ผู้นำนิกายกายาสวรรค์มีนามว่าฟอลเล็ต·เคน เพศชาย อายุราวสามสิบ หนวดสีน้ำตาลคมเข้มบนใบหน้าผมเพรียว ลำคอมีรอยสักประหลาดแฝงกลิ่นอายความชั่วร้าย
ขณะถูกลัวอานนำตัวมาพบไคลน์ สีหน้าของฟอลเล็ต·เคนกำลังอมทุกข์สุดขีด ประหนึ่งถูกทรมานนานาชนิดตลอดทั้งวัน
“ท่านนายพล ขณะพวกเรานำกำลังเข้าจับกุม ชายคนนี้แลกเปลี่ยนสติสัมปชัญญะให้เป็นพลังหลายหน จิตจึงใกล้แตกสลายเต็มที”
ลัวอาน เลขานุการผมทอง รายงานไปตามระเบียบปฏิบัติ โดยไม่สนว่านายพลอมิรุสจะทราบอยู่ก่อนแล้วหรือไม่
เข้าทางพอดี…
ไคลน์กังวลว่าลำดับ ‘คนบ้า’ จะมีพลังต้านทาน ‘ทะลวงจิต’ ของตน และอาจไม่ยอมแพร่งพรายข้อมูล วิธีเค้นความจริงจึงเหลือเพียงการสื่อวิญญาณโดยตรง และนั่นอาจทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาคนอื่นพบสิ่งผิดปรกติ
หลังจากจ้องฟอลเล็ต·เคนด้วยสายตาเย็นชาสักพัก มือซ้ายไคลน์ที่ซ่อนอยู่ใต้โต๊ะอ่านหนังสือ เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีทองสว่าง
ยุบพองหิวโหยถูกสลับดวงวิญญาณไปเป็น ‘นักสอบสวน’ !
นักสอบสวนคือลำดับ 7 แห่งเส้นทางผู้ตัดสิน และเป็นเส้นทางเดียวกับนายพลอมิรุส!
ลึกเข้าไปในดวงตาไคลน์ สายฟ้าสีเงินจำนวนสองเส้นเริ่มสว่างไสว ซ้อนทับกับใบหน้าของฟอลเล็ต·เคนที่กำลังสะท้อนบนกระจกตา
‘ทะลวงจิต’ พร้อมใช้งาน!
อย่างไรก็ตาม ไคลน์มิได้ใช้มันสร้างความเสียหายกับดวงวิญญาณไปตามปรกติ เพราะพลังชนิดนี้อยู่เพียงลำดับ 7 หากลัวอานเห็นเข้าคงเกิดความสงสัยแน่
ชายหนุ่มตัดสินใจพึ่งพาเพียง ‘แรงกดดันทางวิญญาณ’ ที่เป็นสภาวะเตรียมพร้อมก่อน ‘ทะลวงจิต’ จะแสดงผล
ไคลน์ยังคงนั่งนิ่ง กล่าวเสียงทุ้มต่ำด้วยมาดเคร่งขรึมของนายพลอมิรุส
“รู้จักซินเธียไหม”
เมื่อกล่าวจบ ชายหนุ่มปล่อยจี้นอแรดห้อยลงตามแรงโน้มถ่วง โดยยังคงจับสายสร้อยเอาไว้
จากนั้นก็ซักถามพลางเขย่ามือ
“สิ่งนี้คืออะไร มีไว้ทำอะไร”
ร่างกายอันอ่อนแอของฟอลเล็ต·เคนพลันสั่นสะท้าน ดวงวิญญาณคล้ายกับถูกมีดคมจดจ่อ พร้อมกรีดเฉือนทุกเวลาหากมันพูดจาไม่เข้าหู
ฟอลเล็ต·เคนรีบก้มศีรษะต่ำ ละล่ำละลักออกมาอย่างติดขัด
“ร…รู้จักขอรับ! ซินเธีย… ม…มิสซินเธียต้องการมีทายาทกับท่านนายพล หมายถึงทายาทที่เกิดมาพร้อมพลังพิเศษ พ่อและแม่ของนางจึงพามาหากระผม สิ่งนี่คือ ‘สร้อยขยายตัณหา’ ที่เกิดจากออร่าแห่งเทพ เพียงดื่มผงของมันและสวมใส่เป็นเวลานาน อำนาจของสร้อยทำให้ท่านนายพลมิอาจหักห้ามแรงกระหาย”
