เหนือมิติหมอก ณ บรมราชวังที่มีเสาหินค้ำจุน
เดอะซัน เดอร์ริค รีบแจ้งประสบการณ์ของตนให้มิสเตอร์ฟูลรับทราบ
เทวทูตมืด ซาสเรีย… ดูเหมือนว่า สมญานามของราชาเทวทูตเหล่านี้จะถูกกระแสแห่งกาลเวลากลบจนมิด แทบไม่มีใครเคยเอ่ยถึง หากไม่เพราะเดอะซันน้อยบังเอิญไปพบเข้า ก็คงไม่มีข่าวคราวหลุดออกมา หากไม่เพราะวิญญาณมารตนนั้นต้องสงสัยว่าจะเป็น ‘เทวทูตสีชาด’ เราคงไม่มีโอกาสได้รู้จักกับราชาเทวทูต และตระกูลอามุนด์ที่เราเคยรู้จักแค่ชื่อ ก็คงไม่ได้ทราบลึกไปถึงปูมหลังที่แท้จริงของ ‘ผู้เย้ยเทพ’ … แล้วนี่ยังมี ‘เทวทูตมืด’ เพิ่มเข้ามาอีก? ยังมีชีวิตอยู่ไหม? เป็นหนึ่งในผู้บริหารระดับสูงของ ‘กุหลาบไถ่บาป’ หรือ? ไคลน์ถอนหายใจด้วยอารมณ์ซับซ้อน
ด้วยเกรงว่าเดอะซันจะถามในสิ่งที่ตอบไม่ได้ ไคลน์หยุดความคิด เอนหลังอย่างผ่อนคลาย
“สถานการณ์ทางเจ้าคลี่คลายแล้ว อีกไม่นาน พวกพ้องจะมาพบตัว”
ขณะกล่าว ชายหนุ่มไม่เปิดโอกาสให้เดอะซันสาธยาย รีบตัดการเชื่อมต่อทันที
ส่วนคำอธิบายของเหตุการณ์ผิดปรกติที่เกิดขึ้น ไคลน์ไม่แม้แต่จะตักเตือนให้เดอร์ริคหาข้ออ้างเตรียมเผื่อไว้
หายตัวไปอย่างลึกลับ ปรากฏตัวอย่างลึกลับ สิ่งเหล่านี้คือเรื่องปรกติ ท่ามกลางสถานการณ์ไม่ปรกติอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?
ขณะเดียวกัน เดอร์ริคเองก็นึกขอบคุณมิสเตอร์ฟูลที่ไม่ถามอะไรมากมาย ด้วยกังวลว่าในยามที่ตนถูกส่งออกจากหมู่บ้านยามบ่าย จะถูกความมืดมิดเข้าครอบงำหรือถูกจ้องมองโดยสัตว์ประหลาดในซอกหลืบ เด็กหนุ่มจึงปรารถนาจะรีบกลับร่างเนื้อโดยเร็ว จะได้ตอบสนองอย่างมีประสิทธิภาพและทันท่วงที อย่างไรก็ตาม หากมิสเตอร์ฟูลตั้งคำถาม มันก็ยินดีจะอธิบายสถานการณ์อย่างใจเย็น
เมื่อจิตถูกส่งกลับร่างเนื้อ เดอร์ริคได้รับประสาทสัมผัสกลับมาทันที
เด็กหนุ่มลืมตาขึ้น พบเทียนไขที่ใกล้หมดตรงหน้าหนึ่งเล่ม เปลวไฟอันอ่อนระทวยกำลังโยกเอนไปตามแรงลม
ถัดมา มันพบว่าเจ้าเมืองกำลังยืนข้างตนได้สักพัก มีฮาอิมร่างยักษ์และโจชัวผู้สวมถุงมือแดงคอยเฝ้าระวังอยู่ด้านหลัง
พวกเขาจ้องเรามานานแค่ไหน… แม้เดอร์ริคจะนึกข้ออ้างดีๆ ได้ขณะอยู่บนมิติหมอก แต่พอถึงเวลาจริงกลับยังตึงเครียดเจือความสำนึกผิด
ใบหน้าที่มีแผลเป็นของโคลินยังคงไร้อารมณ์ มันจ้องหน้าเดอร์ริค·เบเกอร์ พลางซักถามด้วยน้ำเสียงเป็นกันเอง
“จนถึงเมื่อครู่ เกิดอะไรขึ้นกับเจ้าบ้าง?”
