ณ จุดที่ห่างไกลภายในเมืองเปโซต์ อาคารหลังหนึ่งที่สร้างจากหินกำลังตั้งเด่นตระหง่าน เป็นวิหารที่มีลักษณะค่อนข้างหยาบและดูเหมือนจะยังสร้างไม่เสร็จ
จุดที่โดดเด่นและงดงามที่สุดคือแท่นบูชา กึ่งกลางมีไม้กางเขนที่ทำจากไม้และบุคคลตัวสูงที่ถูกแขวนไว้
นักบวชสโนวมันนั่งอยู่แถวหน้าสุดโดยหันหน้าเข้าหาเทวรูป ศีรษะก้มต่ำและดวงตาปิดสนิทพลางเพ่งสมาธิให้กับการสวด
ชายวัยกลางคนรายนี้ดูไม่แก่นัก แต่ใบหน้ามีริ้วรอยเล็กน้อย สวมชุดคลุมสีขาวที่ถูกซักล้างหนแล้วหนเล่า เป็นเจ้าของผมสีน้ำตาลสั้น และตามผิวหนังที่ถูกเผยให้เห็นไม่ว่าจะเป็นท่อนแขน น่อง และปลายเท้า ทุกจุดล้วนเต็มไปด้วยรอยแผลเป็นเก่า
ทันใดนั้นเอง สองชายหนึ่งหญิงเดินเข้ามาจากด้านหน้าวิหาร ฝ่ายชายสวมเสื้อนอกและกางเกงขายาวสีดำในสไตล์ที่แตกต่างจากสภาพแวดล้อมโดยสิ้นเชิง คนหนึ่งสวมเสื้อกั๊กด้านใน สวมหมวกทรงกึ่งสูงและติดโบหูกระต่าย ส่วนอีกคนสวมเพียงเสื้อเชิ้ตสีขาวเรียบง่าย รายแรกมีใบหน้าผอมเพรียวชัดลึก บรรยากาศรอบตัวเย็นชา ส่วนรายหลังมีผมสีดำและดวงตาสีเขียว ใบหน้าค่อนข้างหล่อเหลาและมีบรรยากาศคล้ายนักกวีโรแมนติก
ฝ่ายสตรีสวมเดรสยาวสีขาวที่กระชับในช่วงสะโพก โดยบริเวณข้อมือทั้งสองฝั่งถูกออกแบบให้พองออกมา ช่วงใต้ลำคอมีลายลูกไม้ที่ถูกถักสานอย่างประณีต ใบหน้าสวมหน้ากากสีเงินที่วิจิตร เผยให้เห็นเพียงดวงตาสีเขียวมรกต ดั้งจมูกที่โด่งเป็นสัน และริมฝีปากที่ทาลิปกลอสบางๆ ส่งผลให้ผู้คนอดไม่ได้ที่จะจินตนาการว่าใบหน้าที่ซ่อนอยู่นั้นงดงามเพียงใด
คนกลุ่มนี้ล้วนมีเสน่ห์น่าหลงใหล ไม่น่าจะมองไปที่ใครหรือมองจากมุมใดเป็นพิเศษ ทว่า สาวกของวิหารจำนวนไม่มากที่เดินผ่านไปมากลับไม่มีใครแยแสหรือจ้องมองมา เป็นการเพิกเฉยโดยสมบูรณ์
นี่คือผลลัพธ์ที่ผสมผสานระหว่างพลัง ‘ภาพลวงตา’ และ ‘ล่องหนทางใจ’
ออเดรย์ที่อยู่ในโหมดปฏิบัติการไม่เผยให้เห็นความอยากรู้อยากเห็นบนใบหน้า เพียงกวาดตามองและกล่าวด้วยเสียงอ่อนโยน
“สิ่งนี้สำคัญตอนนี้คือการทำให้มิสเตอร์สโนวมันหลับ ไม่อย่างนั้นพวกเราก็ต้องรอจนกว่าเขาจะเข้านอน”
นั่นหมายความว่าทั้งสามต้องรอให้กลางคืนของโลกใบนี้ย่างกรายมาถึง
“ใจเย็น… ของง่ายๆ” เลียวนาร์ดยิ้มตอบ
เมื่อเทียบกับมิสจัสติสที่ยังมีประสบการณ์ในโลกเหนือธรรมชาติไม่มาก เลียวนาร์ดซึ่งเป็นถุงมือแดงเคยผ่านภารกิจนับไม่ถ้วน มันผ่อนคลายและเยือกเย็นชนิดที่สามารถเล่นมุกตลกกับไคลน์
