ครุ่นคิดสักพัก ไคลน์ที่หาคำตอบไม่ได้ พบว่านิมิตลางสังหรณ์ของตนมิได้แจ้งเตือนอันตรายจากวัตถุดังกล่าว จึงตัดสินใจเก็บผลึกโลหิตเข้ากระเป๋า ตามด้วยการก้มตรวจสอบจิลเซียสในร่างปีศาจที่ศีรษะหายไปครึ่งหนึ่ง
สภาพแบบนี้จะแลกค่าหัวได้หรือ และถ้าได้ จะได้เท่าไร? เราไม่รู้ว่าใครเป็นนายหน้าให้กับทางการที่นี่… ส่งโทรเลขไปหาออส·เคนท์? กว่าข้อความจะไปถึงและกลับมา กว่าอีกฝ่ายจะสะสางงานทางไกลเสร็จ คงใช้เวลาไม่ต่ำกว่าสี่วัน แต่เราต้องออกเดินทางพรุ่งนี้… เหนือสิ่งอื่นใด แบบนั้นเราต้องเสียค่านายหน้าหลายทอด… ชายหนุ่มพึมพำเงียบ เดินไปด้านข้าง ก้มหยิบหมวกผ้าไหมตรงกึ่งสูงที่มีรอยไหม้ขึ้นมาสวม
จากนั้นก็ลากศพปีศาจร่างใหญ่ที่มีน้ำหนักมาก เดินไปทางประตูห้อง เหยียดแขนผลักประตูเปิด
สายลมโหยหวนพลันพัดผ่าน ทำลายความเงียบงันภายในตัวอาคาร
ไคลน์กดข้อนิ้วเพื่อปิดเนตรด้ายวิญญาณ ดำเนินการลากศพปีศาจที่น่าขนลุกและขยะแขยงผ่านทางเดิน ผ่านบันได ลงไปถึงชั้นล่าง
ในเวลานี้ ไม่มีใครหลงเหลืออยู่ในผับ โต๊ะเก้าอี้ล้มระเนระนาด เศษสิ่งของหล่นเต็มพื้น เต็มไปด้วยสภาพความยุ่งเหยิง
ไคลน์ผ่านบันไดที่พังยับเยิน เดินเข้าไปในห้องโถงหลัก กวาดตามองรอบตัวสักพักจนพบเจ้าของร้านที่ซ่อนตัวอยู่หลังเคาน์เตอร์ ใบหน้าค่อนไปทางเศร้าเสียใจ มีบอดี้การ์ดสองสามคนกระจายตัวอยู่ไม่ห่าง
กึก กึก กึก… ชายหนุ่มย่างสามขุม ศพปีศาจด้านหลังกระแทกโต๊ะและเก้าอี้จนเกิดเสียง
“ค…คิดจะทำอะไร?” เจ้าของร้านผงะถอยหลัง ถามเสียงสั่นเครือ
เหล่าบอดี้การ์ดรีบเดินมารายล้อมด้วยท่าทีสั่นระริก ดวงตาแยกชำเลืองไปคนละทิศละทาง คล้ายกับหากเกิดอะไรขึ้น ทุกคนพร้อมเผ่นหนีด้วยความเร็วสูงสุด
ไคลน์หยุดฝีเท้า โยนร่างจิลเซียสลงด้านหน้า
ตามด้วยกล่าวเสียงทุ้มลึก
“ขึ้นค่าหัวได้ไหม”
เจ้าของโรงแรมนิ่งไปสักพัก ก้มมองตามสัญชาตญาณ พบศพปีศาจร่างใหญ่ที่ยังมีละอองเปลวเพลิงสีฟ้าหลงเหลือ
มันและบอดี้การ์ดสูดลมหายใจเข้าพร้อมกัน รู้สึกราวกับตนกำลังอยู่ในโลกมายามากกว่าความเป็นจริง
ไม่ผิดแน่ นี่คือปีศาจ!
ขาดเพียงเขาแพะทรงโค้ง ที่เหลือล้วนตรงตามคำอธิบายของปีศาจในตำนานและพระคัมภีร์ของศาสนจักรทุกประการ!
