หลังจากโยกตัวหลบกลุ่มขี้เมาอาละวาด เอ็มลินขมวดคิ้วพลางสะบัดเสื้อผ้า ตรงดิ่งไปทางเคาน์เตอร์
ระหว่างนั้น ทั้งที่ไม่ได้ใช้พลังใด แต่ร่างกายเอ็มลินกลับไม่ถูกเนื้อต้องตัวขี้เมาโดยรอบแม้แต่น้อย อาศัยเพียงความปราดเปรียว ว่องไวและสมดุลร่างกายอันเป็นเลิศ
จนกระทั่ง เอ็มลินเดินมาถึงเคาน์เตอร์และเคาะนิ้วลงไปบนผิวไม้
“เอียนอยู่ไหน”
บาร์เทนเดอร์ชำเลืองด้วยหางตา แต่มิได้กล่าวคำใด ยังคงก้มหน้าเช็ดแก้วต่อไป
“…” เอ็มลินพลันชะงัก ฉุกคิดว่าตนคงทำบางสิ่งไม่ถูกต้อง จึงไม่ได้รับคำตอบที่ต้องการ อย่างไรก็ตาม พฤติกรรมของบาร์เทนเดอร์ทำให้มันอับอายไม่น้อย ถึงขั้นอยากเข้าไปกระชากคอเสื้อเพื่อซักถาม
กระนั้น มันมองว่าท่าทีดังกล่าวขัดต่อภาพลักษณ์สุภาพบุรุษ จึงสงบสติอารมณ์และมองไปรอบตัว พบว่าทุกคนกำลังดื่มเหล้า
ครุ่นคิดสักพัก เอ็มลินกล่าวเสียงห้วน
“ไวน์แดงเออร์เมียร์หนึ่งแก้ว”
บาร์เทนเดอร์ชะงักการเช็ดแก้ว เงยหน้าขึ้น มองชายหนุ่มรูปงามผมสีดำเจ้าของดวงตาสีแดงด้วยความประหลาดใจ
“ไม่มี”
นั่นมันไวน์แดงที่ดีที่สุดในโลกเชียวนะ ราคาต่อขวดย่อมมหาศาล!
เอ็มลินมิได้สมองทึบ เพียงเห็นแววตาอีกฝ่ายก็ทราบทันทีว่า ตนสั่งในสิ่งที่ไม่ควรสั่ง ครุ่นคิดสักพักจึงกล่าวต่อ
“เบียร์นันวีลล์หนึ่งแก้ว”
“ห้าเพนนี” บาร์เทนเดอร์วางแก้วและผ้าเช็ดลง
เอ็มลินหยิบธนบัตรหนึ่งซูลออกมาหนึ่งใบ
“ไม่ต้องทอน”
“ขอบใจ” บาร์เทนเดอร์ชี้ไปทางซ้ายมือ “เอียนอยู่ในห้องเล่นไพ่หมายเลขหนึ่ง”
เอ็มลินยิ้มออกทันที ภายในใจกำลังมีความสุขพลางนึกชื่นชมตัวเองที่สามารถแก้ไขปัญหาได้รวดเร็ว อย่างไรก็ตาม มันมิได้รับเบียร์นันวีลล์มาดื่ม เพียงหันหลังและเดินไปทางห้องเล่นไพ่หมายเลขหนึ่งทันที
ก็อก ก็อก ก็อก! แวมไพร์หนุ่มเคาะประตูอย่างสุภาพ
“เข้ามาได้” เสียงค่อนข้างอ่อนเยาว์ดังเล็ดลอด
เอ็มลินจัดปกเสื้อ ผลักเปิดประตู พบว่าฉากด้านในแตกต่างจากที่จินตนาการไว้พอสมควร
ก่อนจะเข้ามา มันเคยจินตนาการไว้ว่า ภายในห้องเล่นไพ่จะต้องมีคนยืนมุงรอบโต๊ะตัวยาวจำนวนมาก รอเล่นเท็กซัสโปเกอร์หรือไม่ก็ไพ่ชนิดอื่น ใครจะไปคิดว่าในห้องที่มีคนอยู่ราวเจ็ดแปดชีวิต จะไม่มีใครเล่นเท็กซัสโปเกอร์เลย ด้านหน้าแต่ละคนมีเพียงกระดาษเปล่าที่คล้ายกับถูกใช้บันทึกบางสิ่ง นอกเหนือจากนั้น บนโต๊ะยังมีแค่ปากกาและลูกเต๋าหลายเหลี่ยม
อาศัยสัญชาตญาณ เอ็มลินจ้องไปยังคนตัวเล็กสุดด้านใน อีกฝ่ายเป็นเด็กหนุ่มเจ้าของดวงตาสีแดงสด อายุราวสิบห้าสิบหก
“เอียน?” เอ็มลินถามเพื่อยืนยัน
เอียนพยักหน้าและยิ้มตอบ
“ถูกต้อง คุณสุภาพบุรุษตรงนั้นต้องการสิ่งใด? หรืออยากร่วมเล่นเกมนี้กับพวกเรา?”
