ฝ่าบาท… ได้ยินคำตอบจากไวเคาต์สตาร์ฟอร์ด ซิลสับสนเล็กน้อย ภายในใจเต็มไปด้วยความสงสัย
เธอไม่เข้าใจว่า การที่เชอร์แมนลงทุนตีสนิทหัวหน้าองครักษ์หลวง เพียงเพื่อถามคำถามที่ใครๆ ก็รู้คำตอบอยู่แล้วเช่นนี้น่ะหรือ? นั่นดูไม่คุ้มเสี่ยงเลยสักนิด
และพิจารณาจากคำตอบ ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้โกหก
เชอร์มาเน่ยอมสละชีวิตเพื่อของแค่นี้? ซิลต้องการจะถามเพิ่มว่าเชอร์มาเน่ทำไปเพื่ออะไร แต่ทันใดนั้นก็นึกขึ้นได้ว่า คำถามดังกล่าวจะพาเข้าสู่ประเด็นสำคัญเร็วเกินไป ไม่เหมาะแก่การถามไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดที่ยังไม่ได้อยู่ใน ‘สภาวะ’ พร้อมคายข้อมูล ซิลจึงอดใจรอไปก่อน
เธอครุ่นคิดสักพัก จากนั้นก็ถาม
“รู้จักเมสัน·เดียร์ไหม?”
“รู้จัก” ไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดตอบด้วยสีหน้าล่องลอย
ซิล·เดียร์ชายังคงถามในสิ่งที่ตอบได้ง่ายๆ อย่างต่อเนื่อง
“เขาเป็นใคร?”
“อดีตหัวหน้าองครักษ์หลวง” ไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดตอบเฉพาะสิ่งที่อีกฝ่ายถาม ไม่พูดเวิ่นเว้อ
ขณะเดียวกัน ฟอร์สมิได้สนใจฟังการ ‘อ่านใจ’ ซึ่งเพิ่งอยู่ในขั้นตอนเริ่มต้น เพียงนำลูกบอลคริสตัลออกมาใส่ไว้ในกระเป๋าของซิล
หลังจากฝากสิ่งของ เธอก้มหน้าและพยายามหยิบไม้กางเขนทองแดงอย่างระมัดระวัง
ในคราวนี้ แม้ว่าปลายนิ้วจะสั่นเบาๆ แต่ความรู้สึกราวกับถูกไฟแผดเผามิได้เกิดขึ้น มันปล่อยให้เธอหยิบจับอย่างง่ายดาย
เป็นอย่างที่คิด ไม้กางเขนอันนี้ไม่ต้องรับสมบัติวิเศษภายนอกทั้งหมด ไม่ยอมอยู่ร่วมกัน… หืม… แต่ในตัวเรายังมีกระดาษคนจันทราและพลังวิญญาณตกค้างของวิญญาณอาฆาตโบราณ แต่มันไม่ตอบสนอง… หมายความว่า มันจะกีดกันเฉพาะตะกอนพลัง แต่ไม่สนใจวัตถุแฝงพลังวิญญาณ? ถ้าเป็นแบบนั้นจริง แปลว่ามันต้องปฏิเสธตะกอนพลังในร่างกายเราด้วย แต่ผลลัพธ์อาจยังไม่ปรากฏในทันที… หรือว่าจะเป็นผลข้างเคียงด้านลบที่ต้องใช้เวลาสักพักในการออกฤทธิ์? ฟอร์สประเมินไม้กางเขนทองแดงเบื้องต้น จากนั้นก็นำมันใส่ไว้ในช่องลับสำหรับเก็บอุปกรณ์ประกอบพิธีกรรมอย่างระมัดระวัง
จัดการเสร็จ ฟอร์สชำเลืองไปทางสร้อยข้อมือสีเงิน ยืนยันว่ามันว่างเปล่า ไม่หลงเหลืออัญมณีอีกต่อไป
หินทั้งห้าก้อนที่มีพลังในการ ‘เทเลพอร์ต’ ถูกใช้จนหมดแล้ว
