ผ้าม่านถูกขึงมิดชิด โคมไฟในห้องดับสนิทจนบรรยากาศมืดสลัว ออเดรย์เสร็จสิ้นการเตรียมตัวในพิธีกรรมกระจกวิเศษ
แน่นอน หญิงสาวไม่จำเป็นต้องเลือกช่วงเวลาเฉพาะเจาะจงเหมือนกับการอัญเชิญตัวตนลึกลับอื่น เพราะมิสเตอร์ฟูลได้ส่งสัญญาณอนุญาตเรียบร้อยแล้ว
เบื้องหน้าออเดรย์มีเทียนไขหนึ่งเล่ม รวมถึงกระจกเงาที่กำลังสะท้อนภาพเทียนไขและใบหน้าของเธอ หญิงสาวหยิบขวดน้ำค้างบริสุทธิ์ด้วยสีหน้ากังวลเจือคาดหวัง ของเหลวปริมาณน้อยถูกหยดลงบนเปลวเทียนสลัว
กลิ่นหอมฟุ้งอันละเมียดละไมและสงบสุขเริ่มทะลุทะลวงเข้าไปในโพรงจมูก ออเดรย์หวนนึกถึงช่วงเวลาที่เธอยังเป็นเพียงเด็กสาวผู้หลงใหลในศาสตร์เร้นลับ
เธอทำผิดแม้กระทั่งขั้นตอนพื้นฐานแรกสุด เมื่อก่อนมิได้ใช้น้ำมันหอมระเหยและน้ำค้างบริสุทธิ์เพื่อสร้างกลิ่นเรียกร้องความสนใจจากเหล่าทวยเทพ แต่เลือกใช้กลิ่นน้ำหอมประจำตัว ซึ่งแน่นอนว่าผลลัพธ์ออกมาล้มเหลว
อย่างไรก็ตาม จากคำแนะนำของเดอะฟูล หากเธอสวดวิงวอนถึงท่าน ก็ไม่จำเป็นต้องเผาน้ำมันหอมระเหยหรือน้ำค้างบริสุทธิ์ให้วุ่นวาย อีกฝ่ายรับปากว่าจะตอบรับอย่างแน่นอน
ออเดรย์พ่นลมหายใจแผ่วเบาออกจากริมฝีปากทรงกระจับขนาดเล็ก อาศัยการเข้าฌานเพื่อรวบรวมสมาธิให้จิตใจสงบนิ่ง
เธอตระหนักเป็นอย่างดีว่า อารมณ์ที่กำลังพลุ่งพล่านในตอนนี้มิได้เกิดจากตัวเธอเอง ความคาดหวังและอาการประหม่าล้วนถูกกระตุ้นให้เข้มข้นจากพลังของสร้อย ‘คำลวง’
หลังจากรวบรวมสติแน่วแน่ ออเดรย์ประสานมือและนำมาไว้ใต้ริมฝีปาก สวดวิงวอนอย่างจริงใจด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“เดอะฟูลจากต่างยุคสมัย ผู้ปกครองลึกลับเหนือห้วงสายหมอกสีเทา ราชันเหลืองดำผู้ครองพลังโชคลาภ”
…
เสียงสวดมนต์ดังกังวานทั่วห้องนอน หลังจากครบเจ็ดครั้งติดต่อ ออเดรย์พบว่าบรรยากาศรอบตัวเกิดความเปลี่ยนแปลงที่ยากอธิบาย คล้ายมวลคลื่นที่กำลังกระเพื่อมใต้ผิวน้ำ
เมื่อเงยหน้าขึ้น เธอเหยียดแขนขวาผ่านเทียนไขโดยปราศจากอาการสั่นเทา ตามด้วยการใช้ปลายนิ้วลูบผิวกระจกอย่างอ่อนโยนจากด้านบนลงล่าง
ถึงตรงนี้ พิธีกรรมทำนายด้วยกระจกวิเศษเป็นอันเสร็จสมบูรณ์ หากตัวตนลึกลับจากภายนอกให้ความสนใจ ก็จะมอบการตอบสนองกลับมาทางผิวกระจก
