Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ – ราชันเร้นลับ 1030 : ปฏิบัติการร่วม

กรุงเบ็คลันด์ เขตเหนือ วิหารนักบุญแซมมวล

คาร์ดินัลแห่งโบสถ์วายุสลาตัน อาร์ชบิชอปแห่งมุขมณฑลเบ็คลันด์ ‘เจ้าพิธีกรรมสีคราม’ เรดาลล์·วาเลนไทน์กำลังร่อนลงมาจากสายลม เหยียบลงบนยอดแหลมที่มีนาฬิกายักษ์อยู่ทางซ้ายมือ

มันสวมเสื้อคลุมสีดำปักลวดลายพายุ บนใบหน้ามีหนวดเครา ผมตรงตัดสั้น สีน้ำเงินเข้มเกือบดำ

ครึ่งเทพที่ทรงพลังรายนี้มองไปยังทิศทางหนึ่ง กล่าวกับบุคคลที่ยืนรออยู่ก่อนแล้ว

“ฮารามิค… คุณรู้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น? ทำไมแอนโทนีถึงเรียกเรามาที่นี่กะทันหันนัก?”

คนที่มันกำลังสนทนาด้วย แต่งกายในชุดนักบวชสีขาวและหมวกนักบวช หน้าตาใจดี แววตาอ่อนโยน ไม่ใช่ใครนอกจากหนึ่งในสภาศักดิ์สิทธิ์แห่งโบสถ์วายุสลาตัน อาร์ชบิชอปแห่งมุขมณฑลเบ็คลันด์ ครึ่งเทพ ฮารามิค·ไฮเดิน

ได้ยินคำถามจากเรดาลล์ ฮารามิคตอบสุขุม

“ผมก็มิได้มาถึงก่อนคุณนานนัก แถมยังเพิ่งออกจากห้องวิจัยแค่ไม่กี่นาที”

นอกจากนักบวช มันยังเป็นนักวิทยาศาสตร์คนดัง เป็นศาสตราจารย์กิตติมศักดิ์สาขาฟิสิกส์จากมหาวิทยาลัยเบ็คลันด์

ขณะเรดาลล์·วาเลนไทน์เตรียมกล่าวบางสิ่ง มันเหลือบไปเห็นร่างหนึ่งเดินขึ้นมาจากบันไดคดเคี้ยวแคบๆ จนกระทั่งถึงยอดหอคอยในจุดที่แสงจันทร์ส่องไม่ถึง

บุคคลดังกล่าวแต่งกายในชุดนักบวชสีดำแถบแดง บนหน้าอกมีสัญลักษณ์ตราศักดิ์สิทธิ์แห่งความมืดจำนวนห้าจุด ใบหน้าเกลี้ยงเกลา ปราศจากหนวดเครา ดวงตาลุ่มลึกและสุขสงบ ไม่ใช่ใครนอกจากหนึ่งในสิบสามอาร์ชบิชอปแห่งรัตติกาล ประมุขแห่งมุขมณฑลเบ็คลันด์ นักบุญแอนโทนี·สตีเวนสัน

“เป็นเรื่องที่รอให้ถึงตอนเช้าไม่ได้? หรือว่าคนของรัตติกาลชอบคุยงานตอนดึก?” ‘เจ้าพิธีกรรมสีคราม’ เรดาลล์·วาเลนไทน์ตั้งคำถาม

แอนโทนีหยุดเดินและตอบด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“เป็นเรื่องด่วนมากๆ”

“เรื่องอะไร?” เรดาลล์ถาม

ขณะเดียวกัน ฮารามิค·ไฮเดินเองก็หันมาทางแอนโทนี·สตีเวนสันและรอคอยคำตอบ

ในสถานการณ์แบบนี้ ฮารามิคค่อนข้างชื่นชอบคนจากโบสถ์วายุสลาตัน เพราะคนเหล่านี้มักเปิดปากถามอย่างโผงผางโดยไม่มัวพิถีพิถัน ตัวมันจึงไม่ต้องเสียแรงถามเอง