“เกม?” เอ็มลินถามตามความเคยชิน
เอียนหัวเราะในลำคอ
“ถูกต้อง เกม… ผมไม่ชอบเล่นไพ่หรือบิลเลียด แต่ในเมื่ออยู่ที่นี่ทั้งวันก็ต้องหาอะไรทำ ผมได้แรงบันดาลใจมาจากชีวประวัติของจักรพรรดิโรซายล์ จึงรวบรวมคนจำนวนหนึ่งมานั่งด้วยกัน ผจญภัยบนแผ่นกระดาษ… ภายในเกมชนิดนี้ คุณจะเป็นใครก็ได้ขอเพียงรักษากฎ ไม่ว่าจะแพทย์ นักผจญภัยที่ชอบกินผัก นักสืบเอกชนที่ชอบพกประแจกับท่อเหล็ก หรือนักโบราณคดีที่ชอบสรรหาสิ่งแปลกใหม่ ทุกคนจะร่วมทางกัน ผจญภัยภายในปราสาท ค้นหาเรื่องราวลึกลับที่ซ่อนอยู่ ต่อสู้กับสัตว์ประหลาดจำนวนมาก”
“ฟังดูน่าสนใจ” เอ็มลินสัมผัสได้ว่า เกมนี้เหมาะกับตนอย่างอธิบายไม่ถูก
“ฮะฮะ อยากเล่นด้วยกันไหม? พวกเรากำลังเดินทางไปเผชิญหน้ากับแวมไพร์โบราณที่แข็งแกร่ง อีกฝ่ายมีหน้าตาหล่อเหลา แต่ใต้ผิวหนังมีตุ่มหนองพุพองเพราะเลือดกำลังเดือดพล่าน” เอียนชักชวนอย่างกระตือรือร้น
ผีดูดเลือด! ขอบคุณ! เอ็มลินมุมปากกระตุกเล็กน้อย กล่าวเข้าประเด็น
“ผมมีงานมาให้คุณทำ”
“เข้าใจแล้ว… ไปคุยห้องข้างๆ ดีกว่า” เอียนยืนขึ้นในสภาพสวมหมวกปีกสั้นทรงโดมและย่ามโทรมๆ
ห้องถัดไปเป็นห้องเล่นบิลเลียด ไม่มีใครอยู่ด้านใน หลังจากตรวจสอบจนแน่ใจ เด็กหนุ่มมาดสุขุมลงกลอนปิดประตูมิดชิด หันไปทางเอ็มลิน
“มิสเตอร์ ผมไม่รู้จักคุณมาก่อน ไม่ทราบว่าใครเป็นคนแนะนำมา”
เอ็มลินเชิดคางเล็กน้อย ยิ้มและตอบ
“เชอร์ล็อก·โมเรียตี้”
กล่าวจบ มันหันไปรอบตัว ยกมือขึ้นบีบจมูก
“นักสืบโมเรียตี้นี่เอง…” เอียนถอนหายใจโล่งอกโดยไม่พยายามเก็บซ่อน “ค่อยวางใจหน่อย ว่าแต่… เขาไปพักร้อนที่อ่าวเดซีย์ใช่ไหม? ตอนนี้กลับมาแล้วหรือยัง”
เอ็มลินลดมือขวาลง กล่าวหน้านิ่ง
“ยัง… ผมลองแวะไปบ้านหลังที่เขาเช่าแล้ว แต่ก็ไม่พบใคร… ว่ากันตามตรง การหยุดยาวช่วงปีใหม่ควรสิ้นสุดลงตั้งแต่ช่วงกลางเดือนมกราคม แต่ตอนนี้ย่างเข้าเมษายนแล้ว”
“ห…หรือว่าจะเกิดอุบัติเหตุ?” เอียนถามด้วยสีหน้าเป็นกังวล
