วางปากกาในมือลง ไคลน์ถอดลูกตุ้มวิญญาณออกจากข้อมือซ้ายและถือไว้ด้วยมือขวา นำปลายจี้บุษราคัมจ่อกับกระดาษเขียนประโยคทำนายในสภาพเกือบสัมผัส
“เอ็ดวิน่าเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวในหนังสือเล่มนี้” ไคลน์หลับตาลงพร้อมกับพึมพำประโยคทำนายเสียงแผ่ว
ครบเจ็ดครั้ง ชายหนุ่มลืมตา จ้องจี้บุษราคัมที่กำลังหมุนตามเข็มนาฬิกา
กล่าวอีกนัยหนึ่ง คำตอบออกมาเป็น ‘ใช่’ พลเรือโทธารน้ำแข็งอยู่ในหนังสือ ‘การเดินทางของกรอซาย’ !
เป็นโลกภายในหนังสือจริงด้วย… นอกจากนั้นยังเป็นโลกซึ่งมีสภาพแวดล้อมพิเศษ หากไม่มีคนใหม่เข้าร่วม เนื้อหาก็จะไม่คืบหน้า… ไคลน์พยักหน้าเล็กน้อย ม้วนจี้บุษราคัมกลับที่เก่า หยิบปากกาหมึกซึมสีแดงจากด้านข้างขึ้นมาเขียนประโยคทำนายใหม่
“วิธีเข้าไปใน ‘การเดินทางของกรอซาย’ ”
คราวนี้เป็นเทคนิคทำนายฝัน ท่ามกลางโลกมายาสีเทา ชายหนุ่มมองเห็นร่างของกลุ่มบุคคลจำนวนหนึ่ง
บ้างมีร่างกายใหญ่โตมโหฬาร บ้างผอมบาง จุดที่เหมือนกันก็คือ ทุกคนล้วนถือหนังสือเล่มเล็กซึ่งปกทำมาจากกระดาษหนังสีน้ำตาล
ฉากถัดไปเป็นการเปลี่ยนแปลงที่แตกต่างกันสองแบบ แบบแรกคือกลุ่มที่ถือ ‘การเดินทางของกรอซาย’ ไว้กับตัวและอันตรธานหายไปอย่างเงียบงัน อีกแบบหนึ่งคือกลุ่มที่วางหนังสือไว้ด้านข้างและหายตัวไปอย่างกะทันหันเมื่อเลือดของตนบังเอิญหยดใส่ปก!
ฉากความฝันแตกละเอียด ไคลน์ลืมตาขึ้นพลางมองไปบนโต๊ะทองแดงยาวซึ่งมีร่องรอยเก่าแก่ ขมวดคิ้วเล็กน้อยพร้อมกับเริ่มถอดรหัสความฝัน
หากต้องการเข้าไปใน ‘การเดินทางของกรอซาย’ จำเป็นต้องสัมผัสกับหนังสือเป็นเวลานาน หรือไม่ก็หยดเลือดของตัวเองลงบนปก?