แน่นอนว่ามันไม่ทราบเรื่องที่มิสจัสติสเพิ่งสะกดจิตครึ่งเทพมา
ไคลน์ชำเลืองอดีตเพื่อนร่วมงาน
“เริ่มเลย”
มันกำลัง ‘พกพา’ ไม้กางเขนเจิดจรัส และนั่นหมายความว่าภายในสามชั่วโมง ไคลน์จะกลับไปเป็นลำดับ 5 โดยมีตะกอนพลังจอมเวทพิสดารที่ถูกขับออกมาจากร่าง นั่นคือเหตุผลที่ชายหนุ่มไม่อยากปล่อยให้เวลาสูญเปล่า
หมอนี่กลับไปเป็นนักผจญภัยเสียสติเลือดเย็นอีกแล้ว… ชิ… เลียวนาร์ดไม่พูดพร่ำ รีบยกแขนขึ้นมาสางผมพร้อมกับการจางลงของประกายแสงในดวงตาสีเขียว
นักบวชสโนวมันที่กำลังสวดมนต์ผล็อยหลับไปอย่างเงียบงัน
นี่คือพลังของฝันร้าย… ออเดรย์พึมพำกับตัวเองพลางเฝ้ามองสถานการณ์ตรงหน้าด้วยดวงตาเปล่งปลั่ง
ที่จริงเธอเคยเห็นพลังของฝันร้ายมาแล้วในปฏิบัติการสั่งสอนไวเคาต์ผีดูดเลือด เออร์เนส·โบยาร์ แต่ตอนนั้นออเดรย์กำลังมีสมาธิกับภารกิจจนมองเห็นภาพรวมได้ไม่ชัดเจนนัก
ทันทีหลังจากนั้น หญิงสาวยกสองมือจับแขนเดอะเวิร์ลและเดอะสตาร์พร้อมกับใช้พลังนักท่องฝันเพื่อนำทั้งสองเข้าไปในโลกแห่งความฝันของสโนวมัน
“ฉันเข้ามาเองได้…” เลียวนาร์ดพึมพำขณะฉากรอบๆ ตัวเปลี่ยนเป็นโลกที่พร่ามัว
ไคลน์และออเดรย์เมินเลียวนาร์ดโดยสมบูรณ์ ต่างคนต่างรีบสำรวจบริเวณรอบๆ เพื่อให้เห็นภาพรวมความฝันของสโนวมัน
ปัจจุบันพวกมันกำลังยืนอยู่ในวิหาร เป็นวิหารที่สง่างามและโอ่อ่าอย่างผิดธรรมชาติ
โดมที่สูงตระหง่านด้านบนถูกค้ำจุนโดยทิวแถวเสาหินขนาดมหึมา แต่นั่นก็มิได้ทำให้ห้องโถงถูกแบ่งออกเป็นส่วนย่อย ยังคงดูกว้างใหญ่ไพศาลอย่างน่าพิศวง
ประตูวิหารทั้งกว้างและสูง เป็นขนาดที่ใหญ่เกินไปแม้แต่กับคนยักษ์เอง สองฝั่งเต็มไปด้วยเทียนไขที่ส่องแสงนวลซึ่งล้วนถูกวางบนถ้วยเงิน
แท่นบูชาตรงหน้าทั้งยิ่งใหญ่และสง่างาม กึ่งกลางแท่นบูชามีไม้กางเขนยักษ์สีเทาอ่อนและเทวทูตของเทพกำลังแบกไม้กางเขน
ใบหน้าของเทวรูปไม่ชัดเจนนัก แต่คล้ายกับกำลังแสดงความสงสารต่อสิ่งมีชีวิตทุกชนิดบนโลก
สโนวมันยังคงทำตัวเหมือนเดิม นั่งอยู่ในแถวหน้าสุดโดยหันหน้าเข้าหาแท่นบูชา ศีรษะก้มต่ำด้วยดวงตาที่ปิดสนิทพลางขยับปากสวดมนต์
“ดูคล้ายกับวิหารร้างในหมู่บ้านยามบ่ายที่เดอะซันน้อยเคยแสดงให้พวกเราเห็น… มีความเป็นไปได้ว่าจะมาจากยุคสมัยเดียวกัน” ออเดรย์พึมพำพลางเลื่อนสายจากไม้กางเขนไปยังอิฐทรงโค้งด้านบน