เดอร์ริคยังไม่ตอบในทันที ไม่อย่างนั้นจะดูเหมือนว่าคิดข้ออ้างเตรียมไว้ เด็กหนุ่มทำตามเทคนิคที่แฮงแมนเคยสอน จงใจเว้นวรรคหลายวินาที จึงค่อยมอบคำตอบด้วยสีหน้าครุ่นคิด
“ผมเดินเข้ามาในห้องใต้ดิน… พบแท่นบูชา… สงสัยว่ามันอาจจะเป็นแท่นบูชา จึงพยายามวิเคราะห์ตัวหนังสือและสัญลักษณ์ด้านบน จนพบว่าเป็นชื่อของสามบุคคล หนึ่งในนั้นคือเทวทูตโชคชะตา โอโรเลอุส… แต่ทันใดนั้น แสงตะเกียงพลันมอดดับ เมื่อหันหลังกลับไปมอง ฮาอิมและโจชัวก็หายตัวไปแล้ว ผมจึงสร้างแสงสว่างขึ้น เดินสำรวจห้องใต้ดิน สำรวจโถงด้านนอกและพบว่ายังคงมีสภาพเหมือนเดิม จึงลองมองออกไปยังหมู่บ้านยามบ่ายด้านนอก พบว่ายังมีเค้าโครงแบบเดิม แต่กลับมีแสงเทียนสว่างจากหน้าต่างบ้านหลายหลัง เหมือนกับว่า… มีคนอาศัยอยู่… ผมไม่กล้าออกจากบ้าน จึงวกกลับมายังห้องใต้ดิน พยายามทำซ้ำในสิ่งที่เคยทำ… เอ่อ… แล้วก็ ท่านเจ้าเมือง ในหมู่บ้านยามบ่ายแห่งนั้น ตัวอักษรบนแท่นบูชาอยู่ในสภาพสมบูรณ์ แบ่งออกเป็นสามส่วน หนึ่งคือภาษาคนยักษ์ หนึ่งภาษามังกร และอีกหนึ่งคือภาษาที่ผมไม่รู้จัก แต่ความหมายของสองภาษาแรกตรงกัน เป็นพระนามและสมญานามของเทวทูตสามตน รวมถึงชื่อ ‘กุหลาบไถ่บาป’ … หลังจากนั้น ผมพบว่าตัวเองกำลังยืนอยู่ที่นี่”
เด็กหนุ่มเล่าความจริงทั้งหมด แถมยังเกือบสมบูรณ์ เพียงปกปิดความลับที่ทำให้ตนกลับมา
เดอร์ริคไม่กล้าโกหกต่อหน้าเจ้าเมือง และหากอีกฝ่ายซักไซ้อย่างละเอียด ก็จะแสร้งตีมึน ทำเป็นไม่เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้น
การใช้วิธีนี้อาจทำให้เจ้าเมืองเกิดความสงสัย แต่มิสเตอร์แฮงแมนและมิสจัสติสจากเส้นทางผู้ชมเคยกล่าวไว้ว่า อีกฝ่ายจะไม่ซักไซ้เพิ่มเติม พฤติกรรมผิดปรกติของเราจะยิ่งทำให้หกสภาอาวุโสเห็นคุณค่าในตัวเรา เหมาะสำหรับใช้เป็นหมากในการคานอำนาจกับอาวุโสโลเฟียร์… โลกด้านนอกช่างซับซ้อนนัก เราเองก็เคยตามพวกเขาไม่ทัน… เดอร์ริคอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ
สำหรับเมืองเงินพิสุทธิ์ที่ต้องดำรงชีวิตในสภาพแวดล้อมอันเลวร้าย การสูญเสียกำลังรบแม้เพียงน้อยนิดย่อมหมายถึงอันตรายใหญ่หลวง เคยมีเหตุการณ์ในทำนองเดียวเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต แถมยังมีส่วนเกี่ยวพันกับหกสภาอาวุโส ภารกิจลาดตระเวนและสำรวจอย่างต่อเนื่องช่วยให้เหล่าผู้วิเศษของเมืองได้ตระหนักว่า ความร่วมมือคือสิ่งที่สำคัญมาก
โคลินพยักหน้ารับอย่างอ่อนโยน เดินตรงไปยังแท่นบูชา พยายามทำในสิ่งที่เดอร์ริคอธิบาย แต่ชายวัยกลางคนกลับไม่หายตัวไป ยังยืนนิ่งในจุดเดิม
“ดูเหมือนว่า พลังที่หลงเหลืออยู่จะทำหน้าที่ของมันเสร็จแล้ว” นักล่าปีศาจพึมพำ
ผมไม่ได้โกหกจริงๆ นะ… เดอร์ริครำพันอย่างอับอาย
โคลินไตร่ตรองสักพัก เหลือบมองมายังเดอร์ริคด้านข้าง
“เมดีซีกับซาสเรียมีสมญานามว่าอะไร”
“เทวทูตสีชาดและเทวทูตมืดครับ” เดอร์ริคไม่ปิดบัง
โคลินพยักหน้าพลางครุ่นคิด
“ในบันทึกโบราณ มีการเอ่ยถึง ‘เทวทูตสีชาด’ อยู่บ้าง แต่มิได้ระบุนามเอาไว้ ส่วน ‘เทวทูตมืด’ ซาสเรียนั้นเลือนหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์โดยสมบูรณ์”
ขณะเดอร์ริคเตรียมไหลตามน้ำ ซักถามเกี่ยวกับชื่อของราชาเทวทูตที่เหลือ สายตาบังเอิญเหลือบเห็นแสงเทียนไขตรงหน้าทางเข้าห้องใต้ดินสลัวลงอย่างกะทันหัน คล้ายกับเงามืดกำลังพรั่งพรูเข้ามาจากด้านนอก
“รีบออกจากที่นี่กันก่อน” นักล่าปีศาจ โคลิน เริ่มตระหนักได้เช่นกัน จึงกล่าวอย่างเสียงเรียบ
เดอร์ริคที่กำลังถือขวานเฮอร์ริเคน รีบขยับตัวเข้าใกล้ฮาอิมและโจชัว เตรียมตั้งรูปขบวนต่อสู้
ทว่า หลังจากเดินได้ก้าวเดียว เด็กหนุ่มพบว่าฮาอิมถอยหลังเฉียงข้างออกไปสองเมตร โจชัวยกมือซ้ายที่สวมถุงมือแดงขึ้น สีหน้าคนทั้งสองเผยความระแวงโดยไม่ปิดบัง ดวงตาจดจ้องอย่างไม่เกรงใจ
เดอร์ริคย่อมทราบว่าท่าทีเช่นนี้คือเรื่องปรกติ เพราะคาบเรียนภารกิจลาดตระเวนสอนไว้ว่า : หากพวกพ้องเพิ่งหลุดพ้นจากสถานการณ์ประหลาด จงตรวจสอบให้มาก ปฏิสัมพันธ์ให้น้อย!
