เหนือสายหมอกสีเทา ภายในพระราชวังโอ่อ่า ไคลน์ที่กำลังถือคทาเทพสมุทร จ้องไปที่ไพ่จักรพรรดิมืดและทรราชบนโต๊ะตรงหน้า แววตาค่อนข้างเคร่งขรึม
แม้คำตอบของไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดจะช่วยให้พิสูจน์ได้ว่า พระเจ้าจอร์จที่สามมีความลับที่ยิ่งใหญ่ซ่อนอยู่ และน่าจะเป็นตัวการสำคัญในโศกนาฏกรรมมหาหมอกควันแห่งเบ็คลันด์ แต่ก็มิอาจฟันธงได้ว่ามันคือผู้ที่กุมอำนาจเหนือเรื่องราวทั้งหมด ผู้บงการที่แท้จริงอาจเป็นคนอื่น โดยพระเจ้าจอร์จที่สามเป็นเพียงหุ่นเชิด แต่สำหรับไคลน์ เท่านี้ก็นับว่าเพียงพอแล้ว เป้าหมายของมันเริ่มชัดเจนว่าต้องตรวจสอบใคร และอีกฝ่ายมีจุดประสงค์ใดกันแน่
เมื่อเห็นว่ามิสเมจิกเชี่ยนและมิสจัดจ์เมนต์อยู่ห่างจากจุดที่เกิดความวุ่นวาย สามารถยืนยันความปลอดภัยได้ส่วนหนึ่ง ไคลน์ถอนสายตากลับและหันมาสนใจเรื่องเดิมของตน เฝ้าจับตามองการกระทำของรองผอ. MI9 โจนาส·โคลเกอร์
ผ่านไปสักพัก หลังจากสร้างอาณาเขตเสร็จและยืนยันว่าไม่มีใครไล่ตามมา โจนาส·โคลเกอร์เดินไปที่กำแพงริมภูเขา หยิบสิ่งหนึ่งออก
ร่างกายของมันถูกฉาบด้วยแสงสีฟ้าสว่างทันที ค่อยๆ เลือนรางและพร่ามัว
ถัดมา มันหายไปกับความว่างเปล่า ไม่มีใครทราบว่าไปไหน
เป็นรูปแบบของพลัง ‘เทเลพอร์ต’ ที่พิเศษกว่าปรกติ สามารถกระทำผ่านพิธีกรรมหรือวัตถุบางชนิด ผลลัพธ์คือการเทเลพอร์ตระหว่างสองจุดที่ไม่ห่างกันมากนัก… ในตอนที่หนีออกจากซากปรักหักพังใต้ดินซึ่งอินซ์·แซงวิลล์แอบเข้าไปกระทำบางสิ่ง เราเคยผ่าน ‘ประตู’ ที่คล้ายคลึงกัน… อา… แถวนี้อยู่ไม่ไกลจากภูเขาที่มิสเตอร์ A ไล่ฆ่าเรา…
การใช้วิธีผ่านเข้าออกแบบนี้จำเป็นต้องมีพื้นที่ที่ลับสุดยอด และหากไม่ได้รับอนุญาตจากภายใน การฝืนเปิดจากภายนอกจะไม่มีวันสำเร็จ และเมื่อเห็นท่าไม่ดี การทำลายพิธีกรรมสำหรับผ่านเข้าออก ยังช่วยป้องกันไม่ให้ศัตรูบุกรุกได้ง่ายนัก จำเป็นต้องค้นหาสถานที่เฉพาะเจาะจง… ไคลน์พยักหน้ากับตัวเอง
เมื่อผนวกเข้ากับ ‘คำสารภาพ’ ของไวเคาต์สตาร์ฟอร์ด ไคลน์เชื่อว่าความลับของกษัตริย์จะต้องถูกซ่อนอยู่ใต้ซากปรักหักพัง หากสามารถลอบแทรกซึมเข้าไปได้และตรวจสอบอย่างละเอียด มีความเป็นไปได้สูงที่จะค้นพบความจริงของเรื่องนี้
แต่ยิ่งครุ่นคิด มันก็ยิ่งพบว่านี่เป็นงานสืบสวนที่ยากมาก เนื่องจากอันดับแรก มันต้องมีวัตถุสำหรับผ่านเข้าออกแบบเดียวกันเสียก่อน เพื่อที่จะได้ใช้พลังของผู้ไร้หน้าปลอมตัวหลอกลวงคนคุ้มกันและเทเลพอร์ตเข้าไป ไม่ว่าจะมองมุมใดก็ไม่ใช่งานง่าย
จากคำบอกเล่าของ ‘กระจกวิเศษ’ อาโรเดส ไม่เพียงโจนาส·โคลเกอร์จะเป็นครึ่งเทพของเส้นทางจักรพรรดิมืด แต่มันยังพกพาสมบัติปิดผนึกที่ทรงพลังไว้กับตัวด้วย