หลังจากเอ็มลินจินตนาการถึงความแข็งแกร่งและลึกลับของเชอร์ล็อก·โมเรียตี้ มันส่ายศีรษะเล็กน้อย
“คงกำลังพัวพันกับคดีซับซ้อนมากกว่า”
เอียนไม่ได้กล่าวสิ่งใดต่อ เปลี่ยนหัวข้อสนทนา
“ผมควรเรียกคุณว่าอะไร? แล้วมีงานแบบไหนให้ทำ”
“มิสเตอร์ไวท์… เรียกผมว่ามิสเตอร์ไวท์” เอ็มลินหยิบกระดาษที่คล้ายกับใบค่าหัวออกมาถือ “ตามหาเบาะแสของคนทั้งห้า”
เอียนรับกระดาษ ตรวจสอบสักพักก่อนจะกล่าว
“ยี่สิบปอนด์สำหรับเบาะแสสำคัญ หนึ่งร้อยห้าสิบปอนด์สำหรับการระบุตำแหน่งที่แม่นยำ… ตกลงไหม?”
“ตกลง” ความรู้สึกแรกของเอ็มลินคือ ราคาค่อนข้างถูก
เมื่อเทียบกันแล้ว ข้อเสนอที่ตนยื่นให้ชุมนุมทาโรต์นับว่าแพงไปมาก
เอียนพับกระดาษเก็บ เงยหน้าซักถาม
“มิสเตอร์ไวท์ ถ้าผมพบเบาะแส สามารถแจ้งคุณได้ที่ไหน?”
“ย่านทิศใต้ของสะพาน โบสถ์ฤดูเก็บเกี่ยว” เอ็มลินตอบในสิ่งที่เตรียมไว้
ได้ยินเช่นนั้น เอียนครุ่นคิดและถามอย่างประหลาดใจ
“คุณเป็นผู้ศรัทธาของพระแม่ธรณี? …หาได้ยากมากในกรุงเบ็คลันด์”
“ไม่ใช่!” เอ็มลินส่ายหน้าหนักแน่น “แค่ทำงานอาสาสมัคร”
ไม่รอให้เอียนกล่าวต่อ เอ็มลินชิงถาม
“ทำไมคุณถึงมีตาสีแดง”
มันอยากถามเช่นนี้ตั้งแต่แรกพบ เพราะตามปรกติแล้ว ดวงตาสีแดงคือสัญลักษณ์ของผีดูดเลือดมาตั้งแต่โบราณกาล แต่ในยุคสมัยที่สี่ มนุษย์และผีดูดเลือดเริ่มใช้ชีวิตร่วมกันในฐานะพลเมืองจักรวรรดิ เมื่อความสัมพันธ์แน่นแฟ้น ลูกหลานที่เป็นพันธุ์ผสมจึงถือกำเนิดและสืบทอดดวงตาสีแดงมาจนถึงปัจจุบัน กลายเป็นสีตาหนึ่งที่หายากของมนุษย์
สรุปโดยสั้น มนุษย์ตาแดงทุกคนมีบรรพบุรุษเป็นผีดูดเลือด
เอียนตอบด้วยสีหน้าไม่มั่นใจ
“ได้มาจากพ่อ… แต่ผมรู้แค่นั้น เพราะโตมาในฐานะเด็กกำพร้า”
คงไม่ได้เกี่ยวพันกับผีดูดเลือดสินะ… เอ็มลินผิดหวังเล็กน้อย ก่อนจะจ่ายเงินล่วงหน้ายี่สิบปอนด์ หันหลังและเดินออกจากห้องบิลเลียด
รอจนกระทั่งอีกฝ่ายลับสายตา เอียนยังไม่กลับไปที่ห้องเล่นไพ่ เพียงเดินไปปิดประตูให้สนิทและพูดกับอากาศ
