Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ – ราชันเร้นลับ 637 : อนาคตกาล

ราชันเร้นลับ 637 : อนาคตกาล

“เตรียมพร้อมหรือยัง” โคลินเปล่งเสียงถามขณะยืนมองออกไปนอกหน้าต่าง

เดอร์ริคที่มีขวานเฮอร์ริเคนเหน็บอยู่ข้างเอว ทำการโค้งศีรษะคำนับพลางมอบคำตอบ

“พร้อมครับ!”

ตลอดสองเดือนที่ผ่านมา ภารกิจลาดตระเวนและการฝึกฝนอย่างหนักได้ช่วยขัดเกลาให้เด็กหนุ่มชำนาญพลังพิเศษของ ‘ข้ารับใช้สุริยัน’ ปัจจุบันจึงอยู่ไม่ไกลจากการย่อยโอสถเสร็จสมบูรณ์มากนัก

ปัจจุบัน เดอร์ริคหวังจะซื้อสูตรผลิตโอสถลำดับ 6 ของเส้นทางสุริยันจากชุมนุมทาโรต์ให้ได้ภายในสองหรือสามสัปดาห์ถัดไป รากฐานการพัฒนาลำดับของตนจะได้มีความมั่นคง

เมื่อ ‘คนเลี้ยงแกะ’ โลเฟียร์·ทิฟฟานี่ถูกปล่อยตัวเป็นอิสระ เดอร์ริคเริ่มทวีความหวาดระแวงในทุกลมหายใจ และเชื่อว่ามีเพียงการก้าวไปเป็นลำดับ 5 เหมือนกันเท่านั้น จึงพอจะถ่วงดุลมิให้อีกฝ่ายก่อปัญหาร้ายแรงแก่เมืองเงินพิสุทธิ์

อย่างไรก็ตาม การเลื่อนเป็นลำดับ 6 ยังไม่ใช่ปัญหาใหญ่ที่สุดสำหรับมัน เนื่องจากเมืองเงินพิสุทธิ์พื้นฐานด้านเทคนิคสวมบทบาท แถมยังมีวัตถุดิบหลักเหลือเฟือพอจะผลิตโอสถได้เกือบทุกเส้นทาง ขอเพียงมีสูตรผลิตและหมั่นสะสมคะแนนผลงานอย่างต่อเนื่อง ลำดับ 6 ก็จะอยู่แค่เอื้อมเท่านั้น ของจริงอยู่ที่ลำดับ 5 ต่างหาก เนื่องจากต้องประกอบพิธีกรรมซับซ้อนซึ่งยังไม่แน่ว่าสามารถกระทำในเมืองเงินพิสุทธิ์ได้

โคลินพยักหน้ารับ ผมสีเทาสั่นไหวเล็กน้อย

“ภายในสองวัน ผมจะนำทีมสำรวจไปยังจุดใกล้กับวังราชาคนยักษ์ และเริ่มปฏิบัติการเก็บกวาด ‘หมู่บ้านยามบ่าย’ รอบที่สอง พลังของคุณจำเป็นอย่างมากในภารกิจ”

จากการหมั่นศึกษาหาความรู้ตลอดสองเดือนที่ผ่านมา ชื่อของ ‘หมู่บ้านยามบ่าย’ ได้ผ่านสายตาเดอร์ริคมาไม่น้อย เด็กหนุ่มจึงไม่เผยสีหน้าประหลาดใจเมื่อได้ยิน

หากต้องการเดินทางไปยังวังราชาคนยักษ์ ทีมสำรวจจะมิอาจเลี่ยงหมู่บ้านยามบ่ายได้เลย โดยที่นั่น มนุษย์และคนยักษ์เคยอาศัยร่วมกันอย่างสันติสุขมานานหลายปี และมีความใกล้ชิดกับถิ่นพำนักของเทพบรรพกาลอย่างมาก จึงไม่แปลกที่จะถูกเรียกว่า ‘ประตูบานสุดท้ายสู่ดินแดนแห่งทวยเทพ’

