซอมบี้’ ลำดับก่อนหน้า ‘วิญญาณอาฆาต’ !
อันที่จริง นายยังมีโอกาสถูกเทวทูตและครึ่งเทพของโรงเรียนกุหลาบพาตัวกลับไป แต่เลือดดันบังเอิญกระเซ็นใส่การเดินทางของกรอซาย ส่งผลให้ถูกขังอยู่ในหนังสือเล่มนี้ มีเวลาเหลือเฟือให้ฉันเชือดนิ่มๆ … แต่เรื่องดีก็คือ นายไม่ต้องโดนลูกหลงตายที่นั่น… ไม่รู้ว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่… ไคลน์พึมพำพลางเก็บรายละเอียด มือข้างหนึ่งถือลางมรณะ อีกข้างหนึ่งจับคอเซนอลและปลดสร้อยคอที่ทำจากเงินแท้
จี้ที่ห้อยอยู่กับสร้อยมีลักษณะคล้ายเหรียญโบราณ ด้านหน้าและด้านหลังปกคลุมไปด้วยลวดลายและสัญลักษณ์ลึกลับ นอกจากนั้นยังสลักถ้อยคำภาษาเฮอร์มิสโบราณ
“เจ้าจะโชคร้ายเท่าที่เจ้าโชคดี”
นี่คือสมบัติวิเศษช่วยเสริมดวงของพลเรือเอกโลหิต? น่าเสียดาย แม้แต่ครึ่งเทพก็มิอาจทำให้เราโชคดีขึ้นได้ การนำมาใช้เองคงไม่เกิดประโยชน์… ขายเป็นเงินดีไหม? ไม่สิ ควรถามมิสผู้ส่งสารดูก่อน ว่าสามารถใช้สิ่งนี้ชำระหนี้ได้ไหม… ไคลน์เก็บสร้อยคอ วางไว้บนก้อนหินด้านข้าง
มันกังวลว่าจะได้รับผลข้างเคียงเชิงลบขณะถืออยู่กับตัว ส่งผลให้แผนการขั้นถัดไปเกิดอุบัติเหตุ
ถัดมา ไคลน์เพ่งสมาธิ เข้าควบคุมด้ายวิญญาณของพลเรือเอกโลหิต
ชายหนุ่มต้องการสร้างหุ่นเชิดที่ใช้งานได้นานๆ เป็นตัวแรก เพื่อสรุปกฎการสวมบทบาทของ ‘นักเชิดหุ่น’
นอกจากนั้น ไม่มีหุ่นเชิดตัวไหนจะพกพาสะดวกสบายไปกว่า ‘วิญญาณอาฆาต’ อีกแล้ว!
หนึ่งวินาที สองวินาที สามวินาที
เพียงสิบวินาที ไคลน์เข้าควบคุมขั้นต้นสำเร็จ
สัมผัสวิญญาณของเซนอลตระหนักถึงอันตรายที่เกิดกับร่างกาย จึงแสดงการขัดขืนเล็กๆ แต่เนื่องจากอยู่ในสภาพบาดเจ็บสาหัสและความคิดอ่านเชื่องช้า จึงหมดสิทธิ์ตอบโต้อย่างมีประสิทธิภาพ
ผ่านไปสักพัก เมื่อครบสี่นาที ไคลน์ถอนหายใจอย่างไม่ปิดบัง
พร้อมกันนั้น ‘พลเรือเอกโลหิต’ เซนอลลืมตาขึ้น ลุกยืนและเผชิญหน้ากับไคลน์ เลื่อนมือขึ้นมาทาบหน้าอกและโค้งคำนับนอบน้อม
“อรุณสวัสดิ์นายท่าน จะให้ผมรับใช้อะไรดีครับ”
……………………………………………..