สำหรับมนุษย์ธรรมดาที่อาศัยอยู่ในแดนสวรรค์แห่งโจรสลัด การได้เห็นพลังเหนือธรรมชาติไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ สำหรับคนที่นี่ ความรู้ในเชิงศาสตร์เร้นลับของพวกมันสูงกว่าชาวอาณานิคมโอลาวีและชาวเมืองชนเผ่าดั้งเดิมพอสมควร แต่ถึงอย่างนั้น ทั้งเจ้าของและบอดี้การ์ดต่างก็ไม่เคยเห็นปีศาจตัวจริงมาก่อน ถึงขั้นเคยสงสัยว่า วลี ‘ปีศาจ’ ของศาสนจักรอาจถูกสร้างขึ้นเพียงเพื่อตราหน้าผู้วิเศษนอกรีต
เจ้าของร้านชักสายตากลับด้วยสีหน้าหนักใจ จ้องไปทางนักผจญภัยหนุ่มในสภาพเสื้อผ้าขาดวิ่นและสีหน้าเย็นชา
“ขึ้นเงินได้… พ…พวกเขาคงมีวิธีตรวจสอบว่านี่คือจิลเซียส… เป็นจิลเซียสใช่ไหม?”
ไคลน์พยักหน้ารับพลางแอบโล่งใจ
เจ้าของร้านยังคงครุ่นคิดต่ออีกสองสามวินาที เผยรอยยิ้มเจือความกลัว
“แต่ไม่มีทางขึ้นเงินได้เต็มจำนวน นายคงทราบดีอยู่แล้ว… ค่าดำเนินการราวสามสิบเปอร์เซ็นต์ ไม่อย่างนั้นต้องรอนานมาก เงินเก้าพันห้าร้อยปอนด์ไม่ใช่จำนวนที่น้อย แม้จะเป็นท่าเรือทอสคาร์เตอร์ก็ยังใช้เวลาไม่ต่ำกว่าหนึ่งสัปดาห์… หากเปลี่ยนเป็นโอลาวีหรือเมืองอาณานิคมอื่น การขึ้นค่าหัวจะใช้เวลาไม่ต่ำกว่าสองสัปดาห์ด้วยซ้ำ แต่เพราะที่นี่มีโจรสลัดชุกชุม นักผจญภัยจึงมาขึ้นค่าหัวบ่อย เงินสดสำรองที่เตรียมไว้จึงมากกว่า”
แน่นอน เก้าพันห้าร้อยปอนด์ไม่ใช่เงินก้อนเล็ก ไคลน์ยังไม่ลืมว่า สมัยเคยทำงานอยู่ที่เมืองทิงเก็น งบประมาณของเหยี่ยวราตรีจะตกเพียงเดือนละหนึ่งพันปอนด์ แถมยังหารกันจ่ายโดยศาสนจักรและกรมตำรวจ
ชายหนุ่มครุ่นคิดสักพัก ส่งเสียงถามเจ้าของผับ
“รู้จักฉันไหม”
“ร…รู้” เจ้าของผับรีบพยักหน้าลนลาน
ไคลน์เหลือบมองทุกคน ซักถามต่อไป
“รู้ใช่ไหมว่าฉันพักอยู่ที่ไหน”
“ร…รู้” เจ้าของผับไม่กล้าโกหก
ไคลน์ ‘อืม’ ในลำคอและกล่าวขึงขัง
“พรุ่งนี้ก่อนเที่ยง นำเงินหกพันปอนด์ไปส่งให้ถึงมือ”
หกพันปอนด์? น้อยกว่าเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์เสียอีก… มีส่วนต่างราวหกร้อยปอนด์… เจ้าของผับผงะเล็กน้อย คาดไม่ถึงว่านักผจญภัยเสียสติจะเป็นฝ่ายยอมลดราคาให้
“ทำได้ไหม” ไคลน์ถามย้ำ
สำหรับไคลน์ ส่วนที่เกินมาหกร้อยห้าสิบปอนด์คือค่าซ่อมแซมผับ ต้องไม่ลืมว่า ผับเกิดความวุ่นวายและเละเทะเช่นนี้เพราะฝีมือตน แต่ในฐานะนักผจญภัยเสียสติ คำพูดเช่นนั้นมิอาจกล่าวออกไป และไคลน์เชื่อว่าเจ้าของผับไม่ใช่พ่อพระใจบุญ คงจะไม่แบ่งเงินก้อนนี้กับคนอื่น
หลังจากครุ่นคิดเคร่งเครียด เจ้าของผับตอบขึงขัง
“ไม่มีปัญหา!”