แอนโทนีมองสลับไปมาและกล่าว

“เป็นเรื่องเกี่ยวกับราชวงศ์… ให้พระคุณเจ้าอาเรียนน่าเป็นผู้เล่าแทนจะเหมาะกว่า”

ทันทีที่มันกล่าวจบ สตรีเท้าเท้าเปล่า ปล่อยผม และสวมเสื้อคลุมเรียบง่ายพร้อมด้วยเข็มขัดเปลือกไม้ปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางความมืด

เมื่อเห็นบุคคลดังกล่าวเต็มสองตา เรดาลล์และฮารามิคต่างพากันโค้งศีรษะ

“สายัณห์สวัสดิ์ พระคุณเจ้าอาเรียนน่า”

สีหน้าของพวกมันเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมพร้อมกัน เริ่มเข้าใจถึงความร้ายแรงของสถานการณ์

หากเป็นเรื่องที่เทวทูตเดินดินต้องปรากฏตัว นั่นย่อมไม่ธรรมดาแน่นอน!

ขณะเดียวกัน พวกมันอดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้าน เพราะเพิ่งตระหนักได้ว่า พวกตนไม่เคยทราบมาก่อนเลยว่าประมุขแห่งสำนักชีรัตติกาล บริวารอำพราง พระคุณเจ้าอาเรียนน่ามาถึงกรุงเบ็คลันด์ตอนไหน

ภายใต้สถานการณ์ปรกติ สามโบสถ์หลัก ราชวงศ์ และกองทัพ ต่างมีข้อตกลงร่วมกันว่า ในกรุงเบ็คลันด์ห้ามมีเทวทูตเดินดินหรือสมบัติปิดผนึกลำดับ 0 อยู่

“สายัณห์สวัสดิ์ ท่านอาร์ชบิชอป” อาเรียนน่าตอบโดยปราศจากความผยอง

จากนั้น ยกแขนขวาขึ้นมาจับอากาศ

แสงจางๆ ปรากฏขึ้นและแปรสภาพกลายเป็นฉากท่ามกลางความมืด ทั้งหมดเป็นบทสนทนาตั้งแต่ต้นจนจบระหว่างอาเรียนน่าและโจนาส·โคลเกอร์

คล้ายกับว่าความลับที่ถูกเก็บงำมานาน จะรั่วไหลออกสู่โลกภายนอกเป็นครั้งแรก

ขณะชมภาพเหตุการณ์ ‘เจ้าพิธีกรรม’ เรดาลล์·วาเลนไทน์อดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมา

“ชายคนนี้เป็นครึ่งเทพลำดับ 4…?”

อาร์ชบิชอปรายนี้รู้จักกับโจนาส·โคลเกอร์ เดิมทีมันเชื่อว่ารองผอ. MI9 เป็นแค่ผู้วิเศษลำดับ 5 ที่พึ่งพาสมบัติปิดผนึกที่มีผลข้างเคียงร้ายแรงเพื่อให้เอื้อมถึงพลังของครึ่งเทพ แต่ไม่เคยทราบว่านั่นเป็นแค่การเสแสร้ง

โบสถ์วายุสลาตันมีสายสัมพันธ์กับกองทัพมากกว่าอีกสองโบสถ์หลัก

ไม่มีใครตอบคำถามเรดาลล์ หลังจากรับชมเหตุการณ์จนจบ ฮารามิคกล่าว

“โบราณสถานลับของจักรพรรดิโลหิต… และมีคนจำนวนมากถูกส่งเข้าไป… เมื่อนำสองสิ่งนี้มาประกอบกัน ฟังดูไม่น่าจะเป็นเรื่องที่ดีสักเท่าไร”

“ต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่อยู่แล้ว!” เรดาลล์พยักหน้าเห็นพ้อง “รีบไปที่นั่นกันเถอะ!”