ไคลน์นั่งฟังเงียบงัน สำหรับคำอธิบายของฟอลเล็ต·เคน มันเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
ครึ่งที่เชื่อคือจุดประสงค์ของซินเธีย หญิงงามรายนี้คงต้องการมีทายาทกับอมิรุสจริง ถึงจะถูกพ่อแม่บังคับทางอ้อม แต่ด้วยความรักที่มีต่อนายพล เธอคงต้องการมีครอบครัวอันอบอุ่น
เหนือสิ่งอื่นใด ความปรารถนาที่แท้จริงได้ถูกเผยให้เห็นขณะกลายร่างเป็นสัตว์ประหลาดแล้ว
จริงอยู่ ขุนนางโลเอ็นมักไม่ต้อนรับลูกนอกสมรสสักเท่าไร อาจถึงขั้นขับไล่ไสส่ง แต่นั่นก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ เพราะถ้าถือกำเนิดอย่างราบรื่นโดยสืบทอดตะกอนพลังของบิดาสำเร็จ ความสนใจจากเบื้องบนก็จะเป็นคนละเรื่องทันที
ตระกูลเก่าแก่ส่วนมากมักทราบความลับเกี่ยวกับ ‘พรสวรรค์’ ทางสายเลือด และตระกูลรีเวลต์คงไม่ใช่ข้อยกเว้น
ไม่เพียงเท่านั้น แม้นายพลอมิรุสจะดูเป็นคนเจ้าระเบียบและหัวโบราณ แต่ในใจกลับอ่อนโยนและใส่ใจกับความรักอย่างมาก ดังนั้น ถึงจะเป็นลูกนอกสมรส แต่ก็คงเอ็นดูไม่ด้อยไปกว่าทายาทตระกูลหลักมากนัก… นั่นคงเป็นสาเหตุที่ซินเธียต้องการมีลูกกับเขา…
ไคลน์ถอนหายใจยาว
ส่วนที่มันยังคลางแคลงในคำพูดฟอลเล็ต·เคนก็คือ คุณสมบัติที่แท้จริงของสร้อยขยายตัณหา และจุดประสงค์แท้จริงที่นิกายกายาสวรรค์หวังจากพฤติกรรมของซินเธีย
ไคลน์เริ่มเพิ่มแรงข่มขวัญทางวิญญาณ พลางจ้องเข้าไปในดวงตาฟอลเล็ต·เคน จนกระทั่งอีกฝ่ายสั่นกลัวและก้มหน้าลงไปอีกรอบ
“แล้วสร้อยเส้นนี้ยังมีคุณสมบัติใดอีก” ไคลน์เปล่งเสียงพลางเขย่าสร้อยชำรุดในมือ
เป็นน้ำเสียงอันเยือกเย็นราวกับกำลังตักเตือนอีกฝ่ายว่า : ฉันทราบความลับทั้งหมดแล้ว รอให้แกยืนยันจากปากเท่านั้น
แรงกดดันมหาศาลอันยากจะหาคำอธิบาย กำลังข่มขวัญดวงวิญญาณของฟอลเล็ต·เคนจนแทบสิ้นสติ
ผ่านไปสักพัก ผู้นำแห่งนิกายกายาสวรรค์เริ่มทนไม่ไหว ทรุดลงไปกราบกับพื้นห้อง ส่งเสียงโหวกเหวกราวกับคนบ้า
“ม…มันสามารถกัดกร่อนท่านได้! หากซินเธียขูดผงของมัน ชงดื่ม และสวดวิงวอนถึงนามเต็มของพระมารดาพฤกษา ใครก็ตามที่มีสัมพันธ์กับนางจะถูกกัดกร่อน อีกทั้งยังรับประกันว่าจะตั้งครรภ์อย่างแน่นอน! ท…ท่านจะกลายเป็นสาวกผู้เชื่อในมารดาพฤกษาแห่งแรงกระหาย กลายเป็น ‘ข้ารับใช้’ ผู้ใกล้ชิดพระองค์!”