แม้ระเบียบราชการจะกินเวลานาน แต่มันก็มิได้กังวล เจ้าของผับเตรียมกู้เงินส่วนหนึ่ง รวมกับเงินออมของตัวเองอีกส่วนหนึ่ง จ่ายค่าหัวในจำนวนที่เกอร์มัน·สแปร์โรว์ต้องการไปก่อน
สำหรับยุคสมัยปัจจุบัน ธุรกิจที่ทำกำไรได้หลายร้อยปอนด์มีไม่มากนัก หากได้โอกาสก็ต้องรีบคว้าไว้!
ไคลน์พยักหน้าไม่กล่าวคำใด หันหลังเดินไปทางประตูผับ
ขณะเข้าใกล้ประตู ชายหนุ่มหยิบเหรียญทองแดงจำนวนหนึ่งออกจากกระเป๋าและโยนลงบนโต๊ะกลมขนาดเล็กด้านข้าง
สิ้นเสียงกริ๊ง เหรียญที่กลิ้งเริ่มสงบ รวมทั้งหมดแปดเพนนี
ระหว่างที่เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น ไคลน์ในเสื้อโค้ทยาวสีดำยังคงไม่หยุดเดินหรือชะลอฝีเท้า ไม่นานก็หายตัวไปจากหน้าประตู
“ข… เขาทำไปเพื่ออะไร?” เจ้าของผับกล่าวด้วยสีหน้าฉงน
บอดี้การ์ดส่วนใหญ่ส่ายหน้า เป็นนัยว่าไม่ทราบถึงจุดประสงค์ที่เกอร์มัน·สแปร์โรว์โยนเหรียญ
บอดี้การ์ดคนหนึ่งซึ่งเคยเฝ้าประตูขมวดคิ้วพลางครุ่นคิด ลองคาดเดา
“ตอนที่เข้ามาในผับครั้งแรก เขาขว้างเบียร์ของใครบางคนใส่จิลเซียส… หรือจะเป็นค่าเบียร์แก้วนั้น?”
ทั้งผับเกิดความเงียบงัน แม้เจ้าของผับและบอดี้การ์ดจะยังไม่ปักใจเชื่อคำอธิบายดังกล่าว แต่ภายในใจลึกๆ กลับรู้สึกว่า พฤติกรรมเช่นนี้ช่างสอดคล้องกับความเสียสติของเกอร์มัน·สแปร์โรว์
…
ชุดพังอีกแล้ว ค่าเสียหายเกือบเก้าปอนด์… แต่โชคยังดีที่การลงมือคราวนี้ทำเงินได้มาก… พรุ่งนี้ต้องรีบหาชุดใหม่มาเปลี่ยน… หลังจากหักเลี้ยวเปลี่ยนเส้นถนน ไคลน์หยุดเพื่อตรวจสอบสถานภาพปัจจุบัน
ชายหนุ่มไม่รีบกลับโรงแรม อันดับแรก มันมุ่งหน้าสืบสวนตามข้อมูลที่ได้รับมาจากโมโซน่า หัวหน้าพรรคโลเอ็นใหม่ จนกระทั่งพบกับตำรวจคนที่ถูกติดสินบนด้วยยาเสพติดและช่วยแก๊งอันธพาลทำเรื่องต่ำช้ามากมาย รวมไปถึงการวางแผนฆ่าพยานรู้เห็น หลังจากสื่อวิญญาณเพื่อยืนยันความผิดของอีกฝ่ายจนมั่นใจ ชายหนุ่มปล่อยให้ยุบพองหิวโหยเพลิดเพลินไปกับอาหารสำหรับวันนี้อย่างอิ่มเอม
จัดการเสร็จ ไคลน์นั่งรถม้ากลับโรงแรม กลับเข้าห้องพัก
เตรียมแท่นบูชาเสร็จ ชายหนุ่มประกอบพิธีกรรมเพื่อนำยุบพองหิวโหยและผลึกเลือดเรียวบางเข้าสู่มิติหมอก
ขณะนั่งบนเก้าอี้หัวโต๊ะทองแดงยาว ไคลน์หยิบถุงมือขึ้นมาและปลดปล่อยดวงวิญญาณ ‘นักบวชแสง’ โดยไม่ลังเล