อาเรียนน่ามองไปรอบๆ และกล่าวอย่างสุขุม

“เรื่องนี้เกี่ยวพันกับราชวงศ์และกษัตริย์ พวกเจ้าควรได้รับอนุญาตจากสันตะสำนักเสียก่อน”

ในบริบทของเทวทูตตนนี้ สันตะสำนักหมายถึงประมุขของศาสนา ขณะเดียวกันก็ยังหมายถึงสำนักงานใหญ่ของโบสถ์ หรือไม่ก็ศูนย์กลางอำนาจทั้งหมด

“ตกลง” อาร์ชบิชอปทั้งสองมอบคำตอบโดยไม่ลังเล

ผ่านไปสักพัก ‘เจ้าพิธีกรรม’ เรดาลล์·วาเลนไทน์และฮารามิค·ไฮเดินได้รับการตอบสนองจากสมบัติปิดผนึกที่พวกมันพกพา ร่วมกันกับแอนโทนีและอาเรียนน่า พวกมันมุ่งหน้าไปยังโบราณสถานที่โจนาส·โคลเกอร์เพิ่งเข้าไป

อาเรียนน่าหยิบตราสัญลักษณ์สีดำเหล็กที่มีลวดลายซับซ้อนออกมาถือ ตามด้วยการกระตุ้นกลไก

เธอไม่พยายามปลอมตัวหรือแปลงโฉม ทำเพียงยืนอย่างสุขุมราวกับไม่กังวลว่าคนคุ้มกันด้านในจะรู้จักว่าเป็นใคร

เมื่อเห็นพฤติกรรมของบริวารอำพรางรายนี้ ฮารามิคทำหน้าครุ่นคิด ส่วนเรดาลล์ยังคงปิดปากเงียบราวกับว่านั่นไม่ใช่ปัญหา

ภายในโบราณสถานใต้ดิน บนฐานะโลหะแปลกประหลาด แสงสว่างสีฟ้าอ่อนสว่างขึ้นและก่อตัวเป็นรูปทรงประตู

คนคุ้มกันสี่คนในชุดเกราะสีดำสนิทรีบหันมาจับตามองสถานการณ์ด้านนอก เตรียมใช้วิธีการเฉพาะตัวเพื่อยืนยันว่า ผู้ที่อัญเชิญ ‘ประตูเทเลพอร์ต’ ปลอมตัวมาหรือไม่ และพวกตนควรเปิดประตูไหม

ทว่า พวกมันกลับมองไม่เห็นสิ่งใดเลย พื้นที่ด้านนอกทั้งโล่งและว่างเปล่า

ขณะพวกมันกำลังทวีความสับสนและกระสับกระส่าย ร่างหนึ่งถูกวาดขึ้นด้านหลัง ไม่ใช่ใครนอกจากหัวหน้าผู้บำเพ็ญตนแห่งโบสถ์รัตติกาล อาเรียนน่าผู้สวมเสื้อคลุมเรียบง่ายแต่มีรอยซ่อมแซม

เพียงพริบตา คนคุ้มกันทั้งสี่เข้าสู่ภวังค์หลับลึก โดยมีแอนโทนี เรดาลล์ และฮารามิคตามเข้ามาในโบราณสถานทีละคน

พวกมันไม่ได้เดินไปตามถนนตรงๆ เพื่อผ่านห้องโถง แต่เป็นการลอยกลางอากาศและมองจากมุมสูง

โลกภายในปกคลุมด้วยความมืดเป็นส่วนใหญ่ มีเพียงแสงเล็กน้อยเล็ดลอดมาจากตะไคร่น้ำประหลาดและไฟจากสิ่งก่อสร้างขนาดเท่ามนุษย์อาศัย

อาศัยแสงสว่างเหล่านั้น ต่อให้ไม่ใช่ผู้วิเศษที่มีเนตรมองกลางคืนก็ยังสามารถเข้าใจโครงสร้างเบื้องต้นของอาคารขนาดมหึมาหลังนี้:

ด้านหนึ่งเป็นกำแพงหินสีเทา ขยายขึ้นไปด้านบนจนมองไม่เห็นจุดจบ ประหนึ่งเชื่อมต่อกับพื้นดิน ส่วนอีกด้านเป็นหุบเหวลึกที่มองไม่เห็นก้น ราวกับเป็นนรกที่พวกปีศาจชอบอาศัย ถนนปูด้วยแผ่นหินลาดยาวผ่านทั้งสองฝั่ง เชื่อมต่อห้องโถงและอาคารอื่นๆ เข้าด้วยกัน มีคนเดินผ่านเข้าออกเป็นครั้งคราวอย่างเงียบเชียบ

ขณะที่อาร์ชบิชอปจากสามโบสถ์หลักเตรียมจับคนที่ผ่านเข้าออกมาสอบปากคำ ถามถึงสถานการณ์ภายใน ทันใดนั้น บุคคลผู้หนึ่งเหาะขึ้นมาจากหุบเขาอันมืดมิดและตรงไปยังเหล่าครึ่งเทพ

ร่างดังกล่าวมีใบหน้าเรียวยาว บนศีรษะสวมผ้าคลุมหัว เหนือริมฝีปากมีหนวดโค้งมนตรงปลาย คิ้วดกหนา ดวงตาใหญ่กว่าคนปรกติเล็กน้อย ดูคล้ายกับไพ่ตัวละครบนหลังไพ่

มันสวมทักซิโด้และผ้าคลุมผืนใหญ่ ปลายรองเท้ายาวมากเป็นพิเศษ การแต่งตัวโดยรวมไม่เข้ากับยุคสมัยปัจจุบันเลยสักนิด ราวกับเป็นสิ่งมีชีวิตจากหลายร้อยปีก่อน

เหล่าอาร์ชบิชอป เช่นแอนโทนีและฮารามิค ล้วนรู้จักอีกฝ่ายเป็นอย่างดี เพราะบุรุษผู้นี้คือเจ้าชายแห่งโซเนีย โกรฟ·ออกัสตัส ครึ่งเทพแห่งราชวงศ์

“พวกคุณเข้ามาได้ยังไง?” โกรฟเป็นฝ่ายเปิดปาก สีหน้าค่อนข้างประหลาดใจ

หลังจากทุกคนมองหน้ากัน แอนโทนีเริ่มพูดก่อน

“พวกเราสืบสวนเกี่ยวกับคดีการหายตัวไปอย่างลึกลับมานานแล้ว ในระยะหลังเริ่มจับตามองโจนาส·โคลเกอร์แห่ง MI9 เป็นพิเศษ และจากเขา เราจึงได้พบที่นี่”

สีหน้าโกรฟเปลี่ยนไปเล็กน้อย จากนั้น มันจ้องสตรีที่ทำให้หัวใจทุกดวงสงบนิ่ง รวบรวมคำพูดสักพักก่อนจะถาม

“มาดามอาเรียนน่า?”

“ใช่… ข้ารับผิดชอบคดีการหายตัวไปของผู้คน” อาเรียนน่าตอบห้วน

เจ้าชายโกรฟยิ้มขื่นขม

“พวกเราโลภเกินไป หลังจากค้นพบโบราณสถานแห่งนี้ ทางเราคิดเพียงแต่จะขุดค้นและรวบรวมสมบัติภายใน… เพื่อให้เป็นความลับ พวกเราตัดสินใจร่วมมือกับนิกายแม่มด รวบรวมคนจำนวนมากเพื่อสร้างทางเดินและประกอบพิธีกรรมบางอย่าง… อย่าได้เข้าใจผิดไป ไม่ใช่อย่างที่พวกคุณคิด ผมหมายถึงพิธีกรรมทั่วไป และทุกคนยังมีชีวิตอยู่ภายในโบราณสถาน… หากไม่เชื่อ พวกคุณสามารถตามผมลงไปด้านล่างเพื่อดูให้เห็นกับตา นอกจากอาคารและผนึกที่ยังไม่ถูกเปิดออกมาสำรวจ ที่นี่ก็ไม่มีอะไรเลย”

ได้ยินคำตอบ แอนโทนี ฮารามิค และเรดาลล์ต่างมองหน้ากันและพบความคลางแคลงในดวงตาอีกฝ่าย

นี่ไม่ใช่ท่าทีตอบสนองที่พวกมันคาดหวัง! ผิดไปจากที่คิดโดยสิ้นเชิง!