อย่างนี้นี่เอง…
ไคลน์พลันกระจ่าง หมดข้อสงสัยในเหตุการณ์เมื่อคืนโดยสิ้นเชิง
จุดประสงค์ของนิกายกายาสวรรค์ไม่ซับซ้อน แค่ยุยงให้ซินเธียใช้งาน ‘สร้อยขยายตัณหา’ และเสพสมกับอมิรุส กัดกร่อนนายพลแห่งกองทัพเรือโลเอ็น เปลี่ยนให้เป็นสาวกของมารดาพฤกษาแห่งแรงกระหาย หลังจากนั้น นิกายกายาสวรรค์ก็จะเติบโตราวกับติดปีก กล้าทำเรื่องผิดกฎหมายบนเกาะอย่างโฉ่งฉ่างมากขึ้น
กุญแจสำคัญของภารกิจนี้คือ ต้องไม่เปิดเผยความจริงให้ซินเธียทราบ แสร้งทำตัวไปตามปรกติ หลีกเลี่ยงการเอ่ยถึง ‘พลังอำนาจ’ ‘ความรุนแรง’ และ ‘ความน่ากลัว’
หลังจากซินเธียถูกเราปฏิเสธสามครั้ง ร่างกายของเธอมิอาจทนรับการกัดกร่อนจากสร้อยคอได้อีก พลังชั่วร้ายจึงเอ่อล้นจนเกินขีดจำกัด และเกิดเป็นอุโมงค์วิญญาณเชื่อมต่อกับมารดาพฤกษาแห่งแรงกระหาย กลายร่างเป็นสัตว์ประหลาดในที่สุด…
อย่างไรก็ตาม ร่างสัตว์ประหลาดของเธอจะไม่เป็นอันตรายกับนายพลอมิรุสตัวจริง เพราะแม้แต่เรายังจัดการได้ด้วยยันต์กฎหมายที่เก้าอย่างง่ายดาย… นิกายกายาสวรรค์คงไม่อยากให้นายพลอมิรุสเป็นอันตรายถึงชีวิต เพราะพวกมันหวังควบคุมเขาในทางลับ มิใช่กำจัดทิ้ง…
ไคลน์หันไปหาลัวอานโดยไม่กล่าวสิ่งใด
เลขานุการผู้เริ่มเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด รีบก้มศีรษะลงต่ำ เปล่งเสียงขึงขัง
“ท่านนายพล นี่คือความผิดพลาดของผม ที่ผ่านมา ทางเราอาจจับตามองมิสซินเธียทุกฝีก้าวก็จริง แต่ไม่เคยขยายผลไปถึงครอบครัว ญาติพี่น้อง และคนใกล้ชิด ผมยินดีรับการลงโทษทุกรูปแบบ หรือแม้กระทั่งขึ้นศาลทหาร”
ในสถานการณ์เช่นนี้ นายพลอมิรุสจะตอบสนองอย่างไร…
ไคลน์จมดิ่งเข้าไปในตัวตนอมิรุสอีกครั้ง เริ่มตระหนักถึงความเจ็บปวด สิ้นหวัง เศร้าโศก และโกรธเคือง ที่ถาโถมเข้ามาในช่วงสองสามวันหลัง
มันยังคงนั่งในท่าสง่างาม เปล่งเสียงขรึม
“สำหรับเรื่องนี้ ไว้ค่อยคุยกันทีหลัง”
ความนัยที่แฝงมาด้วยก็คือ : ฉันจะคอยดูความกระตือรือร้นของนายหลังจากนี้!
ได้ยินเช่นนั้น ลัวอานผงะไปหลายวินาที เพราะหากประเมินจากความเสียหายที่เกิดขึ้น มันไม่อยากเชื่อว่านายพลอมิรุสจะยังไม่ลงโทษสถานหนักในทันที
ไคลน์หลับตาลง กล่าวเสียงแผ่วเบา
“บิดาของผม อดีตเอิร์ลรีเวลต์ผู้ล่วงลับ เคยมอบคำสอนไว้ว่า : จงยกโทษให้กับความผิดพลาดครั้งแรกของผู้ใต้บังคับบัญชา “ลัวอาน… คุณและบอดี้การ์ดต้องขอบคุณความกรุณาของท่าน”
ลัวอานกะพริบตาถี่ ถอนหายใจสั้น และกล่าวด้วยสีหน้าซาบซึ้งที่มิใช่เสแสร้ง
“ผมขอรับความกรุณาครั้งนี้ไว้ด้วยใจ หากไม่นับองค์เทพ อาณาจักร และหลักการของตัวเอง หลังจากนี้ไป ผมขอจงรักภักดีต่อท่านนายพลแต่เพียงผู้เดียว”
ด้วยนิสัยเย่อหยิ่งที่เป็นเนื้อแท้ของนาย คำพูดเมื่อครู่คงเกินจริงไปสักหน่อย…