แต่ฟอร์สมิได้แสดงความกังวลเหมือนเมื่อก่อน แม้ว่าการใช้งานแต่ละครั้งจะยิ่งทำให้ ‘เสียงเพรียกขณะจันทร์เต็มดวง’ ทวีความรุนแรง แต่เธอเองก็ทราบดี ขอเพียงมีความช่วยเหลือจากมิสเตอร์ฟูล เรื่องดังกล่าวก็ไม่จำเป็นต้องกังวล เพราะผ่านมาแล้วเกือบหนึ่งปี หากไม่ใช่คืนจันทร์เต็มดวงหรือปรากฏการณ์จันทราโลหิต เธอเกือบลืมไปแล้วว่าเคยต้องทุกข์ทรมานจาก ‘เสียงเพรียกขณะจันทร์เต็มดวง’
หวังว่าในสักวัน คำสาปนี้จะหายไปโดยสมบูรณ์… หลังจากละสายตาจากกำไลเงิน ฟอร์สถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้
จากนั้น เธอรีบขอบคุณมิสเตอร์ฟูลในใจจากก้นบึ้ง
ไม่ว่าจุดประสงค์ของท่านจะเป็นสิ่งใด แต่อย่างน้อย ท่านก็เคยช่วยเราไว้มาก ไม่ใช่แค่เรื่องเสียงเพรียกขณะจันทร์เต็มดวง…
ดูเหมือนว่าไม้กางเขนอันนี้จะมีมูลค่าไม่ธรรมดา… ไม่แน่ใจว่ามิสเตอร์ฟูลจะสนใจมันไหม อยากรับการสังเวยจากเราหรือไม่… เราไม่เคยมีสมบัติวิเศษดีๆ หรือข้อมูลล้ำค่ามาก่อน ไม่มีโอกาสได้ตอบแทนบุญคุณเสียที จนในที่สุดโอกาสก็มาถึง…
อึก… ไม้กางเขนอันนี้เป็นส่วนแบ่งของเรากับซิล เรามีสิทธิ์เพียงครึ่งเดียว ไม่รู้ว่ามิสเตอร์ฟูลจะเต็มใจรับวัตถุที่มีสิทธิ์ครอบครองเพียงครึ่งเดียวไหม… ไม่สิ… ซิลเองก็เคยติดหนี้บุญคุณท่าน…
ฮุฮุ… บางที มันอาจเป็นสิ่งที่ทำให้มิสเตอร์ฟูลพึงพอใจก็ได้… หากท่านพอใจมาก เราอาจรบกวนให้ช่วยบันทึกพลังลงไปในสมุดสักสองสามชนิด… ไม่สิ… สมุดเล่มนี้รองรับพลังระดับทวยเทพของท่านไม่ไหวแน่… อา… อย่างน้อยเทวทูตใต้อาณัติของท่านก็ยังดี… ไม่สิ… แค่พลังของมิสเตอร์เวิร์ลก็พอแล้ว…
ฟอร์สปล่อยความคิดฟุ้งกระจาย สร้างความคาดหวังในมโนภาพ
นี่คือนิสัยที่ดีของนักเขียนนิยายขายดี
ส่วนคำถามที่ว่า ทำไมเธอถึงไม่เรียกร้องอย่างอื่นนอกจากการบันทึกพลังลงในสมุดเวทมนตร์ เพราะเธอเพิ่งได้ตระหนักถึงความสำคัญและน่าสะพรึงกลัวของพลังในระดับครึ่งเทพกับตาตัวเองมาเมื่อครู่
หากไม่ได้คัดลอก ‘ทอร์นาโด’ ไว้ใน ‘บันทึกการเดินทางของเลมาโน่’ วันนี้เธอและซิลคงหมดโอกาสจับกุมตัวไวเคาต์สตาร์ฟอร์ด บางทีอาจเอาชีวิตรอดกลับมาไม่ได้ด้วยซ้ำ
ต่อให้ไม่นับไม้กางเขนทองแดง แต่ตัวไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดก็เป็นผู้วิเศษที่แข็งแกร่ง หากไม่ได้รับบาดเจ็บล่วงหน้าจากแรงกระแทกของพายุทอร์นาโดจนศีรษะเกิดอาการวิงเวียน มีโอกาสสูงมากที่แผนลอบโจมตีของเธอและซิลจะไม่ประสบความสำเร็จ บางทีอาจถูกตอบโต้จนเสียท่า
