Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ – ราชันเร้นลับ 652 : เบาะแสของนางเงือก

ราชันเร้นลับ 652 : เบาะแสของนางเงือก

นักล่าที่แข็งแกร่งที่สุด… ไคลน์พลันผงะกับฉายาของอีกฝ่าย แต่หลังจากครุ่นคิดสักพักก็ไม่พบว่าแอนเดอร์สันมีค่าหัว

หมายความว่า สิ่งที่แอนเดอร์สัน·ฮู้ดเล่าในความฝันคือเรื่องจริง มันสนใจการล่าสมบัติมากกว่า!

น่าเสียดายที่เกอร์มัน·สแปร์โรว์ยังไม่เคยสังหารนายพลโจรสลัด ไม่อย่างนั้น ฉายานักล่าที่แข็งแกร่งที่สุดคงไม่หนีไปไหน… ไคลน์ไม่ประมาท เพียงจ้องไปทางอีกฝ่ายด้วยสายตาเย็นชา

หากแอนเดอร์สัน·ฮู้ดเล่นตุกติกแม้เพียงเล็กน้อย ชายหนุ่มจะโยนแผ่นยันต์โลหะในมือเข้าใส่ทันที คาถากระตุ้นของยันต์ทุกใบล้วนเหมือนกันหมด และด้วยลำดับในปัจจุบัน ไคลน์สามารถท่องคาถาไปพร้อมกับโอนถ่ายพลังวิญญาณได้

เมื่อได้ยินคำบรรยายของพลเรือเอกดวงดาว แอนเดอร์สันส่ายหน้าหนักแน่น

“ผิดแล้ว ฉันไม่ใช่นักล่าที่แข็งแกร่งที่สุด”

หืม… อย่างน้อยก็ยังรู้จักถ่อมตัว… ไคลน์ถอนหายใจเงียบ

แอนเดอร์สันหัวเราะในลำคอพร้อมกับแสยะยิ้ม

“พลเรือเอกดวงดาว เธอควรเพิ่มคำขยายเข้าไปด้วย… ในระดับต่ำกว่าครึ่งเทพ! ใช่แล้ว! นักล่าที่แข็งแกร่งที่สุดในระดับต่ำกว่าครึ่งเทพ!”

“…”

ขอถอนคำพูด… มุมปากไคลน์กระตุกเล็กน้อย

เมื่อเห็นพลเรือเอกดวงดาวไม่ตอบโต้ แอนเดอร์สันลดมือลงอย่างเป็นธรรมชาติ

“แม้ทะเลในแถบนี้จะเต็มไปด้วยอันตราย แต่ก็มีสมบัติมากมายซุกซ่อนเช่นกัน ฉันเชื่อว่าพวกนายคงทราบดีอยู่แล้ว… ในอดีต เคยมีนักผจญภัยจำนวนมาก ไม่สิ ต้องเรียกว่านักล่าสมบัติ พวกมันพยายามเข้ามาแสวงหาโชคลาภ แต่เกือบทั้งหมดมักไม่รอดชีวิตกลับไป… หึหึ ฉันกำลังพูดถึงคนส่วนใหญ่ แต่ก็มีส่วนน้อยที่โชคดีและกอบโกยได้อย่างมหาศาล… หนึ่งในนั้นคือกลุ่มนักล่าสมบัติที่มีผู้นำเป็นยอดฝีมือจำนวนสองคน พวกเขาอ้างตัวว่าเชี่ยวชาญเกี่ยวกับทะเลแถบนี้มาก รู้ว่าซากปรักหักพังใดไม่ควรสำรวจ รู้ว่าซากปรักหักพังใดสามารถสำรวจได้ รู้ว่าเส้นทางปลอดภัยเป็นเช่นไร รู้จักวิธีล่าสัตว์ประหลาดหลายชนิด และรู้ว่าควรหลีกเลี่ยงสิ่งมีชีวิตชั่วร้ายที่คลุ้มคลั่งด้วยวิธีใด… ฉันนึกสงสัยมาตลอดว่าเก่งสมคำร่ำลือหรือไม่ จนในที่สุดก็ชักชวนมาทำงานด้วยกันสำเร็จ”