เหตุการณ์ตรงหน้าทำให้ทุกคนสงสัยว่า พวกตนเข้าใจผิดกันไปเองหรือไม่ และสถานการณ์อาจไม่ได้ร้ายแรงอย่างที่เข้าใจ

ทันใดนั้น อาเรียนน่ากล่าว

“พวกเจ้ายังสร้างโศกนาฏกรรมมหาหมอกควัน”

“ผิดแล้ว” เจ้าชายโกรฟส่ายหน้า “นั่นเป็นบทเรียนที่พวกเราได้รับจากการร่วมมือกับแม่มด… พวกหล่อนพยายามครอบงำเอ็ดซัคและใช้เขายึดครองอาณาจักร… หลังจากถูกพวกเราจับได้ นิกายแม่มดจึงสร้างมหาหมวกควันขึ้น และนับแต่นั้นเป็นต้นมา พวกเราก็ตัดขาดความร่วมมือถาวร”

กล่าวจบ มันชี้ลงด้านล่างและพูด

“แค่จะเก็บซ่อนความลับของโบราณสถานจักรพรรดิโลหิต พวกเราจำเป็นต้องสร้างโศกนาฏกรรมที่ใหญ่ขนาดนั้นเชียวหรือ? ตราบใดที่พวกคุณลงไปสำรวจอย่างละเอียดด้วยตัวเอง ทุกคนจะเข้าใจความหมายที่ผมต้องการจะสื่อ… หึหึ ไม่ต้องกังวล มาดามอาเรียนน่าก็อยู่ที่นี่ด้วย ทุกกับดักล้วนไร้ผล นอกจากนั้น ต่อให้พวกเราแข็งแกร่งพอที่จะฝังทุกคนไว้ในโบราณสถาน แต่ทางศาสนจักรต้องพบความผิดปรกติแน่ ผมเมื่อเชื่อว่าพวกคุณจะบุกเข้ามาที่นี่โดยไม่รายงานสันตะสำนักก่อน… หากไม่มีใครกลับไป พวกเขาต้องมีการตอบสนองทันทีแน่”

ครึ่งเทพอย่างเรดาลล์และแอนโทนีครุ่นคิดสักพักก่อนจะหันไปมองอาเรียนน่าที่แต่งกายเรียบง่าย

อาเรียนน่าพยักหน้าสุขุม

“ตกลง”

จากนั้น หนึ่งเทวทูตและสามนักบุญต่างลงไปยังส่วนลึกของโบราณสถานภายใต้การนำทางของเจ้าชายโกรฟ พวกมันพบอีกหนึ่งโบราณสถานภายในความมืดมิดซึ่งไม่มีใครย่างกรายเข้าไป รวมถึงชายหญิงจำนวนมากที่ถูกสอนให้ประกอบพิธีกรรมต่างๆ อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย

อาเรียนน่า ฮารามิค และครึ่งเทพที่เหลือต่างทำตามสัญชาตญาณตัวเอง แยกย้ายกันไปสำรวจในแต่เขต แม้กระทั่งไปยังเขตไกลๆ เพื่อรวบรวมข้อมูล แต่ก็ยังไม่พบความผิดปรกติใดๆ

หลังจากได้รับสัญญาณจากอาเรียนน่า ไคลน์แปลงโฉมโจนาส·โคลเกอร์ให้เป็นคนรับใช้ในคฤหาสน์ เป็นการทำให้รองผอ. MI9 รายนี้หายไปอย่างไร้ร่องรอย

