บางอย่างแปลกๆ? ไคลน์เริ่มสัมผัสถึงลางร้าย แต่ภายนอกยังคงถามอย่างใจเย็น
“จับได้อะไร?”
“ปลาที่มีนิ้วอยู่ในท้อง!” โดยไม่ปล่อยให้เกอร์มัน·สแปร์โรว์ถามต่อ แฟรงค์รีบวิ่งออกไปนอกห้องอาหารและกลับมาในเวลาไม่นาน ในมือถือปลาประหลาดตัวสีน้ำเงินเข้ม
ความยามของปลาอยู่ในเกณฑ์ปรกติ ดวงตามีเปลือกตาครอบเหมือนมนุษย์ ช่องท้องถูกผ่าออกจนมองเห็นสามนิ้วชุ่มเลือดด้านใน
“ฉันไม่ได้เป็นคนใส่เข้าไป มันมีอยู่ตั้งแต่แรกแล้ว! พิจารณาจากปากของมัน นิ้วมือพวกนี้ไม่น่าจะเป็นอาหาร หมายความว่าต้องงอกขึ้นมาเองจากภายใน! แต่ฉันยังหาคำตอบไม่ได้ว่า นิ้วพวกนี้ส่งผลอย่างไรกับตัวปลาบ้าง” แฟรงค์รีบเล่าสมมติฐาน
ไคลน์ชำเลืองปลาด้วยหางตา กล่าวหลังจากใคร่ครวญ
“อาจถูกใครบางคนยัดเข้าไปก็ได้”
“ก็อาจจะใช่… ถ้าเป็นแบบนั้น มันก็ไม่ใช่ปลาประหลาด…” แฟรงค์ผงะเล็กน้อย สีหน้าเผยความผิดหวังชัดเจน “นิ้วมือประกอบด้วยเลือดและเนื้อ… ฉันจะไปถามฮีธ เขาเชี่ยวชาญเรื่องนี้”
ขณะกล่าว แฟรงค์กวาดตามอง พบฮีธ·ดอยล์กำลังนั่งหลบมุมกินอาหาร
แฟรงค์รีบขยับเข้าไปใกล้ ปลาประหลาดสีน้ำเงินเข้มถูกวางบนลงหน้า ‘ผู้ไร้เลือด’
ฮีธ·ดอยล์เหยียดแขนออก วางมือลงบนตัวปลาพร้อมกับขยับใบหน้าเข้าไปใกล้
เห็นฉากตรงหน้า แฟรงค์พลันตระหนักว่ามีบางสิ่งไม่ถูกต้อง
มันรีบตอบสนอง ฉีกยิ้มกว้างละกล่าว
“อย่ากิน! นี่ไม่ใช่อาหารของนาย แล้วอีกอย่าง นายกินปลามากเกินไปแล้ว ถึงขั้นที่กลิ่นคาวปลาโชยหึ่งออกจากร่างกาย… สิ่งที่ฉันอยากถามก็คือ นิ้วในท้องปลาคืออะไร ใครเป็นเจ้าของพวกมัน?”
ฮีธ·ดอยล์หยุดการนำใบหน้าเข้าไปใกล้ มอบคำตอบหลังจากตรวจสอบเล็กน้อย
“เป็นของบิชอปกุหลาบ… อย่างน้อยก็ต้องระดับบิชอปกุหลาบ”
มันนำนิ้วทั้งสามออกมาวาง กองรวมกันในสภาพชุ่มเลือด
ผ่านไปสักพัก นิ้วทั้งสามเริ่มละลายคล้ายเทียนไข กลายเป็นบ่อเลือดเนื้อเหนียวข้น
เลือดเนื้อยุบพองสักพัก จนกระทั่งก่อตัวเป็นอักษรสีแดงสว่างบนโต๊ะอาหารใจความว่า :
“ช่วยด้วย!”
นิ้วของบิชอปกุหลาบ… ช่วยด้วย… เห็นภาพตรงหน้า ไคลน์ที่ยืนไม่ห่างเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราว
มันหวนนึกถึง ‘นักบุญมืด’ เลโอมาสต์ในโลกความฝัน!