อย่างไรก็ตาม ปฏิเสธไม่ได้ว่าการจับ ‘ไม้กางเขนเจิดจ้า’ แยกกับไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดคือกุญแจสำคัญของศึกนี้ และความดีความชอบย่อมต้องตกเป็นของพายุทอร์นาโด
เมื่อลองคิดดูให้ดี หากสถานการณ์ไม่ฉุกละหุกมากนัก ในสมมติฐานที่ตัดทั้งพลังครึ่งเทพของเราและไม้กางเขนนั่นออกไป เรากับซิลมีโอกาสสูงที่จะลอบโจมตีไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดสำเร็จ…
พลังพิเศษในสมุดเวทมนตร์ทั้งหลากหลายและเข้ากันได้ดี รวมๆ แล้วค่อนข้างแข็งแกร่ง ผนวกกับพลังทะลวงจิตของซิลและมีดเหมันต์ หากสู้กันตรงๆ โดยที่ไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดมิได้พกพาสมบัติวิเศษ ความพ่ายแพ้ของเขาก็นับว่าสมเหตุสมผลแล้ว
นักบันทึกที่เชี่ยวชาญการต่อสู้ ถือเป็นหนึ่งในผู้วิเศษที่ทรงพลังอย่างไร้ข้อกังขา… ยิ่งครุ่นคิด ฟอร์สก็ยิ่งพบความแปลกประหลาด
เธอรู้สึกว่าตัวเองแข็งแกร่งขึ้นมาก!
ย้อนกลับไปในตอนที่จัดการกับวิญญาณอาฆาตโบราณ เธอเคยรู้สึกแบบเดียวกันมาก่อน แต่หลังจากนั้นกลับถูกพลังกัดกร่อนลึกลับเล่นงาน จนความรู้สึกดังกล่าวเลือนหายไปพร้อมกับความกลัว และในตอนที่ทุกคนช่วยกันลงมือสั่งสอนเออร์เนส·โบยาร์ ฟอร์สและซิลมิได้ออกแรงสู้ตรงๆ จึงไม่เคยวัดพลังตัวเอง
จนกระทั่งการต่อสู้เมื่อครู่ ไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดเป็นถึงหัวหน้าองครักษ์หลวงแห่งโลเอ็น มีลำดับ 6 เป็นอย่างน้อย และอาจสูงถึงลำดับ 5 แถมยังพกพาสมบัติวิเศษระดับครึ่งเทพที่ทรงพลัง ศึกดังกล่าวช่วยให้ฟอร์สสามารถ ‘ประเมิน’ ฝีมือของตัวเองในโลกผู้วิเศษอย่างเห็นภาพ แม้ผลการต่อสู้จะเกิดจากการลอบโจมตีเป็นส่วนใหญ่ แต่การที่สามารถปิดฉากอีกฝ่ายได้อย่างหมดจด ถือเป็นเครื่องพิสูจน์สติปัญญาและฝีมือได้ไม่มากก็น้อย
ตอนนี้เราเป็นนักบันทึกแล้ว ถ้าจับคู่พลังพิเศษอย่างลงตัว ผนวกเข้ากับความหลากหลายของ ‘บันทึกการเดินทางของเลมาโน่’ เราจะแข็งแกร่งเทียบเท่าลำดับ 5 ที่ค่อนข้างทรงพลัง… ติดตรงที่เรายังมีประสบการณ์จริงน้อยเกินไป… ฟอร์สถอนหายใจด้วยอารมณ์ซับซ้อน มองไปทางซิลที่กำลังสอบสวนไวเคาต์สตาร์ฟอร์ด
ปัจจุบัน คำถามของซิลเริ่มเข้าสู่ส่วนสำคัญ และการต่อต้านจากอีกฝ่ายก็เริ่มต้นขึ้น
“เมสัน·เดียร์ตายด้วยสาเหตุใด?”