แม้ว่าไคลน์จะเตรียมตัวเป็นอย่างดีและมีความช่วยเหลือจากเทวทูต แต่การปลิดชีพรองผอ. แห่ง MI9 ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายขนาดนั้น จึงไม่ต้องพูดถึงความพยายามในการลอบสังหาร และเหนือสิ่งอื่นใด เทวทูตแต่ละตนก็มีปัญหาของตัวเอง ไม่จำเป็นต้องเห็นพ้องไปเสียทุกเรื่อง
หรือต่อให้จัดการโจนาส·โคลเกอร์สำเร็จ ยังคงมีอันตรายอื่นให้ต้องคำนึงถึง… จากประสบการณ์ในอดีตพวกมันคงเตรียมวิธีรับมือกับการบุกรุกของผู้ไร้หน้าไว้แล้ว… เป็นถึงแผนการใหญ่ที่รวมกันระหว่างกษัตริย์ สมาคมแปรจิต และนิกายแม่มด ต้องไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แน่นอน มีโอกาสสูงมากที่ใต้ซากอาคารใต้ดินจะมีเทวทูตคอยเฝ้า… ไคลน์ขมวดคิ้ว พบว่าตนยังไม่มีวิธีสืบสวนขยายผลที่มีประสิทธิภาพ
ระหว่างเคาะนิ้วลงบนโต๊ะทองแดงยาว ชายหนุ่มตัดสินใจหลุดจากกรอบความคิดเมื่อครู่ เปลี่ยนมุมมองในการวิเคราะห์
ผ่านไปสักพัก มันผุดไอเดียหนึ่ง
แล้วทำไมเราถึงต้องทำทุกขั้นตอนด้วยตัวเอง?
ความลับและแผนการของกษัตริย์โลเอ็น มีความเป็นไปได้มากว่าจะขัดแย้งกับเจตจำนงของโบสถ์วายุสลาตัน รัตติกาล และจักรกลไอน้ำ ไม่อย่างนั้น เมสัน·เดียร์ อดีตหัวหน้าราชองครักษ์ คงไม่พยายามนำความลับไปแจ้งกับโบสถ์หลักทั้งสาม… ในฐานะข้ารับใช้ของเทพธิดารัตติกาล… อย่างน้อยก็ในตอนนี้… ทางเรามีตัวเลือกที่น่าสนใจอยู่ไม่ใช่หรือ?
และนี่อาจเป็นวิธีสะสมคะแนนผลงานเพื่อแลกเปลี่ยนกับสูตรโอสถ ‘ปราชญ์โบราณ’ ในอนาคต!
ไคลน์วาดแผนการอย่างชัดเจนได้ทันที เพียงไม่นานก็ส่งตัวเองลงจากมิติหมอก กลับมายังโลกความจริง
เกอร์มัน·สแปร์โรว์ที่สวมชุดนอนลายตารางหมากรุกสีน้ำเงินสลับขาว ทำการประสานมือและสวดวิงวอนเป็นภาษาเฮอร์มิสโบราณ
“เทพธิดารัตติกาลผู้สูงส่งยิ่งกว่าดวงดารา ผู้ยืนยาวยิ่งกว่านิรันดร์ พระองค์ผู้เป็นสตรีสีชาด มารดาแห่งความลับ จักรพรรดินีแห่งเคราะห์กรรม และนายหญิงแห่งความสุขสงบ…”
สำหรับคราวนี้ ไคลน์มิได้ประกอบพิธีกรรมใด เพราะไม่ได้สังเวยหรือรอการตอบสนอง เพียงอธิบายคำสารภาพของไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดและพฤติกรรมลับๆ ล่อๆ ของโจนาส·โคลเกอร์ จึงทำเพียงสวดวิงวอนอย่างเรียบง่าย
สวดเสร็จ ไคลน์ถอนหายใจยาว ยืนซ่อนอยู่ในป่าไม้และภูเขาที่ห่างไกล รอคอยอย่างอดทนเผื่อว่าจะได้พบความคืบหน้า
ผ่านไปเพียงสิบนาที ร่างหนึ่งถูกวาดขึ้นตรงหน้า ราวกับภาพวาดที่เป็นรูปเป็นร่างในคราวเดียว
ผู้มาเยือนสวมชุดคลุมเรียบง่าย สวมเข็มขัดเปลือกไม้ เส้นผมยาวสลวยปล่อยตามธรรมชาติ ฝ่าเท้าเปลือยเปล่า ดวงตาแฝงความมืดมิดและเงียบสงบ ไม่ใช่ใครนอกจากผู้นำสูงสุดแห่งสิบสามอาร์ชบิชอป หัวหน้าคณะนักบวช ‘บริวารอำพราง’ อาเรียนน่า
“สายัณห์สวัสดิ์ มาดามอาเรียนน่า” ไคลน์ทำความเคารพโดยไม่เผยสีหน้าประหลาดใจ
อาเรียนน่าชำเลืองเล็กน้อย ตอบกลับในทำนองเดียวกัน
“สายัณห์สวัสดิ์”
เธอมิได้ชวนคุยตามมารยาท ถามเข้าประเด็นทันที
“โจนาส·โคลเกอร์อยู่แถวนี้ใช่ไหม?”