“แล้วไงต่อ?” กระจกตาสีม่วงของพลเรือเอกดวงดาว แคทลียา กำลังสะท้อนภาพใบหน้าอีกฝ่าย

แอนเดอร์สันถอนหายใจ

“พวกเราเริ่มต้นอย่างราบรื่น สามารถหลีกเลี่ยงอันตรายและเก็บเกี่ยวสิ่งของมีค่าที่นักล่าสมบัติรุ่นก่อนเหลือทิ้งไว้ได้เป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังออกล่าสัตว์ประหลาดและรวบรวมวัตถุดิบโอสถได้หลายชนิด… แต่จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นเมื่อพวกเราพบวิหารประหลาดบนเกาะน้ำท่วมแห่งหนึ่ง ด้านในมีจิตรกรรมฝาผนังสภาพดี เป็นภาพเดียวกับที่สุภาพบุรุษท่านนี้เห็นในความฝัน”

มันใช้ปลายคางชี้มาทางไคลน์

“เข้าเรื่องสักที” ชายหนุ่มตอบสุขุม

แอนเดอร์สันส่ายหน้าพลางยิ้มขื่นขม

“จิตรกรรมฝาผนังดังกล่าวเต็มไปด้วยความพิสดาร เป็นภาพวาดเกี่ยวกับการเดินทางข้ามทะเลที่ถูกแยกออกเป็นสองซีก… ผู้นำคณะเดินทางถูกวาดให้มีลักษณะคล้ายคลึงเทวทูต เส้นผมสีเงินยาวถึงแผ่นหลัง ใบหน้าอ่อนโยนนุ่มนวล… ฉันคือคนแรกที่ไปถึงจิตรกรรมฝาผนังดังกล่าว และสิ่งที่ทำมีเพียงการเหยียดแขนขวาออกไปวาดอากาศตามความเคยชิน ฉันพูดความจริง มิได้สัมผัสกับผิวภาพแม้แต่น้อย ระยะห่างเกินกว่าห้าเซนติเมตรอย่างแน่นอน แต่เรื่องน่าตกตะลึงได้เกิดขึ้น ดวงตาของเทวทูตลืมขึ้นอย่างกะทันหัน”

“…”

ฉายานักล่าที่แข็งแกร่งที่สุดคงได้มาเพราะนิสัยชอบหาเรื่องใส่ตัว… ไคลน์ยิ้มเย็น ๆ โดยปราศจากความเห็นใจ

“เทวทูตผมสีเงิน?” แคทลียาย้อนถาม

“ถูกต้อง แต่ฉันไม่รู้ว่าเป็นเทวทูตตนใด อย่างน้อยก็ไม่เคยเห็นในจิตรกรรมฝาผนังของเจ็ดโบสถ์หลักมาก่อน หรืออีกหนึ่งความเป็นไปได้ก็คือ จิตรกรอาจวาดขึ้นมาเองจากจินตนาการโดยมิได้อ้างอิงจากความเป็นจริง” แอนเดอร์สันยกมือลูบไล้เส้นผม พลางพบว่าสุภาพบุรุษผู้สวมเสื้อคอกลม แจ็คเก็ตสีน้ำตาล กางเกงขาบาน และหมวกแก็ป กำลังจ้องมาทางตนด้วยสายตาเย็นชา คล้ายกับพร้อมโจมตีทุกเมื่อหากพบความไม่ชอบมาพากลแม้เพียงเล็กน้อย

ขณะเดียวกัน ไคลน์กำลังสนใจประเด็นอื่น

เขาเชี่ยวชาญภาพจิตรกรรมมาก อย่างน้อยก็เหนือกว่าคนคนส่วนใหญ่ ที่มิอาจแปลความหมายของจิตรกรรมฝาผนังทางศาสนาได้แตกฉาน…

แคทลียาผู้คิดไม่ตก หันไปจ้องไคลน์ด้วยดวงตาแฝงความสงสัย

เมื่อครู่แอนเดอร์สัน·ฮู้ดระบุว่า เกอร์มัน·สแปร์โรว์ก็ได้เห็นภาพดังกล่าวเช่นกัน

บางที หากเป็นสมาชิกคนสำคัญที่ได้รับพรจากท่าน เขาอาจทราบว่าเป็นภาพของเทวทูตตนใด… พลเรือเอกดวงดาว แคทลียา แอบเชื่อว่าเกอร์มัน·สแปร์โรว์มีคำตอบในใจแล้ว