“นักสืบโมเรียตี้ยังไม่กลับมาที่เบ็คลันด์… ผมเริ่มเป็นห่วงเขาแล้วสิ”
ทันใดนั้น ร่างหนึ่งปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่าภายในห้อง ใบหน้าสีขาวซีด รูปโฉมงดงาม สวมหมวกอ่อนใบเล็กและชุดโกธิกซับซ้อนของชาววัง ไม่ใช่ใครนอกจาก ‘วิญญาณอาฆาต’ ชารอน
“เขากำลังไปได้ดี” ชารอนตอบอย่างมั่นใจ ก่อนหายตัวไปอีกครั้ง
“คุณก็พูดแบบนี้ตลอด… ติดต่อกับเขาบ่อยหรือ?” เอียนกระซิบกระซาบ เดินไปหยิบหนังสือพิมพ์ตรงมุมห้องบิลเลียด
ฉบับบนเป็น ‘หนังสือพิมพ์ทัสซอค’ ส่วนฉบับล่างเป็น ‘ข่าวทางทะเล’ ซึ่งแต่เดิมเป็นการรายงานข่าวเกี่ยวกับสถานการณ์ภายในอาณานิคมโลเอ็น รวมไปถึงเหตุการณ์ทางทะเลอื่นๆ ประปราย แต่เนื่องจากติดข้อจำกัดด้านเทคโนโลยี กว่าข้อมูลทางทะเลจะถูกส่งมาถึงเบ็คลันด์ก็กลายเป็นข่าวเก่าล้าสมัยแล้ว ไม่ค่อยมีประโยชน์สำหรับคนที่ต้องการติดตามข่าวอย่างจริงจัง ส่งผลให้ยอดขายไม่ดีนัก
แต่ในช่วงหลัง ด้วยนโยบายของหัวหน้าบรรณาธิการคนใหม่ รูปแบบของหนังสือพิมพ์ทางทะเลจึงเปลี่ยนไป กลายเป็นการนำเสนอข่าวลือมากมายในมหาสมุทร รวมไปถึงเรื่องราวลึกลับสุดพิสดารของโจรสลัดและนักผจญภัย คล้ายกับเป็นนิยายมากกว่าการรายงานข่าว
แต่เหนือความคาดหมาย การนำเสนอในทำนองนี้กลับได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม โดยเฉพาะเนื้อหาเกี่ยวกับภูตผีและขุมทรัพย์ กลายเป็นว่า ในทุกผับจะมีกลุ่มคนที่พอจะอ่านหนังสือออก มาโอ้อวดอวดข่าวใหม่ๆ ให้คนที่อ่านหนังสือไม่ออกฟัง ถึงข่าวลือเหล่านี้จะฟังดูเกินจริงไปมาก แต่ก็เพียงพอสำหรับการสร้างความบันเทิง
เอียนพลิกหนังสือพิมพ์สุ่มๆ และแทบไม่พบข่าวที่น่าสนใจ มีเพียงบางหัวข้อจาก ‘ข่าวทางทะเล’ ที่ชวนให้อ่าน