ไคลน์ไม่ถือคำสัญญาของลัวอานเป็นสำคัญ เพียงตอบกลับไปด้วยเสียงขรึม
“คำสอนของท่านยังเหลืออีกครึ่งหนึ่ง นั่นก็คือ : จงลงโทษอย่างเด็ดขาดเมื่อลูกน้องกระทำผิดซ้ำสอง”
ลัวอานพยักหน้ารับ มิได้ประหลาดใจนัก
ไคลน์ก้มลงไปจ้องฟอลเล็ต·เคนที่กำลังนอนหมอบกราบ ซักถามด้วยสีหน้าไม่แปรเปลี่ยน
“ใครคือผู้บงการ”
ก่อนจะถูกนำตัวมาที่นี่ คำตอบในใจของฟอลเล็ต·เคนคือ : มันวางแผนทั้งหมดขึ้นมาเอง โดยเริ่มคิดแผนหลังจากเข้าใจความปรารถนาของซินเธีย และทราบว่าคนรักของซินเธียคือใคร หลังจากนั้น แผนการกัดกร่อนพลเรือเอกแห่งกองทัพเรือจึงเริ่มขึ้น
ฟอลเล็ตเหลียวแลขวา กล่าวเสียงสั่น
“ป…เป็นพระประสงค์ของมารดาพฤกษาแห่งแรงกระหายขอรับ! พ…พระองค์แจ้งให้กระผมทราบในความฝัน น…ในตอนแรก ผมแค่ต้องการให้ซินเธียยืมสร้อยขยายตัณหาไปสวมไว้เฉย ๆ โดยไม่ต้องบดผงพร้อมกับท่องคาถา”
มารดาพฤกษาแห่งแรงกระหาย…
การแจ้งโดยตรงแบบนี้ เทียบเท่าพระวิวรณ์เลยไม่ใช่หรือ…
ไคลน์เกือบใช้ใบหน้าอมิรุสขมวดคิ้ว
มันยังไม่เข้าใจ ถึงแม้นายพลอมิรุสจะเป็นคนใหญ่คนโตของกองทัพเรือ เป็นผู้บัญชาการสูงสุดของกองเรือโซเนียกลาง เปี่ยมด้วยอำนาจบารมีในมือ แต่นั่นก็ยังไม่มากพอที่จะให้ตัวตนระดับเทพมารหันมาสนใจ…
ไม่สิ เราไม่ใช่เทพมารสักหน่อย ไม่มีทางเข้าใจความคิดเทพมารแน่… บางที การกัดกร่อนนายพลอมิรุสอาจเป็นแค่ก้าวแรก… แล้วก็ ยังไม่ควรตัดโอกาสที่ฟอลเล็ต·เคนจะโกหก… ไว้ค่อยทำนายยืนยันในภายหลัง…
ไคลน์ใคร่ครวญสักพัก เปล่งเสียงถามต่อ
“แล้วฝันถึงเรื่องนั้นเมื่อไร”
ฟอลเล็ต·เคนเริ่มฉีกยิ้มที่ยังเผยความกลัว
“ส…สี่กุมภาพันธ์ขอรับ เป็นคืนวันศุกร์ กระผมจำได้แม่นยำเพราะเพิ่งปลดปล่อยดวงวิญญาณของหญิงสาวให้เป็นอิสระ”
4 กุมภาพันธ์…
ไคลน์พึมพำวันที่ พลางพบว่าวันดังกล่าวมิได้สลักสำคัญอะไร
ผ่านไปสามวินาที ชายหนุ่มถามต่อ
“แกมีความสัมพันธ์กับโรงเรียนกุหลาบยังไง แล้วมารดาพฤกษาแห่งแรงกระหายมีความเกี่ยวข้องอะไรกับ ‘เทพผู้ถูกล่าม’ ”
ไคลน์ไม่สนใจว่านายพลอมิรุสตัวจริงจะทราบเรื่องนี้หรือไม่ คงไม่แปลกอะไรนักหากครึ่งเทพจะมีความรู้เรื่องเทพมารติดตัว และเมื่อประเมินจากสีหน้าอันไม่แปรเปลี่ยนของลัวอาน สิ่งนี้ถือเป็นการยืนยันทางอ้อม
ฟอลเล็ต·เคนเผยสีหน้าตื่นเต้น
“พ…พวกเราเป็นสาขาย่อยของโรงเรียนกุหลาบ อาจารย์ของผมมีนามว่าซัตทเวน ท่านเป็นนักบุญแห่งโรงเรียนกุหลาบ เทพผู้ถูกล่ามเป็นหนึ่งในร่างอวตารของมารดาพฤกษาแห่งแรงกระหาย”
“พระมารดาคือตัวตนเพียงหนึ่งเดียว ที่มีระดับสูงส่งกว่าเจ็ดเทพจารีตและพระผู้สร้างแท้จริง! ท่านนายพล นี่คือโอกาสอันยิ่งใหญ่ที่ท่านจะได้กลายเป็นข้ารับใช้คนสนิทของพระองค์!”