แบบนี้ไม่ง่ายไปหน่อยหรือ… ไม่สิ มันคงไม่ซับซ้อนอะไรนัก ทหารโลเอ็นในเรื่องเคยเป็นแค่คนธรรมดามาก่อน ไม่เคยมีความรู้ด้านศาสตร์เร้นลับ แต่ด้วยความช่วยเหลือจากพวกพ้อง เขาค่อย ๆ พัฒนาตัวเองจนกระทั่งกลายเป็น ‘อัศวินวินัย’ … หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง วิธีการเข้าไปในหนังสือต้องไม่ซับซ้อน เพราะแม้แต่คนธรรมดาก็ยังทำได้…
สำหรับกลุ่มคนที่พยายามค้นคว้าก่อนหน้านี้ รวมถึงพลเรือโทธารน้ำแข็ง พวกเขาล้วนมีความรู้ในเชิงศาสตร์เร้นลับกว้างขวาง ย่อมตระหนักว่ามิอาจใช้เลือดของตนทดสอบส่งเดช เพราะนั่นไม่ต่างกับการรนหาที่ตาย เฉกเช่นพิธีกรรมทำนายด้วยกระจกวิเศษซึ่งจะไปกระตุ้นความสนใจของตัวตนลึกลับและทรงพลังเข้า… เป็นเหตุผลว่าทำไมถึงไม่เกิดความผิดปรกติกับกลุ่มคนที่พยายามตรวจสอบมัน…
นอกจากนั้น ในกรณีของเอ็ดวิน่า เธอเก็บรักษา ‘การเดินทางของกรอซาย’ ไว้ในห้องของสะสมตลอดเวลา สัมผัสโดยตรงไม่บ่อยครั้ง… จนกระทั่งเมื่อไม่กี่วันก่อน เธอตัดสินใจนำมันออกมาค้นคว้าบางสิ่ง จึงเกิดการสัมผัสอย่างยาวนานจนเข้าเงื่อนไขของหนังสือ?
ไม่ผิดแน่… แม้กระทั่งกระจกวิเศษอาโรเดสก็ยังมองว่าหนังสือเล่มนี้ไม่ธรรมดา อดีตเจ้าของหายสาบสูญเป็นจำนวนมาก แถมยังสงสัยว่าจะเกี่ยวพันกับตระกูลมังกรและ ‘เลฟซิด’ เมืองแห่งปาฏิหาริย์… เมื่อหนังสือเล่มนี้ถูกกระตุ้นให้ทำงาน มันสามารถเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมรอบตัวได้ในระดับหนึ่ง ลบร่องรอยที่เกี่ยวข้องทิ้งไปจนหมด ส่งผลให้เจ้าของคนก่อน ๆ ไม่พบความผิดปรกติในตัวหนังสือ จึงไม่เกิดความคิดที่จะตรวจสอบ…
อดีตเจ้าของที่หายสาบสูญอาจมีจำนวนมากกว่าตัวละครภายในเรื่อง แต่เกิดเสียชีวิตระหว่างทางจากอุปสรรค จึงมิอาจสลักชื่อไว้ในการเดินทาง…
ไคลน์สลัดความคิดปัจจุบันทิ้ง ลงมือทำนายเพื่อค้นหาวิธีออกจาก ‘การเดินทางของกรอซาย’
ในคราวนี้ ท่ามกลางโลกมายาสีเทา ชายหนุ่มมองเห็นพายุหิมะเกรี้ยวกราดและร่างหนึ่งซึ่งกำลังยืนบนยอดภูเขาน้ำแข็ง
ร่างดังกล่าวคือมังกรตัวใส สูงเกือบห้าเมตรในท่ายืนสี่ขา รูปร่างใกล้เคียงกิ้งก่า ใบหน้าอัปลักษณ์ ดวงตาสีฟ้าซีด หางหนาและใหญ่ แผ่นหลังมีปีกขนาดมหึมาคู่หนึ่งที่ราวกับจะปกคลุมท้องฟ้าหากสยายออกจนสุด
เกล็ดตามลำตัวคล้ายกับทำจากน้ำแข็ง ส่องแสงระยิบระยับ เป็นส่วนที่งดงามที่สุดบนร่างกาย
ทันใดนั้น มังกรที่ดูเหมือนกับก้อนน้ำแข็งยักษ์ชูคอพร้อมกับยกตัวขึ้น แผดเสียงคำรามดังทะลุผ่านพายุหิมะหนาแน่น
ในสภาพยืนสองขา มังกรตัวใสมีส่วนสูงกว่าสิบสองเมตร
ราชาแห่งแดนเหนือ… มังกรน้ำแข็ง… ไคลน์ออกจากความฝัน ใช้ปลายนิ้วเคาะที่วางแขน
ฉากในความฝันชวนให้ตีความได้ว่า :
กุญแจสำคัญในการออกจาก ‘การเดินทางของกรอซาย’ อยู่ที่ราชาแห่งแดนเหนือ!