สำหรับไคลน์ เมื่อมันพิจารณาว่า ถึงจะยังไม่บอกคำตอบเธอในตอนนี้ แต่มาดามเฮอร์มิทคงหาโอกาสถามตนในชุมนุมทาโรต์อยู่ดี จึงตัดสินใจไม่ปิดบังเป็นความลับ เพียงมอบคำตอบอย่างเรียบง่าย

“ผู้กลืนหาง โอโรเลอุส”

ผู้กลืนหาง โอโรเลอุส? เทวทูตโชคชะตา? ราชาเทวทูต? แคทลียาเม้มริมฝีปากแน่น แสงสีม่วงในดวงตาทวีความเข้มข้นโดยไม่รู้ตัว

ต้องขอบคุณคำแนะนำจากมิสจัสติส เธอได้ยินชื่อดังกล่าวครั้งล่าสุดจากชุมนุมทาโรต์

และนั่นยังเป็นหนแรกที่แคทลียาตระหนักถึงการมีอยู่ของราชาเทวทูต โดยหลังจากผ่านมาเพียงไม่กี่เดือน เธอก็มีโอกาสได้พบเบาะแสบนโลกความจริง!

“ผู้กลืนหาง โอโรเลอุส?” แอนเดอร์สันเคี้ยวคำด้วยสีหน้าเหม่อลอย

ไคลน์ไม่กล่าวสิ่งใดต่อ คล้ายกับไม่ต้องการเปลืองแรงอธิบาย

เมื่อเห็นพลเรือเอกดวงดาวเงียบงัน แอนเดอร์สันไม่ถามซักไซ้ เพียงหัวเราะและเล่าต่อ

“ในตอนนั้น ฉันคิดว่าตัวเองคงตาฝาดไป เพราะนอกเหนือจากการลืมตา ภาพจิตรกรรมฝาผนังก็ไม่มีความผิดปรกติอื่นใดอีก… หลังจากนั้น ทีมสำรวจของเราแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ส่วนใหญ่ตกใจมากกับเรื่องที่ฉันเล่า จึงตัดสินใจไม่สำรวจวิหารต่อ ส่วนอีกฝ่ายซึ่งมีจำนวนราวหนึ่งในสาม ต้องการสำรวจลึกเข้าไปในวิหาร ทางกลุ่มใหญ่จึงตัดสินใจรอในจุดเดิมตลอดทั้งวัน แต่แม้จะผ่านไปแล้วสามวันคืนเต็ม พวกเขาก็ยังไม่กลับออกมา… เราทุกคนต่างเป็นนักล่าสมบัติมากฝีมือ ย่อมตระหนักได้ว่ามีเรื่องไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้น หลังจากรออีกสักพักจนแน่ใจ ไม่มีใครกล้าสำรวจหรือรออยู่ในวิหารต่อ ทุกคนรีบเผ่นหนีและแล่นเรือย้อนกลับทางเดิม เมื่อพิจารณาว่าแต่ละคนสามารถกอบโกยสมบัติได้ในระดับที่น่าพึงพอใจ จึงไม่มีใครคิดเอาตัวเองกลับไปเสี่ยงอันตรายอีก”

เดี๋ยวนะ… นายไม่มีแผนจะช่วยพวกพ้องออกมาเลยหรือ? หืม… นี่คงเป็นเอกลักษณ์ของกลุ่มที่รวมตัวกันเฉพาะกิจ อย่างมากก็คงเป็นห่วงเพื่อนสนิทเพียงไม่กี่คน… จากประสบการณ์ของเรา ป่านนี้พวกพ้องที่หายเข้าไปในวิหาร คงกำลังกินนิ้วของศพเพื่อประทังชีวิต… ไคลน์ครุ่นคิดเงียบงันโดยมิได้สนทนากับแอนเดอร์สัน