“ใช่ครับ ห่างออกไปทางนั้นไม่ถึงสิบกิโลเมตร” ไคลน์ชี้นิ้วบอกทิศ “เขาใช้วัตถุชิ้นหนึ่งและหายตัวไปจากตำแหน่งเดิม ผมควรทำยังไงต่อ?”
อาเรียนน่าผงกศีรษะรับ ตามด้วยกล่าว
“รอให้เจ้านั่นออกมา จากนั้นก็ลงมือจับกุม”
ม…ไม่บุ่มบ่ามไปหน่อยหรือ? ทั้งที่เป็นคน… ไม่สิ เป็นเทวทูตที่ถูกสงบเสงี่ยมและเรียบง่าย สงวนกิริยาและสง่างาม แต่ทำไมถึงใช้วิธีป่าเถื่อนนัก? ถ้าเกิดผลออกมาว่า โจนาส·โคลเกอร์มิได้ไปเยือนซากปรักหักพังดังกล่าว แต่เป็นฐานลับอย่างอื่นแทน หรือไม่ใช่คนที่เกี่ยวข้องลึกซึ้งกับแผนการของกษัตริย์โลเอ็น การที่อาร์ชบิชอปแห่งโบสถ์รัตติกาลลงมือกับบุคคลระดับสูงของ MI9 เรื่องนี้ต้องกลายเป็นขาวใหญ่แน่ และรอยร้าวภายในอาณาจักรจะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น! ไคลน์ตอบสนองอาเรียนน่าไม่ถูกไปสักพัก
จริงอยู่ ไคลน์มีเหตุผลมากพอที่จะฆ่าโจนาส·โคลเกอร์ โดยเฉพาะการมีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกิจค้าทาส แต่ปัญหาก็คือ การที่ครึ่งเทพขององค์กรลับลงมือกับคนของกองทัพ นั้นเป็นคนละเรื่องกับการที่อาร์ชบิชอปของโบสถ์หลักลงมือกับคนของกองทัพ!
คล้ายกับอ่านความคิดไคลน์ออก อาเรียนน่าอธิบายอย่างสุขุม
“ผู้ที่จะลงมือคือเจ้า ไม่ใช่ข้า”
“…” ไคลน์ค่อนข้างกระอักกระอ่วนกับ ‘สไตล์’ ของเธอ
อาเรียนน่าพูดต่อ
“ข้าจะสร้างโลกแห่งความลับขึ้น และคอยสนับสนุนในสิ่งที่จำเป็น”
ต่อสู้ในโลกแห่งความลับ… โดยมีเทวทูตคอยสนับสนุน? ไคลน์พยักหน้าไตร่ตรอง
“แล้วจะให้ซุ่มโจมตีที่ไหน?”
อาเรียนน่าตอบห้วน
“ในคฤหาสน์เพลงกุหลาบของเจ้า”
ก็คิดจะทำแบบนั้นเหมือนกัน… แค่ไม่อยากพูดออกมาเอง… ไคลน์ถอนหายใจยาว
หลักในการเลือกสังเวียนซุ่มโจมตีนั้นไม่มีอะไรซับซ้อน แค่ต้องลงมือในตอนที่โจนาส·โคลเกอร์รู้สึกผ่อนคลายและไร้การป้องกันตัวมากที่สุด
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ทันทีที่อีกฝ่ายทำภารกิจสำเร็จและกลับไปพักผ่อนในคฤหาสน์ มันจะต้องคิดว่าความยากลำบากของวันนี้จบลงแล้ว ส่งผลให้ความหวาดระแวงบรรเทาลงจากเดิมมาก!