แถมข้ออ้างในการออกจากหมู่บ้านยามบ่ายของเรายังคลุมเครือ… เดอร์ริคเตรียมอ้าปากอธิบาย แต่ภายหลังกลับตัดสินใจปิดปากเงียบ
เด็กหนุ่มที่รู้สึกละอายและรู้สึกผิด เม้มริมฝีปากแน่น ถือขวานเฮอร์ริเคนเดินตามเจ้าเมือง ออกจากห้องใต้ดินทีละก้าว
กลุ่มของสี่บุรุษมาถึงประตูภายในเวลาไม่นาน แต่ขณะเตรียมเดินออกไป ทุกคนมีอันต้องชะงักเมื่อพบว่าหมู่บ้านยามบ่ายด้านนอก ในจุดที่อาคารสีเทาเรียงรายแนบชิด มีบรรยากาศมืดลงจากปรกติเล็กน้อย
แทบจะในพริบตา หน้าต่างจำนวนมากของบ้านแต่ละหลัง พลันผุดแสงเทียนเล็ดลอดบานแล้วบานเล่า แผ่แสงสีเหลืองนวลที่บ้างก็เชื่อมติด บ้างก็อยู่ห่าง
…
ไคลน์ไม่แช่อยู่บนมิติหมอกนานนัก รีบส่งตัวเองกลับมายังห้องน้ำ เก็บกวาดวัตถุที่เกี่ยวข้อง
หวังว่าเดอะซันน้อยจะไม่เผชิญปัญหาเพิ่มเติม… ไม่อย่างนั้น การแวะเข้าห้องน้ำบ่อยๆ คงไม่ใช่เรื่องดี หากใครฉุกคิดได้ก็คงมองว่าเรามีความลับปกปิด แต่หากใครฉุกคิดไม่ได้คงเชื่อว่าเกอร์มัน·สแปร์โรว์มีปัญหาเกี่ยวกับต่อมลูกหมาก!
แม้ว่าเราจะย่อยโอสถผู้ไร้หน้าเสร็จสมบูรณ์แล้ว แต่ตะกอนพลังของนักเชิดหุ่นโรซาโก้คงยังมีพลังของผู้ไร้หน้าหลงเหลืออยู่… การใช้ตะกอนพลังมาเป็นวัตถุดิบหลัก มีค่าเท่ากับการดื่มโอสถผู้ไร้หน้า โอสถนักมายากล โอสถตัวตลก และโอสถนักทำนายเข้าไปใหม่… หรืออาจจะมากกว่านั้น…
เฮ่อ… คงต้องปฏิบัติตามกฎเก่าๆ อย่างเคร่งครัดไปอีกนาน จะได้รีบย่อยโอสถส่วนเกินให้หมด… ไคลน์สร้างน้ำสะอาดล้างหน้าตัวเอง จึงค่อยเดินออกจากห้องน้ำ
ขณะคิดว่าคงใกล้ถึงเวลาอาหารค่ำและเตรียมหยิบนาฬิกาพกสีทองออกมาเปิดฝาตรวจสอบ ทัศนียภาพพลันดำมืดกะทันหัน เกือบมองไม่เห็นห้านิ้วมือของตน
กลางคืนอีกแล้ว… ระยะห่างไม่แน่นอนสินะ… หากความมืดปกคลุมขณะกำลังต่อสู้กับสัตว์ประหลาด เราควรทำอย่างไร? สัตว์ประหลาดเองก็เป็นสิ่งมีชีวิต ต้องนอนเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นคงหายตัวไปในยามวิกาล… ฮะฮะ! ต่างฝ่ายต่างทิ้งตัวลงนอนระหว่างการต่อสู้ เข้าสู่ดินแดนความฝัน และตื่นมาซัดกันใหม่ในยกที่สอง… ทำไมถึงไม่เคยมีเรื่องแบบนี้บันทึกไว้ในประวัติศาสตร์? ไคลน์ที่ผ่อนคลายลงมากหลังจากเลื่อนลำดับ รำพันกับตัวเองพลางเดินไปที่เตียง
ขณะเตรียมทิ้งตัวลงนอน ชายหนุ่มผุดคำถามในใจ
ค่ำคืนของที่นี่อันตรายมาก หากสิ่งมีชีวิตไม่หลับ จะหายตัวไปอย่างสมบูรณ์สินะ…
และในดินแดนเทพทอดทิ้ง รวมไปถึงเมืองเงินพิสุทธิ์อันมืดมิดและเต็มไปด้วยอันตราย หากมนุษย์ไม่จุดไฟเพื่อขับไล่ความมืด ก็อาจหายตัวไปภายในห้าวินาที… หายไปอย่างสมบูรณ์…
คล้ายกันมาก… มีความเกี่ยวพันไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง?