นักบุญแห่งชุมนุมแสงเหนือรายนี้ติดอยู่ในซากปรักหักพังสักแห่ง เนื่องจากถูกพลังที่หลงเหลือจากเทวทูตหรือเทพสักตนบนเส้นทางผู้ชม แบ่งจิตใต้สำนึกออกเป็นฝ่ายดีและชั่ว จึงถูกกักขังอยู่ที่นั่นเป็นเวลานาน
บุคลิกด้านดีและชั่วเกิดมาเพื่อขัดแย้ง มักกระทบกระทั่งกันภายในใจ และฝ่ายชั่วค่อยๆ กุมความได้เปรียบมากขึ้นทีละนิด ส่งผลให้ฝ่ายดีที่คอยหลบซ่อนอยู่ในใจ พยายามขอความช่วยเหลือ
หมายความว่า นิ้วทั้งสามคือการดิ้นรนจากจิตด้านดีของเลโอมาสต์? พิจารณาจากฐานะของ ‘นักบุญ’ แห่งชุมนุมแสงเหนือ เขาคงผ่านเส้นทางคนเลี้ยงแกะ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีพลังพิเศษของบิชอปกุหลาบ… ไคลน์พยักหน้าพลางครุ่นคิด เชื่อว่าทฤษฎีของตนใกล้เคียงกับข้อเท็จจริง
“ช่วยด้วย? ช่วยยังไง?” แฟรงค์·ลีจ้องเกอร์มัน·สแปร์โรว์ด้วยสีหน้างุนงง
นายต้องไปถามกัปตัน ไม่ใช่ฉัน… ไคลน์ส่ายหน้า
“อย่าไปใส่ใจ… ทะเลแถบนี้มีแต่เรื่องประหลาด”
ชายหนุ่มให้ความเห็นโดยอ้างอิงจากความฝันก่อนหน้า ด้านมืดของเลโอมาสต์ได้เปรียบเหนือด้านดีอย่างมาก หากหวังจะช่วยก็ต้องเตรียมตัวรับมือกับครึ่งเทพ จริงอยู่ว่าอาจมีบุคลิกด้านดีคอยช่วยเหลือ แต่ก็คงลดทอนพลังของ ‘นักบุญมืด’ ได้ไม่มากนัก อีกฝ่ายยังคงแข็งแกร่งระดับครึ่งเทพ
จริงอยู่ ราชินีเงื่อนงำเองก็อยู่บนอนาคตกาล หากเธอยื่นมือช่วยก็ยังมีโอกาสสำเร็จ อย่างไรก็ตาม ถ้าการช่วยบุคลิกด้านดีของเลโอมาสต์เป็นเรื่องง่ายเช่นนั้นจริง ไคลน์เชื่อว่า ‘ราชินี’ คงลงมือด้วยตัวเองไปนานแล้ว สาเหตุที่เธอเพิกเฉย คงเพราะมีอุปสรรคบางอย่างคอยกีดขวาง
ยกอย่างเช่น… จุดที่เลโอมาสต์ถูกขังอยู่ มีพลังซึ่งสามารถ ‘แยกบุคลิก’ ของสิ่งมีชีวิตในละแวกใกล้เคียง จนแม้แต่ราชินีเงื่อนงำก็ไม่กล้าเสี่ยง… กระทั่งในความฝันเลโอมาสต์ เรายังตึงมือจนเกือบตกที่นั่งลำบาก โชคดีที่นำคทาเทพสมุทรออกมาแก้ปัญหาได้… หากพบกันอีกครั้งบนโลกความจริง บุคลิกของเราคงถูกแบ่งแยก กลายเป็นหนึ่งในคนไข้โรงพยาบาลจิตเวช และต้องรักษาโดยการยืมเทียนไขจิตฝันร้ายจากหลวงพ่อยูทรอฟสกี้… ก็ยังมีทางรักษาสินะ… หึหึ อีกวิธีหนึ่งคือการให้มิสจัสติสช่วย แต่ตัวเธอในตอนนี้เธอยังแข็งแกร่งไม่พอ… ระหว่างใช้ความคิด ไคลน์รำพันติดตลก
“เข้าใจแล้ว” แฟรงค์·ลีเชื่อใจเกอร์มัน·สแปร์โรว์ “บางที คนที่ขอความช่วยเหลืออาจจะตายไปแล้วก็ได้”
กล่าวถึงตรงนี้ ดวงตาของมันพลันแวววาว จ้องไปทางฮีธดอยล์และกล่าว
“นายลบตราประทับทางจิตที่หลงเหลือในบ่อเลือดเนื้อนี่ได้ไหม?”