สมมติฐานแรกของไคลน์ มังกรน้ำแข็งตัวดังกล่าวต้องถูกโค่น เป้าหมายของตัวเอกนามว่า ‘กรอซาย’ จึงจะลุล่วง และเมื่อเนื้อเรื่อง ‘จบบริบูรณ์’ ตัวละครทั้งหมดก็จะถูกส่งออกจากหนังสือ
ยังมีอีกหนึ่งวิธีที่เป็นไปได้… พลังของเราก็อาจทำลาย ‘กำแพง’ ซึ่งกีดขวางระหว่างโลกในหนังสือและโลกความจริง… อาศัยประสบการณ์อันโชกโชน ไคลน์ผุดไอเดียหนึ่งสำหรับการทดลอง
ก่อนอื่น ชายหนุ่มหยิบไพ่จักรพรรดิมืดทางขวามือขึ้น ผสานเข้ากับร่างวิญญาณของตัวเอง
เพียงพริบตา ร่างกายไคลน์ถูกปกคลุมด้วยชุดเกราะสีดำ เหนือศีรษะสวมมงกุฎหนัก บรรยากาศรอบตัวสง่างามน่าเกรงขาม มอบความรู้สึกยิ่งใหญ่จนคนทั่วไปไม่กล้าสบตา
ถัดมา ชายหนุ่มกระตุ้นพลังภายในมิติลึกลับเหนือสายหมอกเทาจนถึงขีดสุด ควบคุมพวกมันให้เคลื่อนไหวตามใจนึก
เมื่อเห็นฉากตรงหน้า ไคลน์ไม่ลังเลที่จะกวักมือเรียก ‘คทาเทพสมุทร’ จากกองขยะ แผ่พลังวิญญาณเข้าไป
อัญมณีสีน้ำเงินบนหัวคทากระดูกค่อย ๆ สว่างขึ้นทีละเม็ด ส่องแสงพราวพรายระยิบระยับ
สายฟ้าสีเงินจำนวนมากผุดขึ้นจากความว่างเปล่า ปกคลุมพระราชวังเหนือสายหมอกอันโอ่อ่าและสง่างาม ประหนึ่งท้องทะเลแห่งสายฟ้าคำราม
ท้ายที่สุด ไคลน์อาศัยคุณลักษณะในเชิง ‘สะกด’ และ ‘สมดุล’ ของพลังจักรพรรดิมืด ควบคุมมวลพลังของมิติหมอกซึ่งกำลังไหลเวียน ถ่ายเทพวกมันเข้าไปในพายุสายฟ้า
ครืน!
กลุ่มสายฟ้าเส้นหนาเริ่มมารวมตัวเหนือสายหมอก ก่อนที่แต่ละเส้นจะพุ่งผ่าลงมายัง ‘การเดินทางของกรอซาย’ ในรูปแบบหลากหลาย บ้างโจมตีพร้อมเพรียง บ้างเรียงรายตามติด
แสงสว่างอันเจิดจ้าปกคลุมพระราชวังสง่างามจนชวนให้แสบตา กินเวลานานไม่ต่ำกว่ายี่สิบวินาที
รอจนกระทั่งเหตุการณ์สงบ ไคลน์มองไปทางเป้าหมาย พบร่องรอยความเสียหายบนโต๊ะทองแดงยาวหลายจุด แต่หนังสือ ‘การเดินทางของกรอซาย’ กลับปราศจากรอยขีดข่วน มีเพียงรอยยับตรงมุมเล็กน้อย
ทรงพลังกว่าที่คิด… นั่นสินะ วัตถุที่สามารถสร้างโลกอีกใบย่อมไม่ธรรมดาอยู่แล้ว… การลงทุนซื้อเจ้านี่ในราคาแปดพันปอนด์ไม่ใช่เรื่องขาดทุนเลยสักนิด เราสามารถใช้เป็นโล่สำหรับป้องกันการโจมตีจากตัวตนระดับ ‘นักบุญ’ ได้เป็นอย่างน้อย ข้อเสียเดียวก็คือ ขนาดของมันเล็กเกินไป มิอาจปกปิดร่างกายได้มิดชิด… ขณะกระแสความคิดแล่นผ่านสมองไคลน์ โต๊ะทองแดงยาวกลับคืนสู่สภาพเดิมอย่างรวดเร็ว