เหนือสายหมอกเทา ท่ามกลางพระราชวังโบราณและโอ่โถง ไคลน์เห็นดาวแดงตัวแทนมิสจัสติสพลันขยายตัวและหดกลับ แสงมายาสีดำเริ่มแผ่ออกจากดาวดวงดังกล่าวทีละนิด ก่อตัวกลายเป็นทรงกลมลักษณะคล้ายกับอุโมงค์ที่เชื่อมต่อไปยังโลกภายนอก
ไม่เหมือนกับพิธีกรรมอื่น น่าสนใจมาก…
ไคลน์เอนหลังพิงพนัก แผ่พลังวิญญาณจากร่างกาย ออกไปสัมผัสกับวงกลมสีดำซึ่งคล้ายกับหุบเหวลึกปราศจากก้นบึ้ง
ความเงียบสงัดปกคลุมหลายอึดใจ ทัศนวิสัยชายหนุ่มเริ่มแปรเปลี่ยน ภาพของโต๊ะทองแดงยาวและดาวแดงถูกซ้อนทับด้วยภาพห้องนอนกว้างขวาง ฉากหลังมีเพียงความมืดสลัวอันเกิดจากเทียนไข แต่เค้าโครงของภาพยังคงคมชัด
ทันใดนั้น ไคลน์รู้สึกคล้ายกับดวงตาของตนฝังอยู่บนผิวกระจก ช่วยให้สามารถแทรกแซงและมองเห็นโลกความจริงได้อย่างแจ่มชัดแม้จะอยู่บนมิติหมอก
ถูกต้อง มองเห็นอย่างแจ่มชัด!
ทุกสิ่งในสายตาไคลน์ล้วนปราศจากความคลุมเครือดังเช่นทุกที ประหนึ่งกำลังเพ่งมองด้วยตาตัวเองบนโลกความจริง!
สายตาของมันพลันชะงักไปสองวินาที
เบื้องหน้าไคลน์คือภาพของหญิงงามในเดรสสีขาวลายลูกไม้สีทอง เส้นผมสีทองอ่อนมัดรวบอย่างเรียบง่าย ถูกปล่อยทิ้งตามแรงโน้มถ่วงด้วยความนุ่มสลวย ดวงตาสีเขียวกำลังสะท้อนภาพเปลวเทียนสีซีดจาง อัดแน่นด้วยความลุ่มลึกและแพรวพราวดุจดังมรกตบริสุทธิ์ องค์ประกอบบนใบหน้าตรงตามความงดงามในอุดมคติ กลิ่นอายรอบตัวแฝงความสง่างามและบริสุทธิ์ผุดผ่อง
ไคลน์รีบเบือนหน้าหนีอย่างประหม่า
สารภาพตามตรง เราเกือบคิดว่าเธอเป็นแม่มดลำดับสูง โชคยังดีที่จำได้ว่าจัสติสอยู่บนเส้นทางผู้ชม ไม่มีทางเป็นแม่มด… กลิ่นของน้ำค้างบริสุทธิ์หอมมาก แตกต่างจากที่เคยสูดดมโดยสิ้นเชิง… หรือว่าเสน่ห์ดึงดูดอันละเอียดอ่อนจะเกิดจากตะกอนพลัง ‘ผู้ไร้หน้า’ ที่ถูกเปลี่ยนเป็นเครื่องประดับ?
ไคลน์มองลงไปยังสมบัติวิเศษที่จำแลงกายเป็นสร้อยคอเลี่ยมเพชร
พร้อมกันนั้น มันได้ยินเสียงสวดวิงวอนอย่างคาดหวังของหญิงสาว
“กระจกวิเศษเอ๋ย ได้โปรดบอกข้าเถิด! ผู้ครอบครองคนก่อนของสมุดบันทึกเล่มนี้อยู่แห่งหนใด!”
ออเดรย์ทราบดีว่า ตนกำลังประกอบพิธีกรรมถึงมิสเตอร์ฟูล เพียงแต่ เธอเคยได้ยินบทพูดข้างต้นมาตั้งแต่ยังเด็กและอยากลองทำตามดูสักครั้ง จึงไม่มีโอกาสใดเหมาะสมไปกว่านี้แล้ว
ความล้มเหลวก่อนหน้านี้ไม่นับ!