“ได้” ฮีธ·ดอยล์ตอบห้วน
แฟรงค์·ลีฉีกยิ้ม ท่าทางคล้ายกับเด็กอ้วนหนักสองร้อยปอนด์
“ฉันนึกสงสัยในส่วนประกอบเลือดเนื้อของบิชอปกุหลาบมาตลอด… อยากได้ตัวอย่างมาวิจัยทฤษฎีผสมข้ามสายพันธุ์นานแล้ว… ผลลัพธ์จะออกมาเป็นยังไงกันนะ”
แล้วสักวัน นายจะต้องตายเพราะการทดลองของตัวเอง… ช่างเถอะ อีกไม่นานเราก็จะออกจากเรือลำนี้… ไคลน์รู้สึกราวกับอีกฝ่ายเป็นเด็กซนที่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปเล่นในคลังแสง
ฮีธ เจ้าของใบหน้าเกือบโปร่งใส ผงะไปสองวินาที ก่อนจะกล่าวจากใจจริง
“ขอบคุณมาก”
“หือ? เรื่องอะไร?” แฟรงค์เกาศีรษะ เผยใบหน้าฉงน
น่าจะขอบคุณเรื่องที่นายพยายามเก็บงำความอยากรู้อยากเห็นมาตลอด ไม่สติแตกใช้พวกพ้องคนสำคัญเป็นตัวอย่างในการทดลอง… ไคลน์ยกมุมปากเล็กน้อยขณะถอดความนัย พลางคิดว่าระบบสมองของรองกัปตันและผู้ช่วยกัปตันแห่งอนาคตกาลค่อนข้างไม่ปรกติ
…
หมู่บ้านยามบ่าย ภายในซากปรักหักพังวิหาร
นักล่าปีศาจโคลินที่ยืนข้างนักบวชชุดคลุมสีขาว ซักถามเสียงแผ่ว
“เหล่าราชาคือใครบ้าง? อะไรคือหายนะร้ายแรง? ใครเป็นผู้ล่อลวงซาสเรีย?”
แต่คล้ายกับนักบวชไม่ได้ยิน ยังคงก้มต่ำในจุดเดิม สารภาพบาปหนแล้วหนเล่า ประหนึ่งเป็นเพียงภาพตกค้างที่ถูกฉายซ้ำ
ชายคนนี้เป็นวิญญาณอาฆาต ภูตผี หรือวิญญาณมารกันแน่? เดอร์ริคจ้องอย่างกังวล
เมื่อนักล่าปีศาจโคลินไม่เห็นการตอบสนองจากอีกฝ่าย มือขวาเริ่มเหยียดออก ปลายดาบสีเงินที่ฉาบด้วยน้ำมันสีเงินอ่อนขยับเข้าใกล้ทีละนิด
แต่แม้นปลายดาบจะจ่อติดท้ายทอย นักบวชยังคงก้มกราบสำนึกผิด ไม่มีการเปลี่ยนแปลงในอากัปกิริยา
โคลิน·อีเลียดชักดาบเงินกลับ ดวงตาที่ส่องแสงสีเขียวเข้มกวาดไปรอบตัว
จากนั้น มันเดินตรงไปยังแท่นบูชาที่อยู่เยื้องในแนวเฉียง ดวงตาเพ่งมองเทียนไขที่กำลังส่องแสงเหลืองนวล
หลายวินาทีผ่านไปอย่างเงียบงัน จนกระทั่งเจ้าเมืองเหยียดแขนซ้าย ดับเปลวไฟของเทียนไข
ซากเทวรูปกึ่งกลางแท่นบูชาพลันหมองหม่น ชายสวมชุดคลุมสีขาวหยุดการสารภาพบาปทันที
มันเงยศีรษะขึ้นอย่างเชื่องช้า ใบหน้าดำมืด ดวงตาแฝงความอาฆาต
เดอร์ริค ฮาอิม และคนที่เหลือต่างตอบสนองไม่ทัน เนื่องจากนักบวชผู้มากศรัทธาที่หมอบกราบจนถึงเมื่อครู่ พลันพุ่งกระโจนด้วยความเร็วที่สามารถทำให้เกิดภาพตกค้าง
แต่ดูเหมือนนักล่าปีศาจโคลินจะเตรียมพร้อมตลอดเวลา ขยับเท้าขวาเฉียงไปด้านหน้าเล็กน้อย หมุนตัวกลับหลังครึ่งวงกลมพร้อมกับตวัดกวาดดาบเงินในมือ
ในจุดเหนือใบดาบ ประกายแสงพลันสว่างวาบ ก่อตัวเป็นวังวนพายุในพริบตา
พายุแสงบริสุทธิ์เริ่มดูดกลืนทุกสิ่งรอบตัว ส่งให้นักบวชลอยค้างกลางอากาศเล็กน้อย ก่อนจะกลืนกินเข้าไปอย่างสมบูรณ์
พายุสงบลงในเวลาไม่นาน นักล่าปีศาจโคลินยืนจ้องนักบวชที่ถูกแสงรุ่งอรุณซึมซาบเข้าไปในร่างกายอย่างท่วมท้น พลางทวนซ้ำคำถาม
“เหล่าราชาคือใครบ้าง? อะไรคือหายนะร้ายแรง? ใครเป็นผู้ล่อลวงซาสเรีย?”