แอนเดอร์สันถอนหายใจและเล่าต่อ

“ทว่านับตั้งแต่ออกจากวิหาร เราเริ่มพบความผิดปรกติเกี่ยวกับตัวเองสองเรื่อง เรื่องแรก พวกเราทุกคนประสบความโชคร้ายอย่างรุนแรง ทุกการกระทำล้วนนำไปสู่เรื่องเลวร้ายเสมอ ตัวอย่างเช่น หลังจากดื่มเบียร์เข้าไปสองถึงสามจิบ จะบังเอิญได้ทราบในภายหลังว่า ถังเก็บเบียร์ดังกล่าวถูกใครบางคนใช้เป็นโถฉี่… เอ่อ นั่นไม่ใช่ประสบการณ์ของฉัน เป็นของพวกพ้องคนหนึ่งน่ะ… เรื่องที่สอง พวกเราสามารถครองสติได้อย่างแจ่มชัดบนโลกความฝัน มิได้เหม่อลอยและรับรู้เพียงบางสิ่งโดยที่มิอาจควบคุมร่างกาย ส่งผลให้สมาชิกราวหนึ่งในสามของจำนวนเริ่มต้น เกิดความอยากรู้อยากเห็นและเริ่มสำรวจความฝัน… ฮะฮะ จนถึงทุกวันนี้พวกเขาก็ยังไม่กลับออกมา”

แคทลียาที่รับฟังอย่างเงียบงันมาสักพัก เปิดปากถาม

“แล้วเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายบนโลกความจริง?”

“กลายพันธุ์เป็นสัตว์ประหลาด สังหารพวกพ้องที่เหลือไปเป็นจำนวนมาก รวมไปถึงลูกเรืออีกเกือบทั้งหมด” แอนเดอร์สันหายใจเข้าสุดปอด “ถึงพวกเราจะฆ่าสัตว์ประหลาดได้ แต่เนื่องจากขาดแคลนลูกเรือ เหตุการณ์โชคร้ายจึงประดังเข้าใส่อย่างไม่หยุดพัก เรือของเราเทียบท่าไม่ทันก่อนพายุก่อตัว จึงอับปางไปพร้อมกับสมบัติที่รวบรวมมาได้ พรรคพวกส่วนใหญ่หากไม่จมน้ำก็จะถูกสัตว์ทะเลกิน แต่ฉันก็ไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง… อย่างไรก็ตาม ฝีมือของฉันเหนือกว่าพรรคพวกคนอื่นเล็กน้อย แม้จะถูกคลื่นใหญ่พัดพา แต่สุดท้ายก็มาเกยตื้นบนเกาะแห่งนี้สำเร็จ จากนั้นก็พยายามต่อเรือบดด้วยตัวเอง ทว่าด้วยผลของความโชคร้าย ขวานเล่มสุดท้ายจึงหักไปแล้ว ฉากดังกล่าวถูกฉายภายในโลกความฝันตามที่นายได้เห็น”

ประโยคสุดท้ายของแอนเดอร์สันหมายถึงไคลน์

แปลว่าเขาไม่ได้โกหก… เป็นกลุ่มโจรสลัดที่ถูกสาปให้พบเจอแต่ความซวย… ไคลน์แอบวาดจันทร์แดงในใจเพื่อแผ่เมตตา

ชายหนุ่มเชื่อว่า คำบอกเล่าของแอนเดอร์สันมีแนวโน้มจะเป็นเรื่องจริง ประสบการณ์ที่ละเอียดและพิสดารเช่นนี้ คงเป็นการยากหากจะสร้างมโนภาพขึ้นมาเอง

แต่บางที แอนเดอร์สันอาจเผลอเข้าไปข้างในวิหาร กินนิ้วของศพประทังชีวิต ก่อนจะกลับออกมาโดยเข้าใจว่าไม่มีความผิดปรกติเกิดขึ้นกับตน หรือบางที เขาอาจสำรวจโลกความฝันไปแล้วหลายจุด และถูกสิ่งมีชีวิตลึกลับลอบกัดกร่อนโดยไม่รู้ตัว…

หลังจากแอนเดอร์สัน·ฮู้ดเล่าจบ มันหันไปยิ้มให้พลเรือเอกดวงดาวและชายที่ตนยังไม่ทราบชื่อ ก่อนจะฉีกยิ้มพร้อมกับกล่าว

“ไม่ทราบว่า ให้ฉันได้เป็นเกียรติร่วมโดยสารอนาคตกาลด้วยได้ไหม? แน่นอน ฉันจะจ่ายเงิน”