ขณะเดียวกันหญิงสาวพยายามระงับความอยากรู้อยากเห็นและรักษามาดนิ่งให้มากที่สุด
เดอะซันน้อย? หมอนั่น ‘น้อย’ ตรงไหน? สูงใหญ่กว่าเราตั้งเยอะ… วิหารร้างภายในหมู่บ้านยามบ่าย… เลียวนาร์ดครุ่นคิดพลางรำพัน
ในตอนที่มันเข้าร่วมชุมนุมทาโรต์ ‘เดอะซัน’ เดอร์ริคได้เสร็จภารกิจสำรวจและกลับถึงเมืองเงินพิสุทธิ์นานแล้ว อาจมีการเอ่ยถึงภารกิจสำรวจวังราชาคนยักษ์อยู่บ้าง แต่ก็ไม่เคยแสดงภาพที่เกี่ยวข้องเลยสักครั้ง
“ใช่” ไคลน์ถอนสายตาพลางสนับสนุนคำพูดมิสจัสติส จากนั้นก็กล่าวกับเธอ “พยายามชี้นำความฝันเพื่อให้เขาเปิดเผยข้อมูลสำคัญภายในจิตใต้สำนึก ยิ่งเกี่ยวข้องกับราชาเทวทูตมากเท่าไรก็ยิ่งดี”
หน้าที่นี้สามารถทำได้ทั้งฝันร้ายและนักท่องฝัน แต่เหตุผลที่ไคลน์บอกให้มิสจัสติสทำก็เพราะต้องการให้เธอย่อยโอสถ ต้องไม่ลืมว่าเลียวนาร์ดผ่านจุดนั้นมานานแล้ว นอกจากนั้นหากเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับจิตใต้สำนึก ผู้วิเศษเส้นทางผู้ชมจะมีความชำนาญมากกว่าและสามารถลงมือได้แม่นยำและมีประสิทธิภาพมากกว่า
ทันใดนั้นเลียวนาร์ดเริ่มตั้งข้อสงสัย
พลังของมิสจัสติสเกี่ยวข้องกับขอบเขตความฝัน…
หรือกล่าวได้ว่าเธอเลื่อนขั้นกลายเป็นลำดับ 5 นักท่องฝันเรียบร้อยแล้ว!
ไม่เร็วไปหน่อยหรือ? เลียวนาร์ดแอบตั้งคำถามอย่างคลางแคลง
ในวันแรกที่เข้าร่วมชุมนุมทาโรต์ มันยังจดจำคำพูดของมิสจัสติสได้แม่นยำ เธอเพิ่งจะเลื่อนลำดับเป็นนักสะกดจิตได้ไม่ถึงหนึ่งเดือน และจากตอนนั้นถึงตอนนี้เพิ่งผ่านมาได้ไม่ถึงสามเดือน
แม้ว่าวัตถุดิบทั้งหมดจะหาได้จากชุมนุมทาโรต์ แต่ลำพังการย่อยโอสถให้เสร็จภายในสี่เดือนก็นับว่ายอดเยี่ยมมากแล้ว… สมองเลียวนาร์ดกำลังประมวลผลอย่างหนัก ในฐานะผู้วิเศษลำดับ 5 และหัวหน้าหน่วยถุงมือแดงซึ่งเป็นอาวุโสระดับค่อนข้างสูงของโบสถ์ ศักดิ์ศรีและความโอหังของมันกำลังสั่นคลอนอย่างหนัก
ขณะความคิดเลียวนาร์ดกำลังพลุ่งพล่าน ออเดรย์พยักหน้าเล็กๆ และทำตามคำสั่งโดยการเดินไปยืนข้างสโนวมัน
คลื่นกระเพื่อมมายาเริ่มหมุนวนในดวงตาสีเขียวมรกต โดยคลื่นดังกล่าวจมลึกเข้าไปในดวงตาที่ดูราวกับไร้ก้นบึ้งคู่นั้น
ความผันผวนที่มองไม่เห็นพลันบังเกิด แท่นบูชาด้านหน้าวิหารเริ่มพร่ามัวกะทันหัน