นักบวชที่ร่างกายเริ่มพร่ามัว มอบคำตอบอย่างเหม่อลอย
“เหล่าราชาคือซาสเรีย โอโรเลอุส เมดีซี และ…”
ขณะกำลังจะเอ่ยชื่อที่สี่ เปลวไฟโปร่งใสพลันลุกท่วมร่างนักบวช!
เพลิงครอกทุกอวัยวะของร่างกาย แผดเผาจนกลายเป็นเพียงแก๊สสีดำ
ดูเหมือนว่า ‘ราชา’ ที่ว่าจะหมายถึงราชาเทวทูต… นามที่สี่เป็นใครกัน ทำไมถึงทำลายตัวเองเพียงเพราะพยายามเอ่ยออกมา? เป็นผู้ที่ล่อลวงซาสเรีย หรือเป็นคนอื่น? เดอร์ริคเต็มไปด้วยคำถาม
เมื่อนักบวชตายไป ถนนด้านนอกรวมถึงหมู่บ้านยามบ่าย พลันมีเสียงคล้ายสัตว์ป่าร้องระงม
เดอร์ริคจ้องไปทางหน้าต่างตามสัญชาตญาณ จนได้พบกับใบหน้าขนาดมหึมา
ณ จุดที่เคยเป็นกระจก นอกจากดวงตาหนึ่งดวง ยังมีขนสั้นดกดำบนใบหน้า
ตึง! ตึง! ตึง! สัตว์ประหลาดที่คล้ายกันพลันพรั่งพรูเข้ามาภายในวิหาร ส่วนสูงเท่ากับมนุษย์ปรกติ แต่ตามลำตัวปกคลุมไปด้วยขนสั้นสีดำคล้ายสัตว์ป่า
“หมู่บ้านที่ถูกกัดกร่อนโดยสมบูรณ์…” โคลินถอนหายใจพลางเผชิญหน้ากับเหล่าสัตว์ประหลาด
เดอร์ริค ฮาอิม และโจชัวรีบประจำตำแหน่งต่อสู้ พยายามหยุดยั้งสัตว์ประหลาดที่เหลือ
…
อนาคตกาลแล่นอย่างสงบสุข เพียงไม่นานก็มาถึงยามค่ำคืนอีกครั้ง
หลังจากตื่นขึ้นในความฝัน ไคลน์พบว่าตัวเองถูกส่งมายังจุดเดิมจากครั้งก่อนหน้า ใกล้กับพลเรือเอกดวงดาวแคทลียา
ขณะชายหนุ่มเตรียมหันไปมองทัศนียภาพของวังราชาคนยักษ์บนภูเขาฝั่งตรงข้าม โดยหวังจะได้พบเบาะแสที่สำคัญ ทันใดนั้น แคทลียาซึ่งกำลังนั่งกอดเข่า ซักถามเสียงล่องลอย
“คุณได้พบกับท่านแล้วหรือ?”
ไคลน์ ‘อืม’ สั้นๆ โดยไม่ปิดบัง
แคทลียาเม้มปาก
“ท่านอยู่บนเรือหรือ?”
“ใช่” ไคลน์หันศีรษะ จ้องพลเรือเอกดวงดาวและกล่าวอย่างเป็นกันเอง “คุณมีสายสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับเธอใช่ไหม”
แคทลียาผู้มิได้กำลังล่องลอยหรือเฉื่อยชา เม้มริมฝีปากแน่น หัวเราะกับตัวเอง
“ใช่… ฉันติดตามท่านตั้งแต่ยังไม่สามขวบ ฮะฮะ! ถึงจะพูดแบบนั้น แต่ฉันแทบไม่มีความทรงจำในช่วงเวลาดังกล่าวเลย… ท่านคอยมอบความรู้ พาฉันออกผจญภัย เฝ้ามองฉันเติบโตทีละนิด ท่านเป็นทั้งกัปตัน อาจารย์ แล้วก็… เป็นเหมือนกับ… แม่…”
ขณะเล่า แคทลียาเงียบไปกะทันหัน
………………………………………..