สีหน้าของมันกำลังบ่งบอกว่า เรื่องเงินไม่ใช่เรื่องใหญ่

แคทลียาขยับศีรษะอีกครั้ง เป็นการหันมาทางไคลน์ คล้ายกับถามหาความยินยอม

อย่าบอกนะว่า… เธอเอนเอียงไปทางอนุญาต? ไม่คิดทบทวนสักหน่อยหรือ ขนาดเรายังต้องเข้าห้วงมิติเหนือหมอกเพื่อทำนายยืนยัน แล้วเธอเป็นใครถึงมั่นใจขนาดนี้? อาศัยพลังพิเศษของลำดับ 5 แห่งเส้นทางผู้ส่องความลับ? ไคลน์วิเคราะห์ข้อมูลจากสีหน้าที่แคทลียากำลังแสดง

ขณะชายหนุ่มลังเล แอนเดอร์สันกล่าวด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล

“ฉันชำนาญเส้นทางในจุดถัดไป! ต้องช่วยพวกนายเลี่ยงอันตรายที่อาจซ่อนอยู่ตามเส้นทางเดินเรือปลอดภัยได้แน่ ฉันสามารถระบุได้ว่าซากปรักหักพังใดอันตราย และยังจะช่วยให้พวกนายรอดจากเสียงเพลงของนางเงือกได้ทันเวลา!”

“เสียงเพลงของนางเงือก?” ดวงตาไคลน์พลันแวววาวจนเกือบหลุดมาดของเกอร์มัน·สแปร์โรว์

“ถูกต้อง ห่างไปราวหนึ่งวันจากที่นี่ด้วยการแล่นเรือ… ฉันหมายถึงหนึ่งวันของโลกภายนอก ถ้าอ้อมแนวซากปรักหักพังและหักหัวเรือไปทาง…” กล่าวถึงจุดนี้ คล้ายกับแอนเดอร์สันฉุกคิดบางสิ่งได้ มันปิดปากเงียบโดยไม่เล่าต่อ

ไคลน์ใคร่ครวญสักพัก ก่อนจะหยิบเหรียญทองออกมาต่อหน้าแอนเดอร์สันและกล่าวเสียงแผ่ว

“แอนเดอร์สัน·ฮู้ดไม่ปรกติ”

แม้ชายหนุ่มจะพึมพำเจ็ดครั้งตามหลักการทำนาย แต่ภายในใจมิได้คาดหวังอะไรนัก

การดีดเหรียญทำไปเพื่อทดสอบอีกฝ่าย

หากแอนเดอร์สันผิดปรกติจริง ก็ต้องท่าทางน่าสงสัยให้เห็น เพราะไม่มีทางที่มันจะทราบถึงระดับพลังทำนายของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ จึงไม่น่าจะมั่นใจในพลังแทรกแซงการทำนายของตน

กิ๊ง!

เหรียญทองกระเด็นขึ้นไปในอากาศและร่วงหล่น ไคลน์ชำเลืองผลลัพธ์เล็กน้อยก่อนจะเก็บใส่กระเป๋าเสื้อทันที

“ไม่ผิดปรกติ”

แต่ต้องยืนยันบนมิติหมอกเทาอีกครั้ง… ไคลน์เสริมในใจ

แคทลียาจ้องแอนเดอร์สันพลางพยักหน้ารับ

“ฉันรับข้อเสนอ… แต่มีข้อแม้ว่า ถ้าออกจากทะเลแห่งนี้เมื่อไร นายต้องมอบทรัพย์สินติดตัวครึ่งหนึ่งให้ฉัน หากไม่มีก็ไม่ต้องจ่าย”

แอนเดอร์สันเงียบงันสักพัก ก่อนจะยิ้มตอบ

“ตกลง!” เมื่อพบทางรอด มันเผยความผ่อนคลายบนใบหน้า

“อย่างไรก็ตาม ขอเตือนไว้ก่อนว่า ถึงความโชคร้ายจะส่งผลกับฉันคนเดียว แต่ก็อาจดึงดูดสัตว์ประหลาดดุร้ายมาทำอันตรายพวกนายได้เช่นกัน… แต่ถ้าเธอ สุภาพบุรุษท่านนี้ และฉันร่วมมือกัน เราสามคนคงเอาตัวรอดจากอันตรายได้ไม่ยากเย็น”