แท่นบูชาอันงดงามรวมทั้งไม้กางเขนและเทวรูปเกิดการบิดเบี้ยวสักพักก่อนจะคลายตัวกลับคืนพร้อมกับส่องแสงและเงาที่ไม่เข้มข้นเกินไป
ฉากรอบตัวพลันแปรเปลี่ยน กลายเป็นยอดเขาที่มีไม้กางเขนขนาดยักษ์ตั้งสูงตระหง่าน ด้านหน้าไม้กางเขนมีตัวตนอันยิ่งใหญ่ซึ่งถูกรายล้อมด้วยแสงออร่าหลายชั้นกำลังยืนเด่นสง่า
เหล่าเทวทูตสองปีก สี่ปีก และหกปีกต่างบรรเลงแตร พิณ หรือไม่ก็ขลุ่ยพลางขับขานบทเพลงและบินวนเวียนรอบตัวตนอันยิ่งใหญ่ดังกล่าว
เหล่าเทวทูตเจ้าของปีกสิบสองคู่ซึ่งมีรูปลักษณ์พร่ามัวกำลังรวมตัวไม่ห่างจากบุคคลอันยิ่งใหญ่ บางส่วนอยู่บนพื้นด้านข้างบุคคลผู้นั้นและเอนกายพิงขา เผยให้เห็นเจตนาของการพึ่งพิงและยอมศิโรราบ บางส่วนลอยอยู่ทั้งสองฝั่งซ้ายขวาและรอรับคำสั่งจากพระองค์
ไคลน์เคยเห็นฉากเหล่านี้มาแล้วและทราบว่าบุคคลที่อยู่ใจกลางคือเทพสุริยันบรรพกาล ส่วนเหล่าเทวทูตเจ้าของปีกสิบสองคู่คือราชาเทวทูต
ทันใดนั้นสโนวมันลืมตาขึ้นและมองมาทาง ‘จัสติส’ ออเดรย์ ตามด้วยกล่าวเสียงเคร่งขรึมประหนึ่งกำลังสอน
“มีเพียงวิญญาณที่บริสุทธิ์โดยแท้จริงเท่านั้นจึงจะสามารถรับใช้พระองค์… นั่นคือเป้าหมายที่ข้าไล่ตามมาทั้งชีวิต… ข้าเห็นพระองค์กำลังยืนเด่นสง่าท่ามกลางออร่าแสงอันไร้สิ้นสุด ความเมตตาของพระองค์กำลังแผ่ขยายไปทั่วสวรรค์และโลกมนุษย์ รอบกายพระองค์มีเหล่าราชาทั้งแปดกำลังรายล้อม… เทวทูตมืดคือเทวทูตตนแรกที่พระองค์สร้างขึ้น เปรียบดั่งหัตถ์ซ้ายของพระองค์และมีอำนาจบนสวรรค์เป็นรองพระองค์เพียงผู้เดียว… เทวทูตจินตภาพคือบุตรชายคนโตของพระองค์ ท่านทรงตรัสว่า ‘ในอนาคตที่แสนห่างไกล เจ้าจะกลายเป็นผู้มาโปรดของทุกชีวิต’ … เทวทูตกาลเวลาคือบุตรชายคนที่สองของพระองค์ ท่านทรงตรัสว่า ‘เจ้าคือเทพแห่งความเจ้าเล่ห์ เทพแห่งการกลั่นแกล้ง และจะเป็นแสงสว่างในยามที่วันโลกาวินาศมาถึง’ … เทวทูตสีขาว เทวทูตวายุ และเทวทูตโชคชะตาคือเหล่าศิษย์ที่ซื่อสัตย์ของพระองค์ พวกท่านมีนิสัยหนักแน่น กล้าหาญ เคร่งครัดในกฎระเบียบนับตั้งแต่ตอนที่ยังอ่อนแอจนถึงแข็งแกร่ง… เทวทูตปัญหาได้รับการละเว้นบาปเนื่องจากท่านกลับใจและผ่านขั้นตอนการชำระล้าง ตรงข้ามโดยสิ้นเชิงกับผู้ที่มีอันต้องร่วงหล่นหลังจากกินผลแห่งบาปเข้าไป… เทวทูตสงครามคือตัวแทนความพิโรธและการลงทัณฑ์ของพระองค์ การปรากฏกายบนพื้นดินของท่านหมายถึงสงครามกำลังจะเริ่มขึ้น…”