“ขอรับ ท่านเจ้าเมือง” เดอร์ริคไม่มีเหตุผลให้ต้องปฏิเสธ

ณ โรงแรมแห่งหนึ่งในเมืองสีขาว นาส

ไคลน์นั่งหลังโต๊ะอ่านหนังสือ ตามองออกไปนอกหน้าต่างและเห็นก้อนเมฆเปลี่ยนรูปทรงอย่างต่อเนื่อง รอคอให้ถึงยามเย็นด้วยใจจดจ่อ

สองทุ่มตรงเมื่อไร มันจะโดยสารเรือธงของพลเรือเอกดวงดาว ‘อนาคตกาล’ จากท่าเรือหมายเลข 6 และเริ่มต้นการเดินทางไปยังสุดเขตตะวันออกของทะเลโซเนีย

โดยไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นบ้างบนเกาะการ์กัส แดนสวรรค์ของโจรสลัด มันก็จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวให้เสียเวลา

ดังนั้น ถึงแม้จะเตร็ดเตร่ไปตามถนนและได้พบกับอันธพาลหรือโจรสลัดที่มีค่าหัว ไคลน์ก็มีได้ใส่ใจจะเปลี่ยนพวกมันให้เป็นทองคำแท่ง เพราะความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยอาจทำให้กำหนดการตามหานางเงือกถูกเลื่อนออกไป

สัมผัสวิญญาณของเราระบุอย่างชัดเจนว่า จากเหตุการณ์เมื่อตอนเที่ยง จอมเชือด·จิลเซียสจ้องเราอย่างสนใจ… ทางนี้ก็ไม่ขัดข้องหรอกนะ หากอีกฝ่ายจะนำค่าหัวมาให้ถึงที่…

หึหึ… หากนับรวมฝีมือทางด้านกลอุบายและกลยุทธ์ ถึงเราจะไม่พึ่งพาคทาเทพสมุทรกับถุงมืออินธน์ แต่ก็น่าจะยังเหนือกว่ามันเล็กน้อย จุดแข็งคือความพิสดารและหลากหลาย…

ไคลน์หลับตาลงพร้อมกับสร้างบอลแสงซ้อนทับภายในใจ ส่งตัวเองเข้าฌานเพื่อให้สมาธิคมกริบตลอดเวลา

ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ สัมผัสวิญญาณของชายหนุ่มถูกกระตุ้นกะทันหันจนต้องลืมตา

ณ ขอบฟ้าฝั่งทิศตะวันตก ดวงอาทิตย์ใกล้ลาลับไปจากโลก แสงสีแดงส้มกำลังฉาบมหาสมุทรประหนึ่งทะเลเพลิงลุกไหม้ สาดส่องเข้ามาในห้องพักจนเกิดเงาในจุดที่ไม่ถูกตกกระทบ

ทันใดนั้น คล้ายกับเงาดำมีชีวิตชีวาขึ้นมากะทันหัน โดยเริ่มหมุนเป็นเกลียวและยืดตัวขนานกับแนวกำแพงห้อง

ความมืดมิดในจุดดังกล่าวมีสีเข้มจนผิดธรรมชาติ คล้ายกับพยายามกระตุ้นจิตใต้สำนึกแสนชั่วร้ายจากก้นบึ้งจิตใจมนุษย์ทุกคน

ไคลน์จ้องฉากตรงหน้าโดยไม่เผยอารมณ์แท้จริง เพียงยกมือซ้ายขึ้นพร้อมกับขยับปลายนิ้วอย่างคล่องแคล่ว

เงาดำเปล่งเสียงที่สากยิ่งกว่ากระดาษทราย

“เกอร์มัน·สแปร์โรว์ อย่าได้คิดยุ่งเกี่ยวกับเหตุการณ์เมื่อตอนกลางวันเด็ดขาด นี่คือเจตจำนงของราชาอมตะ”

เมื่อสิ้นเสียงแหบพร่า เงาดำร่วงกราวลงพื้นในลักษณะของเหลว แปรสภาพกลับไปเป็นเงาธรรมชาติตามเดิม

ไคลน์มิได้แยแสเงาดำ เพียงจ้องออกไปนอกหน้าต่างอย่างมีสมาธิ

ชายหนุ่มสัมผัสได้ว่า ผู้บงการเงาต้องอยู่ที่ใดสักแห่งบนถนนฝั่งตรงข้าม หรือก็คือ อีกฝ่ายไม่มีเจตนาจะใช้เงาดำลงมือกับตนตั้งแต่แรก