ใครสนกัน…
เริ่มเข้าใจแล้ว… เทพผู้ถูกล่ามคือหนึ่งในร่างอวตารของมารดาพฤกษาแห่งแรงกระหายสินะ… จากคำอธิบายของวิญญาณมารในอาคารโบราณใต้ดิน ผู้น่าจะเป็นเมดีซี เส้นทางนักโทษและปีศาจสามารถสับเปลี่ยนกันได้ในลำดับสูง จึงไม่แปลกที่เทพผู้ถูกล่ามแห่งโรงเรียนกุหลาบ จะมีพลังในการ ‘ขยาย’ แรงปรารถนาของสิ่งมีชีวิตทุกชนิด จนเกิดเป็นการแบ่งฝักฝ่ายระหว่างฝั่ง ‘ระงับ’ และฝั่ง ‘ทำตาม’ แรงปรารถนา… สิ่งนี้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อคืน…
ไคลน์ครุ่นคิดสักพัก ก่อนจะหันไปทางลัวอานด้านข้างและกล่าว
“คุณออกไปก่อน”
ไคลน์เตรียมจะถามฟอลเล็ต·เคนว่า อีกฝ่ายเคยกระทำชั่วมาบ้างหรือไม่ จึงค่อยประเมินว่าสมควรเป็นอาหารของยุบพองหิวโหยไหม
“ครับ ท่านนายพล” ลัวอานไม่มีคำถาม เพียงเดินออกไปพร้อมกับปิดประตู
ขณะเสียง ‘กริ๊ก’ ดังกังวาน ห้องอ่านหนังสือพลังเงียบสงัด ประหนึ่งถูกตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสมบูรณ์
พลังพิเศษของบารอนแห่งการเน่าเปื่อย… หมอนั่นบิดเบือนเจตนา ‘ปิดประตูห้องอ่านหนังสือ’ ให้กลายเป็น ‘ผนึกห้องอ่านหนังสือโดยสมบูรณ์’ … ใส่ใจทีเดียว…
ไคลน์ไตร่ตรอง นั่งทบทวนบทสนทนาก่อนหน้าสักพัก ก่อนจะตั้งคำถาม
“ในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ เช้าวันอาทิตย์ แกกำลังทำอะไรอยู่”
ฟอลเล็ต·เคนผงะเล็กน้อย
“จ…จากพระวิวรณ์ของมารดาแห่งพฤกษา กระผมร่วมกับสาวกคนอื่น ใช้สร้อยขยายตัณหาประกอบพิธีกรรมโดยใช้เส้นผมของคนเร่ร่อนเป็นสื่อกลาง ขยายความเจริญอาหารของอีกฝ่าย”
เจอตัวการที่ทำให้คนเร่ร่อนเสียชีวิตแล้ว!
พวกมันทำเช่นนี้เพื่อมิให้นายพลอมิรุสออกจากเกาะโอลาวีไปทำภารกิจลับสินะ… พวกตนจะได้ลงมือตามแผนเดิม ใช้ซินเธียเป็นเหยื่อล่อเพื่อกัดกร่อนนายพล…
ไคลน์เริ่มปะติดปะต่อทุกเบาะแสเข้าด้วยกัน
อย่างไรก็ตาม การปรากฏตัวของเราช่วยให้นายพลอมิรุสได้ออกไปทำภารกิจตามเดิม ถือเป็นการขัดขวางพวกมันโดยบังเอิญ…
บังเอิญ…
เดี๋ยวก่อน… มีบางสิ่งไม่ชอบมาพากล!
เมื่อคำว่า ‘บังเอิญ’ แล่นเข้ามาในหัวไคลน์ มันพลันจดจำได้ทันทีว่า วันที่ 4 กุมภาพันธ์ที่ฟอลเล็ต·เคนได้รับวิวรณ์จากมารดาพฤกษาเป็นหนแรก แท้จริงแล้วคือวันอะไร
เป็นวันแรกที่มันมาถึงเกาะโอลาวี!
……………………