ออเดรย์พยักหน้ากับตัวเองในใจ
ไคลน์จ้องไปยังสมุดบันทึกปกดำที่อยู่ระหว่างเทียนไขและมิสจัสติส พบว่าตนสามารถแผ่พลังวิญญาณผ่านกระจกได้อย่างอิสระ และสามารถใช้สมุดเล่มดังกล่าวเป็นสื่อกลางสำหรับทำนาย
เหนือมิติหมอก มันรีบเขียนประโยคทำนายให้สอดคล้องกับความต้องการของหญิงสาว :
“ตำแหน่งปัจจุบันของอดีตผู้ครอบครองสมุดบันทึกเล่มดังกล่าว”
มือข้างหนึ่งถือกระดาษ อีกข้างแผ่พลังวิญญาณเชื่อมต่อกับสมุดบันทึก ไคลน์เอนหลังพิงพนักพลางพึมพำเสียงเบา อาศัยความช่วยเหลือจากการเข้าฌาน ชายหนุ่มสะกดจิตตัวเองให้หลับลึกภายในเวลาไม่นาน
ออเดรย์ลืมดวงตาสีเขียวขึ้น จ้องเข้าไปในผิวกระจกด้วยใบหน้าคาดหวัง รอคอยคำตอบจากเดอะฟูลอย่างใจจดใจจ่อ
ผ่านไปไม่กี่วินาที หญิงสาวเห็นผิวกระจกเริ่มกระเพื่อมคล้ายคลื่นน้ำมายา
สำเร็จ! ทำนายด้วยกระจกวิเศษได้ผล!
ขณะดวงตาออเดรย์กำลังลุกวาว ฉากหนึ่งเผยให้เห็นในกระจก
เป็นภาพมุมสูงของหมู่บ้าน
ฉากถูกซูมเข้าใกล้ทีละนิด เผยให้เห็นภาพวาดมังกรตามผนังอาคารบ้านเรือน
ฉากสลับสับเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว กลายเป็นภาพมุมสูงของวิหารแห่งหนึ่ง ก่อนจะขยับซูมเข้าไปในบริเวณสุสานที่อยู่ติดกัน
จนกระทั่งหยุดลง ณ ป้ายหลุมศพแห่งหนึ่ง ทันใดนั้น คล้ายกับเวลาในฉากถูกเร่ง แสดงให้เห็นถ้อยคำจารึกบนป้ายหลุมศพในแต่ละฤดูกาล ไม่ว่าจะท่ามกลางแสงแดง เปียกฝน หรือลมพายุกระโชก ข้อความบนป้ายค่อนข้างพร่ามัว เห็นเพียงชื่อที่พอจะอ่านออกว่า ‘ลินเดลิร่า’
มาถึงจุดนี้ ภาพบนกระจกเริ่มมืดลง กลับไปเป็นผิวกระจกปรกติอีกครั้ง สะท้อนภาพของหญิงสาวและเทียนไข
หมู่บ้านบูชามังกร… หรืออัศวินลินเดลิร่าผู้เขียนบันทึกจะเป็นคนของหมู่บ้านดังกล่าว? หลังจบสงครามสองทศวรรษ เขากลับไปใช้ชีวิตบั้นปลายและแก่ตายที่นั่น หรือว่าเสียชีวิตในสงคราม และศพถูกส่งกลับไปฝังยังหมู่บ้าน?
พิจารณาจากสภาพแวดล้อม หมู่บ้านนับถือมังกรในฉากดูคล้ายกับหมู่บ้านที่เราเคยไปเยือน.. ถ้าอย่างนั้นก็ลงล็อก รองศาสตราจารย์มิตเชลเป็นคนของมหาวิทยาลัยสโตนจากรัฐเชสเตอร์ตะวันออก จึงไม่แปลกที่จะมีบันทึกจากหมู่บ้านนับถือมังกร… ที่นั่นมีมังกรจิตอาศัยอยู่ในทะเลจิตใต้สำนึกรวมของทุกสิ่งมีชีวิต…
ออเดรย์กล่าวขอบคุณมิสเตอร์ฟูล ตามด้วยการสิ้นสุดพิธีกรรมกระจกวิเศษทำนาย
ท่ามกลางแสงเทียนสลัว หญิงสาวนั่งจ้องสมุดบันทึกปกดำสักพัก จนกระทั่งตัดสินใจได้ว่า เธอจะส่งมันให้กับสมาคมแปรจิต รอดูว่าอีกฝ่ายจะค้นพบเบาะแสที่น่าสนใจหรือไม่
เราทำอะไรไม่ได้มากกว่านี้แล้ว พลังปัจจุบันยังมากไม่พอจะตรวจสอบมังกรจิตด้วยตัวเอง… แต่ถึงสมาคมแปรจิตจะค้นพบสิ่งสำคัญ เมื่อเราเติบโตขึ้นและกลายเป็นคนใหญ่คนโตขององค์กร สิ่งเหล่านั้นก็จะคืนกลับมาหาเราเอง!