ผู้วิเศษลำดับ 5 รายนี้มีใบหน้าเรียวผอม บุคลิกสง่างาม ท่าทางคล้ายกับคนแก่ใจดี สวมชุดนักบวชสีขาวเรียบง่าย สิ่งแรกที่ดวงวิญญาณทำคือการแสดงความขอบคุณต่อสิ่งมีชีวิตลึกลับผู้ปกครองมิติเหนือสายหมอก
ไคลน์พยักหน้าตอบสนอง จากนั้นก็นำปากกาและกระดาษออกมาเขียนประโยคทำนาย
“สูตรโอสถเส้นทางสุริยันตั้งแต่ลำดับ 7 ขึ้นไป”
เอนหลังพิงพนัก ชายหนุ่มเริ่มใช้เทคนิคทำนายฝันเพื่อสื่อวิญญาณ
โลกสีเทาพลันแปรเปลี่ยน ไคลน์เห็นนักบวชแสงกำลังคลี่ม้วนกระดาษหนังในห้องอ่านหนังสือที่มีแสงแดดส่องถึง บนกระดาษมีสูตรโอสถซึ่งเขียนด้วยภาษาฟุซัคโบราณ :
“ลำดับ 6 ผู้รับรอง”
“วัตถุดิบหลัก :”
“ผลึกรากของต้นคนชราหนึ่งก้อน”
“ขนแพนหางของนกพันธสัญญาวิญญาณห้าเส้น”
“วัตถุดิบเสริม :”
“ยางไม้ของต้นพันธสัญญาวิญญาณหนึ่งร้อยมิลลิลิตร”
“ทานตะวันขอบทองหนึ่งดอก”
“ทานตะวันขอบขาวหนึ่งดอก”
“น้ำสกัดใบเฟิร์นห้าหยด”
หลังจากฉากดังกล่าวหยุดค้างประมาณสองสามวินาที คลื่นน้ำสั่นกระเพื่อมพร้อมกับเปลี่ยนเป็นฉากห้องโถงโอ่อ่าซึ่งมีรูปปั้นทองคำเรียงราย
ภายในโถงใหญ่ บุรุษซึ่งรายล้อมด้วยแสงสว่างเจิดจ้าจนไม่มีใครกล้าสบตา ก้มมองชายสูงอายุพลางกล่าว
“นี่คือสูตรโอสถนักบวชแสง… จงจำให้ขึ้นใจ… ขับไล่ความมืดมิด สรรเสริญดวงสุริยัน”
ชายชรารับไปด้วยสีหน้าตื่นเต้น บรรจงคลี่ม้วนกระดาษในมือ
“ลำดับ 5 นักบวชแสง”
“วัตถุดิบหลัก :”
“หงอนสีแดงของราชาระการุ่งอรุณ”
“ศิลาเจิดจรัสบริสุทธิ์หนึ่งก้อน”
“วัตถุดิบเสริม :”
“โรสแมรี่ห้ากรัม”
“น้ำส้มมือสีทองเจ็ดหยด”
“น้ำศิลาสิบมิลลิลิตร”
“เลือดของราชาระการุ่งอรุณหกสิบมิลลิลิตร”
“พิธีกรรม : ท่ามกลางความมืดมิดโดยสมบูรณ์ ฝังร่างตัวเองลงในก้อนน้ำแข็งที่ไม่ละลายตามปรกติ จากนั้นก็ดื่มโอสถ”
ฉากฝันเลือนหายอย่างรวดเร็ว เนื้อหาทั้งหมดจบลงเท่านี้
ไคลน์ไม่ประหลาดใจสักเท่าไร มันทราบดี หากเป็นโอสถระดับตั้งแต่ครึ่งเทพขึ้นไป เจ็ดโบสถ์หลักมักเตรียมโอสถและพิธีกรรมให้เสร็จสรรพโดยไม่แจ้งสูตรเป็นลายลักษณ์อักษร
ในปัจจุบัน ร่างวิญญาณของนักบวชแสงเริ่มเลือนรางหลังจากจิตถูกฝืนสื่อวิญญาณ
สีหน้าที่เคยเจ็บปวดบรรเทาลงหลายส่วน ศีรษะเงยขึ้น กางแขนออกด้วยท่าทางที่คล้ายกำลังโอบกอดดวงอาทิตย์