หลังจากถามออกไป สีหน้าของซิลพลันซับซ้อน เปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง บ้างวิตกกังวล บ้างตื่นเต้นและหวาดกลัว
นี่เป็นคำถามที่ซิลอยากรู้มาตั้งแต่แปดปีก่อน เป็นเวลากว่าสามพันวันที่เธอไม่เคยหยุดหาคำตอบ แต่ใจหนึ่งก็กลัวว่าคำตอบจะไม่ใช่สิ่งที่ตนอยากฟัง กลัวว่าบิดาของเธอจะเป็นกบฏ แผ่นดินที่ถูกประหารชีวิต นั่นยิ่งสร้างความเสื่อมเสียให้วงศ์ตระกูล
ไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดมิได้ตอบคำถามของซิลทันที เงียบงันไปสักพักคล้ายกับพยายามดิ้นรน จนกระทั่งเปิดปากพูด
“เขาค้นพบความลับของฝ่าบาทและพยายามแจ้งให้ศาสนจักรทราบ แต่สุดท้ายก็ทำไม่สำเร็จและถูกประหารชีวิตในการปะทะ”
ซิลแน่นิ่งไปหลายวินาที ก่อนจะยืนยันว่านั่นคือคำตอบที่เธอตามหา
แม้จะเป็นสิ่งที่ทำให้เธอตกตะลึง แต่จิตใจกลับสงบนิ่งอย่างบอกไม่ถูก
“ความลับ… ของฝ่าบาท” หญิงสาวกระซิบกระซาบ รีบถามต่อไป
“ความลับอะไร?”
ฟอร์สที่อยู่ไม่ไกลออกไปเริ่มเผยสีหน้าประหวั่น คาดไม่ถึงว่าเรื่องราวจะซับซ้อนถึงเพียงนี้
ทันใดนั้น กล้ามเนื้อบนใบหน้าของไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดบิดเบี้ยวจนน่าเกลียด ตามด้วยการพ่นออกมาสองสามคำ
“ความลับที่ว่าก็คือ…”
ทันใดนั้นเอง ร่างกายของมันเกิดชักกระตุกอย่างมิอาจหักห้าม ดวงตาที่เคยสับสนได้รับความแวววาวกลับคืนมา
แต่ในวินาทีถัดมา ร่างกายของมันพลันแยกออกจากกันในระดับอณูเซลล์ จากนั้นก็บีบอัดจนกลายเป็น ‘ดอกไม้ไฟ’ มนุษย์ลูกใหญ่
‘ดอกไม้ไฟ’ สีเลือดลอยขึ้นไปบนฟ้า เกิดระเบิดและมอบแสงสว่างในยามค่ำคืน ฉากทั้งหมดสะท้อนอยู่บนกระจกตาของฟอร์สและซิล
นี่มัน… จากประสบการณ์ที่เคยสั่งสมมา ดวงตาของฟอร์สเหม่อลอยเพียงครู่เดียวก่อนจะรีบลงมือกระทำบางสิ่ง นั่นคือการหมอบลงและคว้าร่างเชอร์มาเน่และน่องของซิล
ทั้งสามร่างกลายเป็นสีใสและหายไปจากตำแหน่งดังกล่าวอย่างรวดเร็ว เป็นการ ‘เทเลพอร์ต’ ไปยังย่านทิศใต้ของสะพาน
…
เหนือสายหมอกสีเทา ไคลน์ที่กำลังถือคทาเทพสมุทร มองเห็น ‘ดอกไม้ไฟ’ ที่ย้อมท้องฟ้าให้กลายเป็นสีแดงฉาน