ออเดรย์เริ่มกลับมาอารมณ์ดีอีกครั้ง
…
เหนือมิติหมอก ไคลน์ใช้ปลายนิ้วเคาะลงบนโต๊ะทองแดงยาว นั่งรวบรวมข้อมูลที่จัสติสรายงานพลางตกผลึกเป็นสมมติฐาน
ทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับมังกรล้วนมีมูลค่ามาก หมู่บ้านมังกรจึงไม่ต่างอะไรกับขุมทรัพย์ให้เข้าไปเก็บเกี่ยว…
น่าเสียดาย พลังของจัสติสยังไม่แข็งแกร่งพอ ไม่อย่างนั้นเราคงแนะนำให้เธอสำรวจด้วยตัวเองไปก่อน หากเกิดอันตรายใดก็แค่สวดวิงวอนถึงเทพสมุทร เราพร้อมสนับสนุนเต็มที่…
เฮ่อ… แต่ตอนนี้ยังอันตรายเกินไป ไม่มีทางเลือกนอกจากล้มเลิกความคิด… แต่ถ้าสมาคมแปรจิตไม่พบเบาะแส บางที เราอาจกลับมาสำรวจในภายหลังเมื่อเธอพร้อม…
ไคลน์ระงับความเสียดาย นั่งทบทวนประสบการณ์ขณะพิธีกรรมกระจกวิเศษทำนาย
“สำหรับตัวตนภายนอกอย่างเรา การทำนายด้วยกระจกวิเศษถือเป็นพิธีกรรมในอุดมคติ แทบไม่ต้องเสียสละสิ่งใดก็ได้แทรกแซงโลกความจริง หากเราต้องการ ก็สามารถส่งร่างวิญญาณออกไปสำแดงอิทธิฤทธิ์ได้ทุกเมื่อ แต่ทางฝั่งของผู้ประกอบพิธีกรรมนั้นมีความเสี่ยงสูง ปราศจากการป้องกันโดยสิ้นเชิง ถูกเพ่งมองอย่างชัดเจน ง่ายต่อการเข้าสิง สาปใส่ หรือกัดกร่อน…”
ไคลน์ถอนหายใจยาว
อย่างไรก็ตาม มันมิได้กังวลว่ามิสจัสติสจะนำพิธีกรรมกระจกวิเศษทำนายไปใช้ในทางอันตราย เพราะเธอมีเป้าหมายที่ดีที่สุดให้สวดวิงวอนถึงอยู่แล้ว ไม่มีเหตุผลให้ต้องเสี่ยงโชคกับตัวตนลึกลับอื่น
ฉันเองยังไงล่ะ!