“นึกแล้วเชียว จอมเชือด·จิลเซียสตระหนักว่าเราคือเกอร์มัน·สแปร์โรว์ เมื่อตอนเที่ยงจึงรีบหันหลังออกจากผับทันที แต่มันอาจมิได้หวาดกลัวเราคนเดียว เพราะตรงนั้นยังมีนักผจญภัยที่ค่อนข้างแข็งแกร่งอีกหนึ่งคน… พลังเมื่อครู่คล้ายกับ ‘ผู้ปลดปล่อยแรงกระหาย’ ในกรุงเบ็คลันด์มาก ยิ่งสอดคล้องกับสมมติฐานก่อนหน้าเรา ซึ่งคาดว่ามันน่าจะมาจากเส้นทางปีศาจ …เอ่ยชื่อของราชาอมตะเพื่อข่มขู่? คิดว่าแค่นี้จะกลัว? ผิดถนัด! ตอนแรกก็ไม่อยากจะยุ่ง แต่ตอนนี้ชักเริ่มคันไม้คันมือแล้วสิ… ไม่… ไม่ได้… ต้องใจเย็นไว้ ตอนนี้เราต้องมีสมาธิกับการตามหานางเงือก อย่าได้หาเหาใส่หัวโดยไม่จำเป็น”

ไคลน์เบือนหน้าหนีพลางรำพัน

ชายหนุ่มชั่งน้ำหนักในใจว่าควรแจ้งข่าวให้โบสถ์เทพสงครามในเมืองนาสทราบดีหรือไม่ แต่หลังจากไตร่ตรองอย่างรอบคอบ มันเชื่อว่าคงไม่เกิดประโยชน์อันใดนัก

สำหรับจักรวรรดิฟุซัคและอาณานิคมทั้งหมด ศาสนาเดียวที่ถูกกฎหมายคือโบสถ์เทพสงคราม จริงอยู่ จำนวนครึ่งเทพของศาสนาเทพสงครามอาจมากกว่าโบสถ์รัตติกาล แต่ก็มากกว่าเพียงเล็กน้อย เมื่อเทียบกับขนาดดินแดนที่ต้องปกครองดูแล ถึงจะรวมครึ่งเทพของกองทัพ ราชวงศ์ และหน่วยพิเศษเข้าไปด้วย ก็ยังไม่มากพอจะปกป้องทุกเกาะทุกดินแดนในการครอบครองอย่างทั่วถึง และแน่นอน เกาะการ์กัสซึ่งมีเพียงธุรกิจเกี่ยวกับวาฬขาวเป็นหลัก ย่อมมีความสำคัญรองลงมา

จากข้อมูลที่ไคลน์ศึกษาเบื้องต้น อาร์ชบิชอปแห่งโบสถ์เทพสงครามในหมู่เกาะการ์กัสเป็นเพียงผู้วิเศษลำดับ 5 ‘การ์เดี้ยน’ เมื่อผนวกเข้ากับตุลาการจากศาลสูง บารอนจากตระกูลราชวงศ์ นาวาเอกพิเศษจากกองทัพเรือ ทั้งหมดผนึกกำลังกันจนเป็นกองทัพผู้วิเศษที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้พวกมันปกครองเกาะแห่งนี้ได้อย่างมั่นคงคือสมบัติปิดผนึก ไคลน์เชื่อว่าระดับของมันต้องไม่ต่ำกว่า 1 เพื่อให้มีขุมพลังทัดเทียมกับโจรสลัดที่อาจเข้ามาปั่นป่วน เพื่อคอยปกป้องธุรกิจเกี่ยวกับโรงกลั่นน้ำมันวาฬและอำพันเทา ให้ไม่กลายไปเป็นหนึ่งในท่อน้ำเลี้ยงของสี่ราชาโจรสลัด

ด้วยเหตุผลข้างต้น กองทัพของทางการบนเกาะการ์กัสจึงอยู่ในสภาพตั้งรับอย่างเจียมตัว คอยระวังเฉพาะจุดสำคัญและเหตุการณ์ที่อาจเป็นภัยคุกคามร้ายแรงเท่านั้น ขอเพียงโจรสลัดไม่ก่อเรื่องอุกอาจ พวกมันจะไม่สิ้นเปลืองกำลังคนเข้ามาปราบปราม