ในทำนองเดียวกัน หากความลับและแผนการของกษัตริย์คือเรื่องที่สำคัญมาก ระหว่างที่โจนาส·โคลเกอร์เดินทางกลับจากซากปรักหักพังใต้ดิน อาจมีเทวทูตคอยจับตามองเพื่อให้ความคุ้มครองอย่างลับๆ การโจมตีในช่วงเวลาดังกล่าวจะเท่ากับฆ่าตัวตาย มีแต่ต้องรอให้โจนาส·โคลเกอร์กลับมาใช้ชีวิตตามปรกติ การเฝ้าระวังก็จะลดระดับลงจนหายไป เพราะเทวทูตไม่ใช่ตัวตนที่มีมากขนาดนั้น ไม่มีทางว่างผลัดเวรกันมาเฝ้าคนคนหนึ่งทั้งวัน
โชคดีที่เราเลือกสะกดรอยด้วยเทคนิคที่เงียบเชียบและตรวจสอบได้ยากที่สุด แถมยังทิ้งระยะห่างค่อนข้างไกล… หมายความว่า การที่มาดามอาเรียนน่ายกหน้าที่การต่อสู้ให้เรา ไม่ใช่เพราะท่านต้องการหลีกเลี่ยงอันตราย แต่การสร้างโลกแห่งความลับเพื่อปกปิดสายตาของเทวทูตในซากปรักหักพังใต้ดินนั้นกินพลังงานของท่านหลายส่วน… ท่ามกลางกระแสความคิด ไคลน์เริ่มเข้าใจเรื่องราวภาพรวม
ทันใดนั้น อาเรียนน่าเสริมอีกหนึ่งประโยค
“การต่อสู้ในโลกแห่งความลับ จะไม่สร้างความเสียหายแก่โลกความจริง”
แบบนั้นก็เยี่ยมเลย… ไคลน์พึมพำในใจ ครุ่นคิดสักพักก่อนจะกล่าว
“ถ้าอย่างนั้น ผมต้องกลับไปเตรียมตัว”
“ตกลง” อาเรียนน่าตอบเสียงเรียบ
เธอมิได้ถามว่าต้องเตรียมการอะไร ทั้งที่เราเตรียมคำตอบไว้แล้วว่า: เปลี่ยนเสื้อผ้าครับ! ไคลน์รำพันจิกกัดตัวเอง พลางก้มมองชุดนอนลายตารางหมวกรุกสีขาวสลับฟ้า
ถุงมือซ้ายของมันกลายเป็นสีใส คนทั้งคนหายไปกับความว่างเปล่า
ภายในคฤหาสน์เพลงกุหลาบ ร่างของไคลน์โผล่ออกจากอากาศ ในร่างเกอร์มัน·สแปร์โรว์เช่นเดิม มันรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าและสวมหมวกทรงสูง
ทันทีหลังจากนั้น ชายหนุ่มดึงกระดาษเปล่าออกมาและเขียนด้วยนิ้วมือ
เปลวไฟเล็กๆ สีแดงสว่างจากปลายนิ้ว สร้างรอยไหม้เล็กๆ บนกระดาษโดยไม่เผาทำลาย
รอยไหม้ถูกลากเป็นเส้น เพียงไม่นานก็กลายเป็นสัญลักษณ์ที่ซับซ้อน เกิดจากการประกอบกันระหว่างสัญลักษณ์ ‘ส่องความลับ’ และ ‘การปกปิด’
ทันทีที่สัญลักษณ์ถูกวาดเสร็จ ผิวกระจกบานใหญ่ในห้องเกิดการกระเพื่อมคล้ายผิวน้ำ
แสงสีเงินสว่างขึ้น เรียงตัวกันเป็นประโยค
“นายท่านผู้ยิ่งใหญ่ อาโรเดส ข้ารับใช้ที่ซื่อสัตย์และแข็งแกร่งของท่าน พร้อมที่จะช่วยเหลือท่านแล้ว! นายท่านมีเรื่องจะถามข้าใช่ไหม?”
“ใช่” ไคลน์พยักหน้า มองออกไปนอกหน้าต่างและพูด “โจนาส·โคลเกอร์มีพลังระดับครึ่งเทพแบบใด และพกพาสมบัติปิดผนึกใดไว้กับตัว?”
อันที่จริง มันมีข้อมูลเหล่านี้อยู่บ้างแล้ว เพราะนับตั้งแต่กำหนดให้โจนาสเป็นหนึ่งในเป้าหมาย มันก็เริ่มสืบหาข้อมูลที่สอดคล้องกัน เพียงแต่อยากได้ยินจากปากอาโรเดสเพิ่มเติม เผื่อว่าจะพบประเด็นใหม่ที่ตนตกหล่นไป
บนผิวกระจกเงาที่สูงเท่าคน ตัวอักษรสีเงินบิดเบี้ยวและเรียงตัวเป็นข้อความใหม่
“นายท่านผู้ยิ่งใหญ่ โจนาส·โคลเกอร์คือ ‘เคาต์แห่งการเสื่อมถอย’ เพื่อที่จะปกปิดพลังครึ่งเทพของตัวเอง เขาพกพาสมบัติปิดผนึกเส้นทาง ‘นักกฎหมาย’ เช่นเดียวกับตัวเอง แต่มีการผสมผสานเส้นทาง ‘ผู้ตัดสิน’ เข้าไปด้วยบางส่วน ชื่อของมันคือ ‘แสงเงาประชันดนตรี’ ”
……………………