ไคลน์หดนิ้วมือกลับ นั่งนิ่งบนเก้าอี้ประธานใหญ่สุดปลายโต๊ะทองแดงยาว ไม่ขยับตัวนานหลายสิบวินาที
จนถึงจุดหนึ่ง ชายหนุ่มส่งตัวเองกลับโลกความจริง เมื่อจิตย้อนกลับมายังอนาคตกาล ภาพวิสัยทัศน์ค่อย ๆ คืนกลับมาอย่างเชื่องช้า
เดินออกจากห้องน้ำ เก็บนกหวีดทองแดงและนกกระเรียนของวิล·อัสตินเข้ากระเป๋าเสื้อ ไคลน์แหงนหน้ามองท้องฟ้ายามค่ำคืนที่จันทราแดงกำลังถูกเมฆหนาบดบัง ภายในใจไตร่ตรองบางสิ่งอย่างเงียบงัน
ในมาดสวมหมวกผ้าไหมทรงกึ่งสูง ชายหนุ่มเปิดประตูห้องและออกไปยังทางเดิน
ผ่านไปไม่กี่ก้าว ไคลน์จงใจชะลอฝีเท้า อาศัยมุมสายตาชำเลืองไปทางประตูห้องพักแรกสุดที่อยู่ฝั่งซ้ายมือ
จากการคาดคะเนของมัน ดวงตาลึกลับที่เพ่งมองตนเมื่อตอนกลางวันแฝงตัวอยู่ในห้องนี้
ไคลน์ลดความเร็วลง จนดูคล้ายกับหยุดยืนหน้าประตู
มันเหยียดมือซ้ายออกไปจับลูกบิดโดยไม่คิดเก็บซ่อนเจตนา ทันใดนั้น นิมิตลางสังหรณ์ปรากฏขึ้นในหัว
ด้านหลังประตูมีราวแขวนผ้า บนราวไม่มีสิ่งใดแขวนอยู่แม้แต่ชิ้นเดียว
แสงแพรวพราวของหมู่ดาวถูกฉายลงบนพื้นไม้ที่เรียบสะอาด บรรยากาศภายในห้องเป็นไปอย่างเงียบสงัด สงบสุขและอ่อนโยน ปราศจากออร่าของมนุษย์โดยสิ้นเชิง
หน้าต่างถูกเปิดกว้างตอนไหนไม่มีใครทราบ ลมทะเลด้านนอกพัดเอื่อยเฉื่อย กระทบกับผ้าม่านจนโยกคลอนอย่างอ่อนโยน
ไม่มีใครอยู่หรือ…
เป้าหมายของไคลน์มีเพียงการตรวจสอบเบื้องต้น จึงรีบชักมือซ้ายกลับ เดินตรงไปทางบันไดโดยทำเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
มาถึงดาดฟ้าเรือ ท่ามกลางสายลมหนาวยามค่ำคืนที่กำลังพัดผ่าน ไคลน์เดินไปรอบกราบเรือด้วยสีหน้าท่าทีผ่อนคลาย ประหนึ่งว่าตนมีจุดประสงค์เพียงออกมาเดินเล่น
ทันใดนั้น มันพบใครบางคนกำลังนั่งยองอยู่ตรงหน้า เป็นชายสวมเชิ้ตขาวและกางเกงยีนส์ติดสายรัดบ่า
แฟรงค์·ลี…?
ไคลน์ไม่หยุดเดิน ย่างกรายเข้าไปใกล้อีกฝ่ายทีละก้าวอย่างใจเย็น
เมื่อตระหนักว่าใครบางคนกำลังเดินเข้าหา ชายลึกลับบิดเอวและเงยหน้าจ้องกลับ
ไม่ใช่ใครนอกจาก ‘ผู้เชี่ยวชาญพิษ’ แฟรงค์·ลี แต่หนนี้ปราศจากรอยยิ้มสดใสบนใบหน้าโดยสิ้นเชิง มีเพียงคราบเลือดสดบนริมฝีปาก
ไคลน์ขมวดคิ้วโดยไม่กล่าวคำใด
แฟรงค์·ลียกแขนขึ้น มือทั้งสองข้างกำลังจับหัวและหางของปลาสีเงินตัวหนึ่ง
มันกล่าวด้วยน้ำเสียงหดหู่
“ไม่สำเร็จ… วงจรชีวิตของพวกเขาสั้นเกินไป ไม่มากพอสำหรับการขยายพันธุ์ จะปลูกในดินก็ไม่ได้เช่นกัน”
กล่าวจบ แฟรงค์ยกปลาเกล็ดเงินขึ้นด้วยมือขวา ก่อนจะใช้ปากกัดอย่างดิบเถื่อน
แบบนี้ดีแล้ว… ไม่อย่างนั้น ฉันคงมัวกังวลกับภัยพิบัติทาระบบนิเวศ… หรือเพราะแบบนั้น นายก็เลยดื่มเหล้าย้อมใจ?
ไม่สิ ดื่ม ‘เลือด’ ปลาเพื่อย้อมใจ…
ไคลน์ถอนหายใจอย่างโล่งอก
……………………