ดูเหมือนว่านักบวชคนนี้จะไม่เคยไปเยือนอาณาจักรของเทพสุริยันบรรพกาลเลยสักครั้ง รวมถึงไม่เคยเห็นราชาเทวทูตกับตาตัวเองมาก่อน สิ่งที่เพิ่งเล่ามาล้วนเป็นเนื้อหาจากพระคัมภีร์ของศาสนา… กล่าวอีกนัยหนึ่งเรื่องที่มันเล่าคือสิ่งที่คนทั่วไปในยุคนั้นรับรู้… พิจารณาจากเนื้อหา เทวทูตมืดซาสเรียคือหัวหน้าราชาเทวทูตอย่างที่คิด แถมยังได้รับความไว้วางใจจากเทพสุริยันบรรพกาลอย่างมากจนมีอำนาจลำดับสองของสวรรค์… แต่ในท้ายที่สุดตัวตนระดับนี้กลับถูก… อา… ล่อลวง… ชักอยากรู้แล้วว่าท่านลงเอยเช่นไร และทำไมถึงไม่มีร่องรอยใดๆ เลยจวบจนปัจจุบัน… ไคลน์ที่ได้ฟังคำอธิบายจากสโนวมันเริ่มมองเห็นภาพรวมของเหล่าราชาเทวทูต
แต่ไคลน์เองก็คาดไม่ถึงในเรื่องนี้เทพสุริยันบรรพกาลจะทำนายไว้ว่า อาดัมคือผู้มาโปรดของทุกชีวิต สิ่งนี้ทำให้มันรู้สึกฉงนพอสมควร
นี่คือเรื่องราวของราชาเทวทูตทั้งแปด… เลียวนาร์ดเองก็ตั้งใจฟังอย่างมาก เพราะพาลีส·โซโรอาสเตอร์ไม่เคยเล่าลงลึกรายละเอียดมาก่อน ข้อมูลทั้งหมดเป็นความลับจากสมัยโบราณโดยแท้จริง เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนมหาภัยพิบัติ
ออเดรย์นั้นเคยเห็น ‘จิตรกรรมฝาผนัง’ ที่สามราชาเทวทูตกัดกินพระผู้สร้างของเมืองเงินพิสุทธิ์มาแล้ว เมื่อมีภาพที่สอดคล้องกัน เธอสามารถนำไปเชื่อมโยงกับสุริยันเจิดจรัส วายุสลาตัน และเทพปัญญาความรู้ได้ทันที จึงมิได้แตกตื่นมากนักกับสิ่งที่เพิ่งได้ยิน เพียงหันไปมองเดอะเวิร์ลและเดอะสตาร์พลางตีความอย่างใจเย็น:
“จากสิ่งที่มิสเตอร์สโนวมันเล่าให้ฟัง มีเพียงเทวทูตมืดเท่านั้นที่ถูกสร้างขึ้น ส่วนสามราชาเทวทูตอย่างสีขาว วายุ และโชคชะตาคือศิษย์ที่คอยติดตามรับใช้เทพสุริยันบรรพกาลตั้งแต่สมัยที่ยังอ่อนแอ… อา… อ่อนแอในที่นี้คงเป็นลำดับ 4… ส่วนเทวทูตปัญญานั้นน่าจะเป็นคนนอกที่เพิ่งเข้าร่วมในภายหลัง… บางทีอาจย้ายมาจากฝั่งตรงข้าม”
เมื่อได้ยินคำกล่าวของมิสจัสติส ไคลน์ฉุกคิดถึงชื่อหนึ่งทันที นั่นคือมังกรแห่งปัญญาที่เมืองเงินพิสุทธิ์เคยเอ่ยถึง เฮราเบอร์เก้น
จากนั้นมันพยักหน้าเป็นนัยให้มิสจัสติสดำเนินการต่อ
หลังจากสโนวมันท่องพระคัมภีร์อีกสองสามข้อ มันเปลี่ยนสีหน้าและกล่าวอย่างเคร่งขรึม
“ในมุขมณฑลของเรามีพวกนอกรีตที่นับถือรัตติกาลแฝงตัวเข้ามา! เหล่าราชามีคำสั่งให้กำจัดทิ้ง”
…………………..