ในตอนที่ฟอร์สสวดวิงวอนถึงตน ไคลน์บังเอิญอยู่บนวังสายหมอกเพื่อจับตามองพฤติกรรมของโจนาส·โคลเกอร์อยู่พอดี จึงเสกไพ่นักบวชสีชาดและผสานเข้ากับกระดาษคนตัวแทน ส่งอ้อมกอดเทวทูตลงไปหาสองสาว
ระหว่างนั้น มันพบว่าคนที่กำลังนอนอยู่ข้างๆ มิสเมจิกเชี่ยนและมิสจัดจ์เมนต์คือไวเคาต์สตาร์ฟอร์ด
นี่ก็เป็นอีกหนึ่งเป้าหมายที่มันต้องการสอบสวน แม้จะไม่ได้บาดหมางเป็นการส่วนตัว แต่ก็พอจะทราบว่าอีกฝ่ายไม่ธรรมดา หลังจากที่ทราบว่าแม่มดทริสซี่กำลังหมายตาชายคนนี้ ไคลน์พยายามจดจำใบหน้าและลักษณะเด่นของอีกฝ่ายในงานเลี้ยงเต้นรำ
ไคลน์ย่อมไม่ทราบว่าสองสาวของชุมนุมทาโรต์คิดจะทำอะไร แต่เนื่องจากเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับไวเคาต์สตาร์ฟอร์ด มันจะไม่ละเลยความสำคัญเด็ดขาด จึงเฝ้าจับตามองผ่านดาวแดงที่เกี่ยวข้อง สังเกตความเคลื่อนไหวถัดไปของมิสเมจิกเชี่ยนและมิสจัดจ์เมนต์
หลังจากเลื่อนลำดับเป็นครึ่งเทพ หลังจากได้รับอำนาจบนมิติหมอกมากขึ้น โดยไม่ต้องรอให้สมาชิกชุมนุมทาโรต์สวดวิงวอนมาก่อน ไคลน์สามารถจับตามองพฤติกรรมของอีกฝ่ายผ่านดาวแดงของแต่ละคน ช่วยให้มองเห็นบริเวณใกล้เคียง คล้ายกับการ ‘มอง’ ผ่านจุดแสงของสาวกที่สวดวิงวอนหรือทำเครื่องหมาย อย่างไรก็ตาม ไคลน์ระงับความคิดที่จะทดสอบมาตลอด
ด้วยความสามารถดังกล่าว ชายหนุ่มจึงได้ยินบทสนทนาระหว่างซิลและไวเคาต์สตาร์ฟอร์ด
และเนื่องจากเป็นคนที่เข้าใจเรื่องราวมากถึงระดับหนึ่ง ไคลน์จึงไม่ประหลาดใจกับคำถามที่ว่า ‘มันจงรักภักดีกับใคร’ และให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นพิเศษ
เมื่อผนวกกับเรื่องที่เมสัน·เดียร์ อดีตหัวหน้าองครักษ์หลวงที่ล่วงรู้ความลับของกษัตริย์ ชายผู้พยายามแจ้งให้สามโบสถ์หลักทราบแต่ล้มเหลวและถูกสังหาร ไคลน์สรุปข้อมูลเบื้องต้นได้ทันที:
มันสงสัยว่า ตัวการที่ใหญ่ที่สุดเบื้องหลังโศกนาฏกรรมมหาหมอกควันแห่งเบ็คลันด์ แท้จริงแล้วไม่ใช่ใครอื่นนอกจากกษัตริย์แห่งอาณาจักรโลเอ็น พระเจ้าจอร์จที่สาม!
…………………………