ไคลน์ส่ายหน้า อาศัยการเข้าฌานส่งตัวเองนอนหลับ
ภายในโลกความฝัน ชายหนุ่มตื่นขึ้นและพบว่าตำแหน่งของตนเปลี่ยนไป!
ครั้งสุดท้ายที่ออกจากความฝัน มันยืนอยู่บนก้อนหินในจุดที่พลเรือเอกดวงดาว แคทลียา กำลังนั่งกอดเข่า แต่ปัจจุบันกำลังอยู่บนขั้นบันไดแห่งหนึ่ง
แสงยามเย็นส่องผ่านกระจกหลากสีสันด้านบน ฉากของบันไดสีดำวนที่เต็มไปด้วยงานแกะสลักนูนต่ำ ช่างดูงดงามตระการตา
ไคลน์มองไปยังด้านข้างตามสัญชาตญาณ และไม่ผิดคาด มันพบราชินีเงื่อนงำกำลังยืนบนขั้นบันไดด้านบน
สตรีเจ้าของเส้นผมสีเกาลัดมิได้สวมกระโปรงทับเหมือนคราวก่อน ร่างกายท่อนบนเป็นเชิ้ตขาวที่มีลูกไม้และริบบิ้นดอกไม้ประดับ สวมทับด้วยเสื้อโค้ทเรียบง่ายสีน้ำเงินเข้ม ร่างกายท่อนล่างยังคงเป็นกางเกงขายาวสีเบจและรองเท้าหนังสีดำ แต่ไคลน์เชื่อว่า ราชินีเงื่อนงำคงมีกางเกงและรองเท้าในทำนองเดียวกันอยู่เต็มราวแขวน หรือเต็มตู้เสื้อผ้า หรืออาจจะเต็มห้องเก็บเสื้อผ้า
“มีอะไรหรือ” ไคลน์ชิงถาม
ราชินีเงื่อนงำจับราวบันไดด้วยมือขวา เดินลงอย่างเชื่องช้า
“ในบางครั้ง ความมั่นใจก็เป็นจุดอ่อน… คุณไว้ใจนกหวีดทองแดงกับนกกระเรียนกระดาษมากเกินไป… สักวัน คุณอาจต้องเผชิญอันตรายด้วยนิสัยนี้”
ไคลน์พลันกระวนกระวาย เพียงแต่ไม่เผยทางสีหน้า
“ผมไม่เข้าใจที่คุณพูด”
“การมั่นใจเกินไป บางทีก็เป็นจุดอ่อน” ราชินีเงื่อนงำทวนซ้ำ “แคทลียาไว้ใจสมบัติปิดผนึกที่เธอมอบให้ฮีธ·ดอยล์เกินไป หากฉันลงมือไม่ทัน นีน่าและแฟรงค์·ลีคงตายไปแล้ว แคทลียาเองก็ด้วย มีเพียงคุณที่รอดชีวิต”
“สมบัติปิดผนึกชิ้นดังกล่าวมิอาจปิดกั้นเสียงเพรียกของน่านน้ำแถบนี้ได้? นั่นคือเหตุผลที่ทำให้ฮีธ·ดอยล์กลายร่าง?” ไคลน์วิเคราะห์ความนัยจากราชินีเงื่อนงำอย่างหลักแหลม
ราชินีเงื่อนงำผงกศีรษะ
“ในสถานการณ์ปรกติ มันสามารถผนึกเสียงเพรียกได้แทบทุกชนิด เพียงแต่คุณทราบหรือไม่ว่า… เสียงเพรียกในทะเลแถบนี้มาจากตัวตนใด?”
โดยไม่รอคำตอบจากไคลน์ หญิงสาวเฉลย
“พระผู้สร้างแท้จริง”
……………………………………………………..