แจ้งไปก็คงไม่เกิดประโยชน์… เป็นสาเหตุว่าทำไมที่นี่ถึงถูกขนานนามให้เป็นแดนสวรรค์ของโจรสลัด และยังเป็นเหตุผลที่บิลต์ต้องก่อตั้งสหภาพนักผจญภัย…

ไคลน์ถอนหายใจยาวและพับเก็บแผนการ

เมื่อเสร็จอาหารเย็นและเสร็จการนอนพักผ่อนก่อนเวลานัดหมาย ไคลน์กดปุ่มเปิดกลไกนาฬิกาพกสีทองเพื่อตรวจสอบเวลา

หลังจากยืนยันว่ายังหนึ่งทุ่มตรง ชายหนุ่มเริ่มประกอบพิธีกรรมอัญเชิญตัวเองและตอบสนองเสร็จสรรพ นำสมบัติวิเศษชิ้นแล้วชิ้นเล่าเข้าออกมิติสายหมอก พยายามปรับแต่งอุปกรณ์การรบของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ให้เหมาะสม

เนื่องจากเป็นการเดินทางท่ามกลางมหาสมุทร สมบัติวิเศษอย่าง ‘กระดุมข้อมือเมอร์ล็อก’ จึงจำเป็นอย่างยิ่ง รวมไปถึงยันต์หลากหลายชนิดในขอบของเทพสมุทร ไคลน์จึงต้องเก็บเข็มกลัดสุริยันและอินธน์กลับเข้ามิติหมอก

และสิ่งที่จะขาดไม่ได้เลยก็คือ ‘ยุบพองหิวโหย’ รวมถึงสิ่งที่น่าจะเป็นประโยชน์อย่างขวดพิษชีวภาพและปืนลูกโม่ดัดแปลงพร้อมเครื่องกระสุนหลายชนิด ประกอบด้วยกระสุนชำระล้างเจ็ดนัด กระสุนปราบมารสิบสามนัด และกระสุนปัดเป่าสองนัด

หลังจากสวมโค้ท ไคลน์วางนกหวีดทองแดงของอะซิกลงบนโต๊ะ นำกระเป๋าสตางค์ซึ่งมีเงินรวมห้าสิบปอนด์สอดไว้ในกระเป๋าเสื้อด้านใน ทำเช่นเดียวกันกับฮาร์โมนิก้าและแผ่นยันต์โลหะ

เมื่อจัดการเสร็จ ชายหนุ่มสัมผัสปืนใต้รักแร้และลูบคลำกระดุมข้อมือฝั่งซ้ายเพื่อยืนยันให้แน่ใจ จากนั้น มันไล่ติดกระดุมเสื้อโค้ทสองแถวจากล่างขึ้นบน สวมหมวกผ้าไหมทรงกึ่งสูง ยกกระเป๋าเดินทางที่บรรจุเสื้อผ้าสำหรับผลัดเปลี่ยนและอุปกรณ์จำเป็นอีกเล็กน้อย เปิดประตูห้องพร้อมกับเดินออกจากโรงแรม เช่ารถม้ามุ่งหน้าไปยังเขตท่าเรือทันที

หลังจากรอคอยที่ท่าเรือหกอย่างใจเย็นสักพัก มันเห็นเรือใบลำมหึมาแล่นเข้าหาจากจุดห่างไกล

อ้างอิงจากความรู้อันน้อยนิดเกี่ยวกับเทคโนโลยีสร้างเรือ ไคลน์เชื่อว่าเรือใบลำใหญ่เช่นนี้ไม่ควรใช้งานได้จริงตามหลักฟิสิกส์ แต่นั่นกลับไม่เป็นอุปสรรคในการแล่นไปบนน้ำทะเลยามค่ำคืน

เมื่อเรือใบแล่นเข้าใกล้กับท่าจอด ธงเรือถูกเผยให้เห็นอย่างเด่นชัดท่ามกลางแสงจันทร์สีแดง บนผืนธงปรากฏภาพของดาวจำนวนสิบดวง เรียงรายล้อมเนตรอันเย็นชาที่ปราศจากขนตา

“พลเรือเอกดวงดาว!”