เมื่อสิ้นสุดคำสุดท้าย เกาะทั้งเกาะพลันสั่นไหว ฝุ่นควันคละคลุ้งฟุ้งเต็มป่า

“อย่าบอกนะว่า… เป็นพวกสัตว์ประหลาด?” แอนเดอร์สันอ้าปากค้าง

………………………………………………

Lord of the Mysteries

Lord of the Mysteries

ป็นเรื่องราวการข้ามโลกของหนุ่มชาวจีนนามว่า โจวหมิงรุ่ย โลกใบที่ชายคนนี้ต้องเผชิญมีลักษณะคล้ายคลึงกับยุควิกตอเรียของยุโรป ยุคสมัยแห่งจักรกลไอน้ำเฟื่องฟู สุภาพบุรุษขุนนางเดินขวักไขว่ด้วยสูทและเสื้อกั๊กมาดเท่ แน่นอน เป็นโลกที่มีพลังพิเศษ ผู้วิเศษ และ สัตว์วิเศษ แต่พลังของมนุษย์บนโลกจะไม่เหมือนกับนิยายเรื่องใด ไม่มีจอมยุทธ์ ไม่มีการบังเอิญพบคำภีลับและได้ครอบครองยอดเคล็ดวิชา ไม่ได้เกิดใหม่พร้อมกับพลังสุดโกง ไม่เลย ไม่น่าเบื่อและจืดชืดขนาดนั้น ในอดีตกาล เผ่าพันธุ์มนุษย์อันต่ำต้อยมิอาจต่อสู้กับเหล่าสัตว์วิเศษในตำนานไหว หนึ่งในหนทางครอบครอง ‘พลังพิเศษ’ ก็คือการดื่ม ‘โอสถ’ หลังจากมนุษย์ดื่มโอสถและกลายเป็น ‘ผู้วิเศษ’ พวกเขาจะข้ามขีดจำกัดเดิมตามแต่ชนิดโอสถที่ดื่ม ผู้วิเศษในโลกแบ่งออกเป็น 9 ลำดับ โดยลำดับ 9 จะอ่อนแอที่สุด หนทางอัพเกรดลำดับก็แสนพิลึก ไม่ใช่การพัฒนาพลังเหมือนนิยายเรื่องใด แต่เป็นการดื่ม ‘โอสถ’ ที่ ‘ถูกต้อง’ ตามสูตรของลำดับถัดไป พลังพิเศษไม่สามารถข้ามสายได้ โอสถแต่ละชนิดจะมีสูตรการปรุงที่แตกต่าง แถมการฝึกฝนพลังของผู้วิเศษก็ยังพิสดารเหนือคำบรรยาย เรื่องราวจะยิ่งเข้มข้นขึ้นเมื่อตัวเอกเริ่มทราบว่า อดีตมหาจักรพรรดิของโลกเมื่อร้อยปีก่อนเป็น ‘ผู้เดินทางข้ามโลก’ เหมือนกับเขา แถมยัง… เหลือทิ้งไดอารี่สุดสำคัญไว้ให้ชนรุ่นหลัง แต่ไดอารีถูกเขียนด้วยภาษาจีนที่ไม่มีใครอ่านออกแม้แต่คนเดียว… ยกเว้นโจวหมิงรุ่ย With the rising tide of steam power and machinery, who can come close to being a Beyonder? Shrouded in the fog of history and darkness, who or what is the lurking evil that murmurs into our ears? Waking up to be faced with a string of mysteries, Zhou Mingrui finds himself reincarnated as Klein Moretti in an alternate Victorian era world where he sees a world filled with machinery, cannons, dreadnoughts, airships, difference machines, as well as Potions, Divination, Hexes, Tarot Cards, Sealed Artifacts… The Light continues to shine but mystery has never gone far. Follow Klein as he finds himself entangled with the Churches of the world—both orthodox and unorthodox—while he slowly develops newfound powers thanks to the Beyonder potions. Like the corresponding tarot card, The Fool, which is numbered 0—a number of unlimited potential—this is the legend of “The Fool”.

Comment

Options

not work with dark mode
Reset