ในเมื่อมิอาจฝืนใช้พลังทำลาย ‘กำแพง’ ที่ขวางกั้นระหว่างโลกในหนังสือและโลกความจริง ทางเลือกเดียวของไคลน์คือการเข้าไปด้วยวิธีการปรกติ
คงต้องกรีดเลือดออกมาจำนวนหนึ่ง นำขึ้นมาที่นี่และป้ายลงบนปก จากนั้นก็เข้าไปด้วยร่างวิญญาณพร้อมกับ ‘ไพ่จักรพรรดิมืด’ และ ‘คทาเทพสมุทร’ … คราวนี้ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกนาสต์ ราชาแห่งห้าห้วงสมุทร ตรวจพบพลังจักรพรรดิมืด หมอนั่นคงมิอาจหยั่งถึงสิ่งที่อยู่ภายในโลกของหนังสือได้ และไม่น่าจะบุกเข้าไปได้เช่นกัน… แต่ปัญหาคือ หากช่วยชีวิตพลเรือโทธารน้ำแข็งสำเร็จ เธอจะทราบทันทีว่าเกอร์มัน·สแปร์โรว์คือจอมโจรวีรบุรุษจักรพรรดิมืด…
ไม่สิ ยังมีปัญหาที่สำคัญกว่านั้น… หากเข้าไปด้วยร่างวิญญาณ ร่างเนื้อของเราจะยังค้างอยู่ในห้องกัปตันของฝันทองคำ… เรายังไม่รู้ว่าเวลาในโลกหนังสือเดินไปเร็วแค่ไหน หลายวันอาจผ่านไปโดยไม่รู้ตัว หากเป็นเช่นนั้นจริง อาจเกิดอันตรายกับร่างเนื้อได้ทุกเมื่อ… คงตลกไม่น้อยถ้าเราช่วยเอ็ดวิน่าสำเร็จ แต่ร่างจริงของตัวเองกลับหายไปแทน… ไคลน์ปัดตกแนวคิดที่จะนำร่างวิญญาณเข้าไป
ชายหนุ่มยังไม่ไว้ใจลูกเรือฝันทองคำขนาดนั้น เช่นเดียวกันกับแอนเดอร์สัน นักล่าที่แข็งแกร่งที่สุด
หลังจากลองทำนายถึงโอกาสสำเร็จหากเข้าไปช่วยเอ็ดวิน่า ไคลน์พบว่าพลังทำนายของตนล้มเหลว จึงนั่งครุ่นคิดสักพักก่อนจะส่งตัวเองกลับสู่โลกความจริง นำ ‘การเดินทางของกรอซาย’ ตามออกมาด้วยขั้นตอนไม่ซับซ้อน ลบร่องรอยพิธีกรรมทิ้งอย่างหมดจด
มองออกไปยังท้องฟ้าด้านนอกหน้าต่าง ไคลน์เดินไปทางประตูห้องกัปตัน ปลดกลอนและเปิดประตู
‘นักชิม’ บลู·โวลส์ ‘นักร้อง’ ออร์ฟิอุส และคนที่เหลือต่างกำลังยืนรอด้วยสีหน้าคาดหวัง ไม่ขาดใครไปแม้แต่คนเดียว กระทั่งลูกเรือธรรมดาก็ยังแอบชะโงกหน้ามองจากบันได
“ได้เบาะแสบ้างไหม” บลู·โวลส์โพล่งถาม แต่มันไม่ได้ยินเสียงตัวเอง เพราะทุกคนด้านนอกต่างถามในสิ่งเดียวกัน
ไคลน์ชำเลืองสายตา พยักหน้ารับเล็กน้อย