“อนาคตกาล!”

โจรสลัดรอบท่าที่หกซึ่งกำลังคุ้มกันเรือของตนต่างพากันส่งเสียงฮือฮา เขตทั้งเขตกลายเป็นศูนย์กลางความโกลาหลชั่วคราว

ราวสิบวินาทีถัดมา ปืนใหญ่ชายฝั่งทุกกระบอกบนภูเขารีบหันหัวเล็งมาทางเรือใบลำใหญ่ด้วยท่าทีตื่นตระหนก

แก๊ง! แก๊ง! แก๊ง…

ณ ระฆังวิหารในจุดห่างไกลออกไป นาฬิกาเริ่มตีบอกเวลาสองทุ่มตรง

ขณะบรรยากาศตึงเครียดรอบท่าเรือที่หกเริ่มทวีความคุกรุ่น ‘อนาคตกาล’ แล่นมาหยุดในจุดที่ห่างไปจากเรือปรกติเล็กน้อย

สตรีสวมชุดคลุมสีดำทรงโบราณปรากฏกายบนหัวเรือขนาดใหญ่ ผิวของชุดคลุมเต็มไปด้วยลวดลายซับซ้อนและอักขระเวทมนตร์ ราวกับเป็นเครื่องแต่งกายของจอมอาคมทรงพลังจากอดีตกาลก็มิปาน

ท่ามกลางแสงจันทร์แดงสลัว น้ำทะเลเบื้องหน้าหญิงสาวเริ่มปรากฏแสงระยิบระยับดุจดังหมู่ดาราพราวพราย เรียงร้อยต่อกันเป็นสะพานซึ่งทอดยาวมาถึงขอบท่าเรือหมายเลขหก

อลังการฉิบ… สมกับเป็นหนึ่งในเจ็ดพลเรือโจรสลัด แถมยังเป็น ‘พลเรือเอก’ ที่เหนือกว่า ‘ธารน้ำแข็ง’ และ ‘โรคภัย’ เล็กน้อย…

ไคลน์พ่นลม ภายในใจนึกอยากเลื่อนมือขึ้นมาปิดหน้า

มันไม่ต้องการเปิดเผยให้ใครทราบว่า เกอร์มัน·สแปร์โรว์ นักผจญภัยเสียสติ แอบร่วมมือกับพลเรือเอกดวงดาวอย่างลับ ๆ

อดทนไว้… ตอนนี้เราต้องยึดติดกับการสวมบทบาทเพื่อย่อยโอสถ ไว้ย่อยสมบูรณ์และกลับไปยังทวีปเหนือเมื่อไร ตัวตนเกอร์มัน·สแปร์โรว์จะไม่โผล่ออกมาโลดแล่นในทะเลอีกเลย…

ไคลน์เดินออกจากมุมมืดสำหรับซ่อนตัว มือข้างหนึ่งกดหมวกต่ำ ส่วนอีกข้างถือกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ สองเท้าย่างกรายขึ้นไปบนสะพานดวงดาวอย่างหนักแน่นมั่นคง

ชายหนุ่มเดินในท่วงท่าสง่างามไปตามแนวสะพานที่ทอดยาว สายตามองตรงไปยังปืนใหญ่ชายฝั่งบนภูเขาทิศตรงกันข้าม มันไม่รีบร้อนแต่ก็ไม่ลีลาที่จะส่งตัวเองขึ้นไปบนอนาคตกาลซึ่งจอดลึกเข้าไปในทะเล

สะพานดาวใต้ฝ่าเท้ามีลักษณะกึ่งล่องหน มองลงไปจากมุมบนจะเห็นทะเลน้ำทะเลสีเข้มสาดกระเพื่อม หากใครเป็นโรคกลัวความสูงคงได้แข้งขาอ่อนแรงจนล้มพับ