ถัดมา มันประกอบพิธีกรรมอย่างไม่รีบร้อน ส่งวัตถุเพิ่งได้รับเข้าไปในมิติหมอกเพื่อทำการวิจัยในอนาคต จากนั้นก็รอให้ฟ้าสว่างอย่างอดทน

……………………………………

Lord of the Mysteries

Lord of the Mysteries

ป็นเรื่องราวการข้ามโลกของหนุ่มชาวจีนนามว่า โจวหมิงรุ่ย โลกใบที่ชายคนนี้ต้องเผชิญมีลักษณะคล้ายคลึงกับยุควิกตอเรียของยุโรป ยุคสมัยแห่งจักรกลไอน้ำเฟื่องฟู สุภาพบุรุษขุนนางเดินขวักไขว่ด้วยสูทและเสื้อกั๊กมาดเท่ แน่นอน เป็นโลกที่มีพลังพิเศษ ผู้วิเศษ และ สัตว์วิเศษ แต่พลังของมนุษย์บนโลกจะไม่เหมือนกับนิยายเรื่องใด ไม่มีจอมยุทธ์ ไม่มีการบังเอิญพบคำภีลับและได้ครอบครองยอดเคล็ดวิชา ไม่ได้เกิดใหม่พร้อมกับพลังสุดโกง ไม่เลย ไม่น่าเบื่อและจืดชืดขนาดนั้น ในอดีตกาล เผ่าพันธุ์มนุษย์อันต่ำต้อยมิอาจต่อสู้กับเหล่าสัตว์วิเศษในตำนานไหว หนึ่งในหนทางครอบครอง ‘พลังพิเศษ’ ก็คือการดื่ม ‘โอสถ’ หลังจากมนุษย์ดื่มโอสถและกลายเป็น ‘ผู้วิเศษ’ พวกเขาจะข้ามขีดจำกัดเดิมตามแต่ชนิดโอสถที่ดื่ม ผู้วิเศษในโลกแบ่งออกเป็น 9 ลำดับ โดยลำดับ 9 จะอ่อนแอที่สุด หนทางอัพเกรดลำดับก็แสนพิลึก ไม่ใช่การพัฒนาพลังเหมือนนิยายเรื่องใด แต่เป็นการดื่ม ‘โอสถ’ ที่ ‘ถูกต้อง’ ตามสูตรของลำดับถัดไป พลังพิเศษไม่สามารถข้ามสายได้ โอสถแต่ละชนิดจะมีสูตรการปรุงที่แตกต่าง แถมการฝึกฝนพลังของผู้วิเศษก็ยังพิสดารเหนือคำบรรยาย เรื่องราวจะยิ่งเข้มข้นขึ้นเมื่อตัวเอกเริ่มทราบว่า อดีตมหาจักรพรรดิของโลกเมื่อร้อยปีก่อนเป็น ‘ผู้เดินทางข้ามโลก’ เหมือนกับเขา แถมยัง… เหลือทิ้งไดอารี่สุดสำคัญไว้ให้ชนรุ่นหลัง แต่ไดอารีถูกเขียนด้วยภาษาจีนที่ไม่มีใครอ่านออกแม้แต่คนเดียว… ยกเว้นโจวหมิงรุ่ย With the rising tide of steam power and machinery, who can come close to being a Beyonder? Shrouded in the fog of history and darkness, who or what is the lurking evil that murmurs into our ears? Waking up to be faced with a string of mysteries, Zhou Mingrui finds himself reincarnated as Klein Moretti in an alternate Victorian era world where he sees a world filled with machinery, cannons, dreadnoughts, airships, difference machines, as well as Potions, Divination, Hexes, Tarot Cards, Sealed Artifacts… The Light continues to shine but mystery has never gone far. Follow Klein as he finds himself entangled with the Churches of the world—both orthodox and unorthodox—while he slowly develops newfound powers thanks to the Beyonder potions. Like the corresponding tarot card, The Fool, which is numbered 0—a number of unlimited potential—this is the legend of “The Fool”.

Comment

Options

not work with dark mode
Reset