เพียงพริบตา ชายหนุ่มได้ยินเสียงถอนหายใจอย่างโล่งอกดังมาจากทุกจุด บรรยากาศเป็นไปอย่างตื่นเต้นและชื่นมื่น
ถ้าวันหนึ่งเราหายตัวไป จะมีคนคอยเป็นห่วงแบบนี้บ้างไหม… ไคลน์เรียบเรียงคำพูดและหันไปกล่าวกับเดนิส
“ฉันต้องการผู้ช่วย”
กล่าวจบ ชายหนุ่มเดินกลับเข้าห้อง ตรงไปทางโต๊ะอ่านหนังสือ
“ตกลง!” เดนิสรีบเดินตาม ลงกลอนประตูอย่างชำนาญ
“ให้ฉันทำอะไรบ้าง” เพลิงพิโรธถามด้วยสีหน้ากระตือรือร้น ราวกับกำลังจินตนาการถึงฉากที่ตนช่วยชีวิตกัปตันสำเร็จ
ไคลน์ที่ยืนข้างโต๊ะอ่านหนังสือ กล่าวเสียงขึงขัง
“หลังจากนี้จะมีแต่อันตราย… อันตรายอย่างมาก”
“อันตรายอย่างมาก…” เดนิสเคี้ยวคำ
“นายอาจหายไปตลอดกาล หรือไม่ก็ตายโดยไม่รู้ตัว” ไคลน์เล่าผลลัพธ์เลวร้ายที่สุดที่อาจเกิดขึ้น
ได้เห็นชายเสียสติอย่างเกอร์มัน·สแปร์โรว์ทำหน้าจริงจัง เดนิสเข้าใจถึงความร้ายแรงของสถานการณ์ทันที จิตใจพลันดำดิ่งและสับสน
“อันตรายที่ว่า… เกี่ยวกับความปลอดภัยของกัปตันไหม?”
“เกี่ยวข้องโดยตรง” ไคลน์ตอบกระชับ
เดนิสเงียบงันสักพัก สีหน้าค่อนข้างซับซ้อน
“ถ้าไม่ทำ… จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง”
“กัปตันของนายอาจติดอยู่ที่นั่นตลอดไป หรือไม่ก็ตายในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า” ไคลน์เล่าความจริงทั้งหมด
เดนิสพะงาบปากขึ้นลง แต่มิได้กล่าวคำใด
สายตาเพลิงพิโรธเหม่อลอยราวสองสามวินาที ก่อนจะหันกลับมาทางเกอร์มัน·สแปร์โรว์และกัดฟันพูด
“มาเริ่มกันเลย… แม่เย็*!” เดนิสสบถกับตัวเองเสียงค่อย
ไคลน์หยิบกระดาษและปากกาบนโต๊ะ เขียนโน้ตบางอย่างลงไปและพับกระดาษเป็นสี่เหลี่ยม ยื่นให้เดนิส
“เก็บสิ่งนี้ไว้ในกระเป๋า ค่อยเปิดอ่านหลังจากเข้าไป”
“เข้าไป?” เดนิสถามด้วยน้ำเสียงฉงน
ขณะซักถาม มันใช้มือรับกระดาษโน้ตตามจิตใต้สำนึก สอดเก็บไว้ในกระเป๋ากางเกง
ไคลน์ไม่ตอบ เพียงชี้ไปทาง ‘การเดินทางของกรอซาย’ บนโต๊ะอ่านหนังสือและกล่าว
“นำเลือดของตัวเองป้ายลงบนปก”
นี่มัน… เดนิสซึ่งเริ่มคาดเดาบางสิ่งได้ เอื้อมมือไปหยิบกริชทองแดงด้านข้างพร้อมกับพยักหน้า
“ตกลง!”
………………………………………………………..