ของแค่นี้สบายมาก… เราผ่านลำดับตัวตลกมานานแล้ว แถมยังเคยวิ่งลงจากหอระฆัง…

ไคลน์ส่งตัวเองผ่านระยะทางสิบก้าวสุดท้ายและย่างกรายลงบนดาดฟ้าเรืออย่างนุ่มนวล

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับดวงตาสีม่วงเข้มของพลเรือเอกดวงดาว·แคทลียา ชายหนุ่มมิได้เผยอาการประหม่า เพียงถอดหมวกทาบหน้าอกและโค้งศีรษะคำนับอย่างสง่างาม

“สายัณห์สวัสดิ์ มาดาม”

……………………

Lord of the Mysteries

Lord of the Mysteries

ป็นเรื่องราวการข้ามโลกของหนุ่มชาวจีนนามว่า โจวหมิงรุ่ย โลกใบที่ชายคนนี้ต้องเผชิญมีลักษณะคล้ายคลึงกับยุควิกตอเรียของยุโรป ยุคสมัยแห่งจักรกลไอน้ำเฟื่องฟู สุภาพบุรุษขุนนางเดินขวักไขว่ด้วยสูทและเสื้อกั๊กมาดเท่ แน่นอน เป็นโลกที่มีพลังพิเศษ ผู้วิเศษ และ สัตว์วิเศษ แต่พลังของมนุษย์บนโลกจะไม่เหมือนกับนิยายเรื่องใด ไม่มีจอมยุทธ์ ไม่มีการบังเอิญพบคำภีลับและได้ครอบครองยอดเคล็ดวิชา ไม่ได้เกิดใหม่พร้อมกับพลังสุดโกง ไม่เลย ไม่น่าเบื่อและจืดชืดขนาดนั้น ในอดีตกาล เผ่าพันธุ์มนุษย์อันต่ำต้อยมิอาจต่อสู้กับเหล่าสัตว์วิเศษในตำนานไหว หนึ่งในหนทางครอบครอง ‘พลังพิเศษ’ ก็คือการดื่ม ‘โอสถ’ หลังจากมนุษย์ดื่มโอสถและกลายเป็น ‘ผู้วิเศษ’ พวกเขาจะข้ามขีดจำกัดเดิมตามแต่ชนิดโอสถที่ดื่ม ผู้วิเศษในโลกแบ่งออกเป็น 9 ลำดับ โดยลำดับ 9 จะอ่อนแอที่สุด หนทางอัพเกรดลำดับก็แสนพิลึก ไม่ใช่การพัฒนาพลังเหมือนนิยายเรื่องใด แต่เป็นการดื่ม ‘โอสถ’ ที่ ‘ถูกต้อง’ ตามสูตรของลำดับถัดไป พลังพิเศษไม่สามารถข้ามสายได้ โอสถแต่ละชนิดจะมีสูตรการปรุงที่แตกต่าง แถมการฝึกฝนพลังของผู้วิเศษก็ยังพิสดารเหนือคำบรรยาย เรื่องราวจะยิ่งเข้มข้นขึ้นเมื่อตัวเอกเริ่มทราบว่า อดีตมหาจักรพรรดิของโลกเมื่อร้อยปีก่อนเป็น ‘ผู้เดินทางข้ามโลก’ เหมือนกับเขา แถมยัง… เหลือทิ้งไดอารี่สุดสำคัญไว้ให้ชนรุ่นหลัง แต่ไดอารีถูกเขียนด้วยภาษาจีนที่ไม่มีใครอ่านออกแม้แต่คนเดียว… ยกเว้นโจวหมิงรุ่ย With the rising tide of steam power and machinery, who can come close to being a Beyonder? Shrouded in the fog of history and darkness, who or what is the lurking evil that murmurs into our ears? Waking up to be faced with a string of mysteries, Zhou Mingrui finds himself reincarnated as Klein Moretti in an alternate Victorian era world where he sees a world filled with machinery, cannons, dreadnoughts, airships, difference machines, as well as Potions, Divination, Hexes, Tarot Cards, Sealed Artifacts… The Light continues to shine but mystery has never gone far. Follow Klein as he finds himself entangled with the Churches of the world—both orthodox and unorthodox—while he slowly develops newfound powers thanks to the Beyonder potions. Like the corresponding tarot card, The Fool, which is numbered 0—a number of unlimited potential—this is the legend of “The Fool”.

Comment

Options

not work with dark mode
Reset