“สุริยันจงเจริญ!” นักบวชแสงหลับตาลง กล่าวด้วยน้ำเสียงเปี่ยมศรัทธา
นั่นคือประโยคสั่งลา ร่างวิญญาณของมันเริ่มกระจัดกระจายปะปนกับสายหมอก จนกระทั่งเลือนหายโดยสมบูรณ์
ผู้ศรัทธาเคร่งครัด… ไคลน์ถอนหายใจพลางพึมพำ นำสิ่งที่เห็นในความฝันมาจดเป็นสูตรลงบนกระดาษหนัง
หนึ่งในวัตถุดิบหลักของผู้รับรองคือผลึกรากของต้นคนชรา… ถ้าจำไม่ผิด นักจิตบำบัดของมิสจัสติสก็ใช้ผลของต้นคนชรา… บางทีเส้นทาง ‘ผู้ชม’ และ ‘สุริยัน’ อาจสลับกันได้ในลำดับสูง… พิธีกรรมของนักบวชแสงค่อนข้างยุ่งยากสำหรับคนธรรมดา การหาน้ำแข็งที่ไม่ละลายไม่ใช่เรื่องง่าย แต่สำหรับเดอะซันน้อย ความยุ่งยากจะเป็นประเด็นอื่นมากกว่า… ชาวดินแดนเทพทอดทิ้งอาจหายตัวไปหากอยู่ใน ‘ความมืด’ เป็นเวลานาน… เราคงต้องค่อยๆ คิดหาวิธีแก้ไขปัญหาอย่างใจเย็น… อา… แก่นของเทคนิคสวมบทบาทคือการ ‘ขจัดความมืด สรรเสริญสุริยัน’ สินะ… หลังจากใคร่ครวญ ไคลน์หยิบผลึกเลือดเรียวยาวที่เกิดจากศพจิลเซียสขึ้นมาถือ
ชายหนุ่มครุ่นคิดหลายวินาที เขียนประโยคทำนายอย่างรัดกุม
“ที่มาของสิ่งนี้”
ในสภาพถือผลึกและกระดาษ ไคลน์พึมพำประโยคทำนายเสียงแผ่วหนแล้วหนเล่าจนกระทั่งเข้าสู่ความฝัน
ท่ามกลางโลกสีเทา ชายหนุ่มเห็น ‘แจ้งมรณะ’ เรือใบลำใหญ่ที่ปลายหัวท้ายยกสูง และเห็นจิลเซียสกำลังปืนบันไดขึ้นไปบนดาดฟ้า
ในวินาทีที่ผู้ปลดปล่อยแรงกระหายวางเท้าลง หมอกดำพลันพวยพุ่งจากช่องว่างของพื้นดาดฟ้าเรือ กลิ่นความชั่วร้ายคละคลุ้งเข้มข้น โอบกอดร่างจิลเซียสไว้อย่างสมบูรณ์ มลพิษดังกล่าวกัดกร่อนทุกสิ่งที่ส่องแสงบนตัวจิลเซียส รวมถึงร่างกายของมันด้วย
หมอกดำเริ่มหดตัวอย่างรวดเร็ว ควบแน่นลอยเข้าไปในหน้าอกของจิลเซียสพร้อมกับค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงประหนึ่งคราบเลือด
จนกระทั่งสถานการณ์กลับเป็นปรกติ จิลเซียสคุกเข่าลงหนึ่งข้าง หันหน้าไปทางดาดฟ้าเรือและกล่าว
“เจตจำนงของท่านคือเจตจำนงของข้า ท่านมหาแจ้งมรณะ!”
ความฝันแตกสลาย ไคลน์ลืมตาตื่น
ชายหนุ่มนั่งตัวตรง เพ่งไปยังผลึกโลหิตพลางพึมพำด้วยสีหน้าครุ่นคิด
“แจ้งมรณะมีชีวิต? สมบัติปิดผนึกที่มีสัญญาณชีพ? ผลึกก้อนนี้ใช้สำหรับควบคุมเหล่าลูกเรือ เต็มไปด้วยมลพิษร้ายแรง ส่งผลให้สมบัติวิเศษระดับต่ำล้วนถูกกัดกร่อนจนเสียหาย?”
……………………………………