“ตามรายงาน ในช่วงเย็นวันที่ 25 มีนาคม กองเรือของ ‘ราชาอมตะ’ เปิดฉากโจมตีใส่เรือสินค้าที่แล่นจากไบลัมตะวันโดยมีจุดหมายเป็นจักรวรรดิฟุซัค พวกมันประสบความสำเร็จในการปล้นสินค้าและเงินสดทั้งหมด นอกจากนั้น ‘จอมเชือด’ จิลเซียสยังทำตัวเหี้ยมโหดสมฉายา สังหารทุกคนบนเรือจนเกลี้ยง…”
พวกโจรสลัดช่างอุกอาจ… เอียนส่ายหน้า วางหนังสือพิมพ์ลง เดินกลับไปที่ห้องเล่นไพ่ ดำเนินเกมของตัวเองต่อ
ภายนอกผับ เอ็มลินขึ้นรถม้า เอนหลังพิงพนัก จ้องมองไฟถนนที่ค่อยๆ แล่นผ่านสองข้างทาง
มันบีบจมูกอีกครั้ง ส่งเสียงพึมพำ
“วิญญาณอาฆาต…? พ่อค้าอาวุธเถื่อนที่ชื่อเอียนนั่น… ไม่เลวทีเดียว”
เอ็มลินหลับตาลง เริ่มคาดหวังความสำเร็จจากงานที่ฝากฝัง
…
แสงแดดสาดส่องจากหน้าต่าง ย้อมห้องกัปตันให้กลายเป็นสีทองอร่าม
เอ็ดวิน่ากำลังนั่งบนเก้าอี้ ถือหนังสือ มองไปยังฝั่งตรงข้าม
“หมายความว่า คุณเชื่อว่าจักรวรรดิทั้งสามซึ่งประกอบด้วยโซโลมอน ทรันซอสต์ และทูดอร์ เคยอยู่ร่วมยุคสมัยเดียวกัน?”
“ถ้าไม่ใช่แบบนั้น ‘สงครามสี่จักรพรรดิ’ ก็คงเกิดขึ้นไม่ได้” ไคลน์ตอบห้วน
ชายหนุ่มกำลังถือ ‘หนังสือแห่งสามโลก’ หนึ่งในงานเขียนของโรงเรียนชีวิต เนื้อหาอธิบายเกี่ยวกับโลกแห่งวัตถุ โลกวิญญาณ และโลกที่อยู่เหนือเหตุผล ภายในหนังสือมีข้อมูลเกี่ยวกับยันต์เขียนไว้พอสมควร เป็นข้อมูลในเชิงลึก ส่งผลให้วันนี้ทั้งวัน ไคลน์ทุ่มสมาธิจดจ่อกับหนังสือโดยไม่สนใจสิ่งอื่น หวังว่าจะพบวิธีใช้งานคทาเทพสมุทรและหนอนกาลเวลาให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
นอกจากนั้นไคลน์ยังพบว่า กรุหนังสือของพลเรือโทธารน้ำแข็งประกอบด้วยเอกสารโบราณที่ครอบคลุมศาสตร์เร้นลับหลายแขนง สิ่งนี้ไม่สอดคล้องกับธรรมชาติของโบสถ์ ‘เทพปัญญาความรู้’ ที่สนับสนุนเอ็ดวิน่าอยู่เบื้องหลังสักเท่าไร เพราะเท่าที่ไคลน์ทราบ ความรู้ในเชิงศาสตร์เร้นลับนั้นห้ามเปิดเผยให้คนภายนอกโบสถ์รับรู้
ขณะเอ็ดวิน่าเตรียมถาม เธอพบว่าความเร็วของฝันทองคำค่อยๆ ลดลง จึงมองออกไปนอกหน้าต่าง ตรวจสอบสักพักและกล่าว
“ถึงบายัมแล้ว”